บันทึกเยี่ยม 10 ผู้ต้องขังทางการเมือง ระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค. 2566

ระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค. 2566  ทนายความได้เข้าเยี่ยม 10 ผู้ต้องขังทางการเมืองที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเรือนจำกลางคลองเปรม โดยอาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มทะลุแก๊สได้เดินทางไปยื่นหนังสือทวงถามเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2566 โดยเรือนจำได้ปิดเยี่ยมญาติในวันดังกล่าวโดยอ้างว่าเนื่องจากมีการชุมนุมหน้าเรือนจำ ผู้ต้องขังบางส่วนรับรู้การเคลื่อนไหวนี้ภายหลังจากที่เพื่อนมาเข้าเยี่ยม โดยพวกเขาบางส่วนบอกว่า เพื่อนข้างในเรือนจำไม่ได้ว่ากล่าวพวกเขาจากการที่เรือนจำประกาศงดเยี่ยมญาติ 

อาทิตย์นี้ยังคงมีผู้ต้องขังบางส่วนเจ็บป่วย แต่พวกเขาบอกว่าหายได้ด้วยความช่วยเหลือเรื่องยาจากเพื่อน ๆ ผู้ต้องขังด้วยกันเอง เรื่องยาขาดแคลนในเรือนจำหรือได้รับยาล่าช้ายังคงเป็นหัวข้อสนทนาที่ผู้ต้องขังบางส่วนพูดถึง นอกจากอาหารไข้หวัด ผู้ต้องขังบางคนยังมีอาการประเภทผดผื่นคัน เนื่องจากการรักษาความสะอาดที่ทำได้ยากในเรือนจำ เช่นการต้องซัก-ตากเครื่องนอนในช่วงหน้าฝน

เนื่องจากช่วงอาทิตย์นี้มีผู้ต้องขัง 2 คน ได้แก่ ธีรภัทรและปฐวีกานต์ ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น ผู้ที่ทราบข่าวนี้จึงพากันแสดงความยินดีกับเรื่องดังกล่าว และมีความหวังต่อเรื่องการได้ประกันตัวของแต่ละคนขึ้นมาอีกครั้ง 

.

มาย ชัยพร: ไข้สูงเกือบ 40 องศา แต่ได้พารามา 2 เม็ด

มายส่งยิ้ม และทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขาบอกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรในแดน ฝากขอบคุณกลุ่มทะลุแก๊สและประชาชนที่อยากส่งหนังสือมาให้ ตอนนี้แดน 6 มีผู้ต้องขังทางการเมือง 3 คน มายอ่านหนังสือแนวไหนก็ได้ “พี่เอ กฤษณะ” (ผู้ต้องขังถึงที่สุดคดีสหพันธรัฐไท) จะชอบหนังสือแนวจิตวิทยา-การพัฒนาตัวเอง ส่วนบุ๊ค ธนายุทธ น่าจะชอบหนังสือเครียด ๆ แนวการเมืองหรือสืบสวนสอบสวน เพราะเขาเห็นบุ๊คอ่านหนังสือ “คำพิพากษาเลือด” ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการต่อสู้คดีในชั้นศาล แล้วดูสนุกดี

“บุ๊คมาอยู่กับผมก็ดีพี่ ผมไม่อยากให้ผู้ต้องขังทางการเมืองที่เข้ามาใหม่ต้องโดดเดี่ยวเหมือนกับผมช่วงแรก ยังไงผมก็ปักหลักอยู่แดน 6 ถ้ามีใครหลุดมา ผมก็พร้อมต้อนรับ แต่จะให้ดีก็อย่าเข้ามาข้างในเลยดีกว่า” มายพูดแล้วหัวเราะ

ทนายเล่าสถานการณ์การเมืองและการประกันตัวให้มายฟัง โดยบอกว่ามีคนได้ประกัน 2 คน คือธีรภัทรกับปฐวีกานต์ มายก็ดูตื่นเต้น แววตาดูมีความหวังขึ้น แต่เมื่อบอกรายละเอียดว่าคดีของทั้งสองคน อยู่ในชั้นสั่งฟ้อง ยังไม่มีคำพิพากษาใด ๆ และวงเงินในการประกันตัว สูงถึงคนละ 500,000 บาท มายก็ดูเซ็งขึ้นทันที

“แค่ได้ประกันผมก็ดีใจด้วยแล้ว ต่อให้ไม่ใช่ผมก็ตาม แต่พอรู้รายละเอียดมันก็แบบ จะบอกว่าดีขึ้นแล้วก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่ก็ถือว่ามีแนวโน้มบ้างแหละ ตัวผมไม่ได้หวังเรื่องประกันแล้ว ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็รอต้อนรับผู้ต้องขังคนอื่น อยู่ในนี้มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก แต่ผมก็ทำตัวไม่ให้เครียดมาก”

