ศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี “ปณิธาน” พ่อลูกอ่อน ในคดี ม.112 ไม่รอลงอาญา แม้รับสารภาพ ชี้ทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง

วันที่ 24 พ.ย. 2565 เวลา 9.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ของปณิธาน (นามสมมติ) พ่อลูกอ่อนวัย 26 ปี จากการใช้บัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว คอมเมนต์ข้อความใต้โพสต์ของ “Pavin Chachavalpongpun” ในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวแนบภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2564

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ปณิธานทำงานอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 5 – 10 นาย เข้ามาแสดงหมายจับของศาลอาญาถึงที่ทำงาน โดยสอบถามว่าเขาเป็นผู้คอมเมนต์ข้อความดังกล่าว และเป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กและโทรศัพท์แต่เพียงผู้เดียวใช่หรือไม่ เมื่อปณิธานตอบว่าใช่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ให้ปณิธานลงลายมือชื่อในบันทึกจับกุมซึ่งมีข้อความ ‘ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา’ จากนั้นจึงถูกนำตัวไปที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำ

ในชั้นสอบสวน ปณิธานให้การรับสารภาพ เพราะตำรวจเกลี้ยกล่อมว่าจะช่วยตัดข้อความบางส่วนออกไปเพื่อให้คดีดูไม่ร้ายแรงเกินไป จะได้มีโอกาสรอการลงโทษ โดยในขณะสอบสวนมิได้มีทนายความอยู่ด้วย ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ยื่นขอฝากขังต่อศาล และศาลอนุญาตให้ประกันตัว โดยครอบครัวกู้ยืมหลักทรัพย์จำนวน 90,000 บาท มาวาง

ก่อนการส่งฟ้องคดีในศาลชั้นต้น ครอบครัวของปณิธานได้ติดต่อขอความเหลือมาที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และได้รับความช่วยเหลือในหลักทรัพย์การประกันตัวจากกองทุนราษฎรประสงค์ ในตอนแรกปณิธานประสงค์จะกลับคำให้การเป็นปฏิเสธข้อกล่าวหา เพื่อรอดูพยานหลักฐานของโจทก์ และอยากรอดูหน้าลูกเนื่องจากภรรยากำลังตั้งครรภ์ 

อย่างไรก็ตามในวันนัดตรวจพยานหลักฐาน ปณิธานแถลงขอกลับคำให้การจากปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาเป็นรับสารภาพตามคำฟ้อง ศาลจึงมีคำสั่งให้สืบเสาะและพินิจพฤติการณ์ของจำเลย และนัดฟังคำพิพากษาในเวลาต่อมา

.

ศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา แม้จำเลยให้การรับสารภาพ

ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 806 ปณิธานเดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมกับภรรยา เขาฝากลูกที่พึ่งคลอดเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ไว้กับครอบครัว เดินทางออกจากบ้านที่จังหวัดสระแก้วตอน 3.00 น. และมาถึงศาลอาญาตั้งแต่เวลา 6.00 น. ก่อนนั่งรอให้ถึงเวลานัดอยู่หน้าห้องพิจารณาคดี

ก่อนเข้าห้องพิจารณาคดี ปณิธานเปิดเผยว่าเหตุที่เขาตัดสินใจกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ เนื่องจากเขาประกอบอาชีพสุจริต ไม่เคยกระทำความผิดใดมาก่อน จึงคาดหวังว่าจะได้รับโอกาสให้รอลงอาญา เพื่อกลับไปทำมาหากิน ดูแลภรรยาและลูก

เวลา 9.35 น. ศาลออกนั่งพิจารณาคดี กล่าวว่าพนักงานคุมประพฤติส่งรายงานการสืบเสาะมาให้ศาลพิจารณาทั้งในเรื่องครอบครัว อาชีพ การศึกษา ความประพฤติ และประวัติการกระทำความผิด และสอบถามจำเลยว่ามีเรื่องหรือประเด็นใดจะคัดค้านหรือไม่ จำเลยแถลงว่าไม่ค้าน

ศาลจึงอ่านคำพิพากษาโดยสรุปว่า จำเลยรับสารภาพตามคำฟ้อง ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ม.14 (3) การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษในตัวบทกฎหมายที่หนักที่สุดคือมาตรา 112  ลงโทษจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี 

จากรายงานการสืบเสาะ จำเลยประกอบอาชีพสุจริต ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ต้องเลี้ยงดูครอบครัว แต่การกระทำของจำเลย ทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียเกียรติยศ ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง เป็นการกระทำความผิดร้ายแรง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ

หลังจากฟังคำพิพากษา ปณิธานถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้ามาบอกให้ถอดสิ่งของติดตัวส่งให้ภรรยา ในขณะนั้นทั้งคู่มีดวงตาแดงก่ำและมิได้มีคำพูดอะไรระหว่างกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็เข้ามาใส่กุญแจมือ และปณิธานก็ถูกนำตัวไปคุมขังไว้ที่ห้องขังใต้ถุนศาลอาญาทันที 

ภรรยาของปณิธานเปิดเผยว่าแม้ตนจะเผื่อใจมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก และปณิธานก็รับสารภาพทุกอย่าง

“เรารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ ศาลกล่าวว่าเป็นการกระทำความผิดที่รุนแรง ส่งผลกระทบต่อสถาบันฯ แต่ตอนนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือคนที่โดนคดี”

ต่อมาหลังยื่นขอประกันตัวจำเลยระหว่างอุทธรณ์คดี ในเวลา 15.34 น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวปณิธาน ด้วยหลักประกันเป็นเงินสดจำนวน 100,000 บาท ทำให้ต้องวางหลักทรัพย์เพิ่มอีก 10,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม

X