จากนั้น มายจึงถามเรื่องผู้ต้องขังคนอื่นว่าเป็นยังไงกันบ้าง โดยสิ่งที่เขากังวลที่สุด คือสิทธิในการเข้าถึงการรักษาของเพื่อนในเรือนจำ

“การเข้าถึงสถานพยาบาลค่อนข้างยาก ถ้าไม่ถึงขนาดจะตายจริง ๆ ก็คงไม่ได้ออกไป แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยนะว่าจะตายเนี่ย มันต้องระดับไหน เมื่ออาทิตย์ก่อนผมไม่สบาย ไข้ขึ้นสูง 39.5 กินข้าวไม่ได้ ยกหัวไม่ขึ้น จะขอยาก็ต้องไปวัดไข้ ถ้าไข้เกิน 37 ก็จะได้พาราฯ มา 2 เม็ด แล้วมันจะพอเหรอ กินแค่นั้นไข้ยังไม่ลดเลย ผมรอดมาได้เพราะเพื่อนผู้ต้องขังแบ่งพาราฯ ให้ จำได้ว่าวันนั้นกินเกือบ 20 เม็ดอะ ทิ้งช่วงแล้วก็กิน จนไข้เริ่มลด ผมป่วยแบบนี้อยู่ 2 วัน ถ้ามัวแต่รอเจ้าหน้าที่ ผมคงจะตายห่าไปแล้ว

“ข้างในก็แออัดมาก พอใครสักคนป่วยเป็นอะไร มันก็เลยเป็นไปด้วยกันหมด  ตอนผมอยู่ห้องชั้นบน พื้นที่ผมปูผ้านอนมันมีขนาดประมาณ 1 ศอก กับ 4 นิ้ว ห้องนั้นนอนกัน 38 คน ตอนนี้ผมย้ายลงมานอนห้องผู้ช่วยข้างล่างก็เลยสบายขึ้น แต่ได้ข่าวว่าห้องที่ผมเคยนอนมีคนอัดกัน 48 คนแล้ว ไม่แปลกเลยที่พอมีคนป่วยเป็นโรคที่ติดต่อง่าย ๆ อย่างไข้หวัดงี้ มันถึงแพร่ระบาดเร็ว ตอนนี้ผู้ต้องขังก็ยังถูกจำแนกมาแดน 6 เรื่อย ๆ”

มายยังเล่าให้ฟังว่ามีการร้องเรียนเรื่องยาไม่พออยู่ตลอด “ก่อนหน้านั้น ผู้ต้องขังก็มีการร้องเรียนนะครับ ว่าขอยาไม่ได้ ยาไม่พอ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า เขาขอโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว แต่โรงพยาบาลก็ไม่มียาเหมือนกัน ขอให้เข้าใจพวกเขาหน่อย 

“ผมก็อยากขอให้พวกเขาเข้าใจผู้ต้องขังอย่างเราเช่นกัน ถ้าโรงพยาบาลไม่มียา คุณมีมาตรการอะไรไหม ให้ญาติซื้อส่งมาให้แทนได้มั้ย ก็ไม่ได้อีก เราออกไปหาหมอซื้อยาเองไม่ได้ ก็ต้องมาหวังพึ่งพวกคุณ แล้วจะให้ทำยังไง

“หลายคนไข้สูงกว่าผมอีกนะ แต่ก็ไม่ได้ออกมาโรงพยาบาล ได้ยาพาราฯ มากิน แล้วถ้าเขาเกิดชักขึ้นมาจะไปหาหมอทันไหม ผมไม่เข้าใจว่าหลักเกณฑ์การวินิจฉัยอาการผู้ป่วยเป็นยังไง อยากให้มีการแก้ไขที่ดีกว่านี้” มายทิ้งท้ายอย่างจริงจัง

มาย ถูกคุมขังมาแล้ว 258 วัน

.

บาส ประวิตร: ยังหวังถึงการประกันตัวอยู่ตลอด แม้ปรับตัวกับเรือนจำแล้ว

บาสกล่าวทักทายเเต่น้ำเสียงเหมือนคนไม่สบาย เมื่อถามไถ่แล้วได้ความว่าบาสไม่สบายอีกเเล้ว หลังจากหายครั้งก่อน ก็เป็นใหม่ อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่ตอนนี้ไม่มีไข้เเล้ว เพียงยังเจ็บคออยู่ “การรักษาก็เหมือนเดิม ไม่ได้เจอหมอ ได้ยามากินดูเเลตัวเองไป”

บาสเล่าให้ฟังว่าไม่นานมานี้ภรรยาเยี่ยมเขาผ่านทางไลน์เนื่องจากไม่สะดวกเดินทางมาเรือนจำ เพราะไม่สามารถลางานเพิ่มได้เเล้ว “ลาไปเยอะ ตอนคลอดลูกสาวคนเล็ก ไม่งั้นจะโดนหักเงิน เลยน่าจะมาเยี่ยมอีกทีคือพฤศจิกาเลย” เขาว่า 

หลังจากนั้นบาสก็ถามถึงเรื่องคดี ทนายได้เเจ้งกับบาสไปว่าได้มีการยื่นอุทธรณ์เเละยื่นประกันเเล้ว บาสถามต่อถึงการประกันตัวว่า พอมีโอกาสเป็นไปได้ไหม เเละถ้าได้ประกัน ต้องไปใส่กำไล EM อีกไหม เเล้วจะได้ออกประมาณกี่โมง บาสยังมีความหวังในการจะได้รับการประกันตัวอยู่ตลอด เเม้จะเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเรือนจำบ้างเเล้ว เเต่ก็บ่นทุกครั้งที่ได้คุยว่าเบื่อมาก 

“มันไม่มีอะไรให้ทำ คิดถึงลูก อยู่ข้างนอกยังได้ทำงานหาเงินไปเลี้ยงลูก เเละมาจ่ายค่าเสียหายตามฟ้องได้ เเต่อยู่ในนี้ทำไรไม่ได้เลย กองงานที่เรือนจำก็ยังไม่เปิดสักที เเต่ทั้งนี้ก็อยู่ได้ ไม่ได้เครียดมากเหมือนเมื่อก่อนเเล้ว กำลังใจดีอยู่ ยังได้เล่นกีฬาออกกำลังกายบ้างก็โอเค”

บาสถูกคุมขังมาแล้ว 112 วัน โดยผลการประกันตัวบาสที่ยื่นล่าสุด เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2566 ศาลอุทธรณ์ยังคงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

.

แบงค์ ณัฐพล: ปวดฝั่งซ้ายใต้ปอด หายใจก็เจ็บ ไอก็เจ็บ เหมือนมีอะไรมาแทง  

แบงค์ในชุดเสื้อแขนสั้นสีฟ้าอ่อน กางเกงขาสั้นสีดำ สวมหน้ากากอนามัย นั่งรอเงียบ ๆ ระหว่างที่ทนายคุยกับเก่ง สีหน้าแบงค์ซึม ๆ เมื่อถามอาการในช่วงนี้ “แฟนยังไม่มาเยี่ยม จดหมายก็ไม่เขียน หงุดหงิด” ส่วนอาการทางกาย แบงค์เล่าว่า “ช่วงนี้เจ็บคอเล็กน้อย เมื่อเช้ามีไปซ้อมมวยพลาดโดนปากตัวเอง” แบงค์บอกพร้อมถอดหน้ากากอนามัยให้ดูริมฝีปาก มีรอยแดง ๆ แต่ไม่มีเลือด

“อาการที่ไอเป็นเลือดยังพอมีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เยอะเหมือนคราวที่แล้ว ไม่ไอบ่อย ช่วงนี้เวลาตี 4 ตี 5 ผมจะรู้สึกปวดฝั่งซ้ายใต้ปอด หายใจก็เจ็บไอ ก็เจ็บ เหมือนมีอะไรมาแทง แต่ก็ไม่ได้เสียดถึงหัวใจ ส่วนใหญ่จะบริเวณปอด ไม่อยากไปหาหมอเพราะตอนนี้ปฏิเสธการรักษาพยาบาลอยู่”

ทนายสังเกตว่าแบงค์มีอาการซึมอย่างเห็นได้ชัด แบงค์บอกว่า “มันรู้สึกอยากระบายอารมณ์ ผมก็ไปต่อยมวยมา หาคู่ซ้อม ความรู้สึกเรื่องการอยากทำร้ายตัวเองก็มีบ้าง แต่ไม่ได้ทำเพราะคิดถึงลูก”

แบงค์บอกว่าเขาอยากให้ทนายเร่งยื่นประกันตัวอีกครั้ง “ผมอยากให้เร่งเรื่องประกัน ผมมีคนข้างหลังที่ต้องดูแล อยากออกไปทำหน้าที่พ่อ ยืนหน้าห้องคลอด ให้ออกไปก่อนแล้วจะจับมาขังอีกก็ได้ แต่ให้ผมได้ไปทำหน้าที่พ่อ ผมไม่ได้เสียใจที่ติดคุกแต่เสียใจที่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อ

“ช่วงนี้ผมเริ่มมีอาการเบื่อข้าว ทุกวันนี้กินข้าวลง ไม่ลงบ้าง ทั้งที่เป็นอาหารจากข้างนอกคือบางวันก็ไม่กินเลย มากินตอนเย็นครั้งเดียว นอนก็ไม่ค่อยหลับ คิดเยอะ พะวง เป็นห่วงแฟนกับลูก เพราะแฟนท้องก็ถือว่าแก่มากแล้ว ห้าเดือนแล้ว ผมก็รู้สึกผิดว่าช่วงสำคัญแบบนี้ผมไม่ได้อยู่ข้างนอกดูแลเขา ก็เป็นห่วง”

แบงค์ยังคงระบายความรู้สึกที่ไม่ได้อยู่ดูแลครอบครัวในช่วงเวลาสำคัญต่อไปว่า “หัวอกคนเป็นพ่อ ลูกคนนี้เป็นลูกสาว เป็นลูกคนแรกของผม ผมกลัวมากว่าลูกจะถามว่าพ่อหนูคือใครเป็นคำถามที่โคตรแทงใจเลย พอนึกขึ้นมาก็รู้สึกน่าอาย หรือถ้าแฟนผมเป็นอะไรเกิดแท้งขึ้นมา ผมคงทำอะไรไปแบบไม่มีสติ”

เมื่อถามว่าอยากฝากอะไรถึงใครไหม แบงค์บอกว่าตอนนี้ยังไม่มี “ตอนนี้ผมเป็นห่วงแฟน” เขาทิ้งท้ายอย่างเศร้า ๆ

แบงค์ ถูกคุมขังมาแล้ว 63 วัน

.

อาร์ม วัชรพล: ลื่นล้มในห้องน้ำ ปลอดภัยดีแต่มีรอยฟกช้ำ

อาร์มนั่งรอในห้องเยี่ยมทนายห้องที่ 1 ด้วยสีหน้ายิ้มเล็ก ๆ สวมชุดสีฟ้าตามปกติและสวมหน้ากากอนามัยสีเทา เขาเล่าว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ได้ลื่นล้มในบล็อกห้องส้วม จนประตูห้องส้วมหลุด ดีที่หัวไม่ฟาดพื้น แต่ได้รอยช้ำตามตัวตามแขนมาบ้าง แต่อยู่ในระดับทนไหว ทื่ลื่นเพราะว่ารองเท้าที่ใส่พื้นมันไม่ดีแล้ว พอโดนน้ำก็เลยทำให้ลื่นได้ง่าย

เขาบอกว่าเมื่อวาน (25 ต.ค.) พ่อมาเยี่ยมจึงพึ่งจะได้คุยกันเรื่องที่บ้านไป 

“ส่วนใหญ่จะเป็นห่วงพ่อกับแม่ ตอนที่คุยกับพ่ออยู่ พวกตะวันมาเยี่ยม เก็ทก็เลยได้เดินไปคุยด้วย ได้ถามไถ่กัน และทราบว่าวันก่อนมีคนได้ประกันตัวไปสองคน พ่อผมก็มาเยี่ยมอาทิตย์ละครั้ง ทนายก็มาอาทิตย์ละครั้ง ก็โอเคอยู่นะ อยู่ลงตัวแล้ว ชินแล้ว มีคนมาเยี่ยมก็พอได้เดินออกมาเล่นบ้าง” 

อาร์มบอกว่าตอนนี้สุขภาพกลับมาแข็งแรงตามปกติแล้ว ไม่ไอ ไม่จาม แต่ก็ยังใส่แมสอยู่เฉพาะตอนออกมาเยี่ยมญาติ “เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้บังคับให้ใส่นะ ไม่ได้เคร่งอะไร ใครอยากใส่ก็ใส่ เขาก็มีแจก แต่มีไม่เยอะหรอก”

นอกจากนี้เขายังเล่าติดตลกว่า เมื่อคืนหลับเร็วแต่ที่หลับเร็วเพราะว่าหนังไม่สนุก เป็นหนังฝรั่ง ก็เลยหลับไปตั้งแต่ 5 โมงเย็น ไปตื่นอีกทีก็ 4 ทุ่ม

อาร์มยังพูดถึงเหตุการณ์ทะลุแก๊สมายื่นหนังสือหน้าเรือนจำ แล้วเรือนจำให้งดเยี่ยมในวันจันทร์ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา 

“คนข้างในเขาก็ไม่ได้มาโทษพวกผมนะ ก็ยังปกติกัน เผลอ ๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีม๊อบหรืองดเยี่ยม ข้างในไม่ได้ยินเสียงอะไรด้วยซ้ำ แต่ที่ผมรู้เพราะพี่เก็ทบอก”

อาร์มยังพูดถึงทัศนคติของคนในเรือนจำว่า “คนข้างในนี้เขาก็คุยการเมืองกันนะ คนที่ไม่ใช่คดีการเมืองก็พูดกันว่า เขาเชียร์ก้าวไกลมากกว่าเพื่อไทย เพื่อไทยอะจบแล้ว เป็นได้แค่สมัยนี้แหละ เขาพูดงี้กัน แล้วเขาก็คุยกันเรื่องทักษิณ ว่าเข้าคุกมาแค่แป๊บเดียวก็ได้ออกไปโรงพยาบาลนอกแล้ว ตอนแรกก็ยังดูแข็งแรงดี พอกลับไทยป่วยเลย ป่วยเสร็จก็ได้ไปอยู่สบาย ๆ ทีกับพวกคนคุกที่จะตายจริง ๆ ยังไม่ได้เจอหมอเลย 

“คนแก่อายุ 60-70 ยังไม่ได้ออกไปโรงบาลนอกกันเลย ยังไม่ได้รักษา ได้แค่ไปหาหมอ ไปตรวจ วัดความดัน แล้วก็ได้ยากลับมากินแค่นั้น พวกคนที่จะตายจริง ๆ นะ ไม่ได้ไปหรอกโรงบาลดี ๆ เต็มที่ ได้ดีที่สุดก็แค่โรงพยาบาลเรือนจำเนี่ยแหละ”

อาร์มถูกคุมขังมาแล้ว 62 วัน

.

ต้อม จตุพล: นอกจากทนายก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย

วันนี้ต้อมใส่เสื้อสีฟ้าตามปกติ และใส่หน้ากากอนามัยสีดำ ระหว่างรอทนายหน้าตาดูง่วงนอนและชะโงกไปดูด้านนอกตลอด ทนายทักทายต้อมว่า เป็นยังไงบ้าง ต้อมตอบว่า “สบายดี สุขภาพโอเค แข็งแรง ไม่เหมือนตอนเข้ามาแรก ๆ ที่หน้าซีด ไม่มีแรง ดีขึ้นเยอะ”

เขาบอกว่าช่วงกลางวัน ไม่ค่อยได้ทำอะไร ก็มีนั่งเล่น กินข้าวกับพี่อานนท์ทุกวัน ตอนกลางวัน พี่แกก็จะอ่านหนังสือ ดูพวกคดี เขียนจดหมาย ดูเครียด ๆ นะ ผมก็จะไปเล่นกับแก เล่นตลก เล่นมุกไปเรื่อย ผมไม่อยากให้แกเครียดมาก 

ต้อมเล่าว่าตัวเขาเองไม่มีใครมาเยี่ยมเลย 3 อาทิตย์แล้ว มีแต่ทนายมา แต่ช่วงนี้ก็โอเคดีแต่เหงา อยากเจอหน้าเมียก็ไม่ได้เจอ 

หลังจากนั้นก็ถามสถานการณ์ที่ด้านนอก ทนายจึงเล่าเรื่องการเมือง การชุมนุมของสมัชชาคนจน และการทำกิจกรรมของนักกิจกรรมกลุ่มต่าง ๆ ที่ต้อมรู้จักให้ฟังคร่าว ๆ เท่าที่ทราบ 

ต้อมบอกว่าเรื่องม๊อบทะลุแก๊สวันจันทร์ (23 ต.ค.) ที่หน้าเรือนจำ เห็นว่าเขามายื่นเอกสาร 2 เรื่อง อันแรกน่าจะเรื่องยารักษาโรค อีกอันเรื่องอิทธิพลในเรือนจำ รู้เพราะว่าพี่ตะวันมาเล่าให้พี่เก็ทฟัง 

“คนข้างในก็มีมาพูดใส่พวกผมบ้าง ว่าพวกนั้นมาชุมนุมก็เลยไม่ได้เยี่ยมญาติเลย แต่เขาก็ไม่ได้อะไรนะ เป็นเชิงพูดหยอกมากกว่า เพราะที่พูดกันก็รู้จักกันหมด เข้าใจพวกผมอยู่ คุยเล่นกันปกติ”

ต้อมถูกคุมขังมาแล้ว 62 วัน

.

เก่ง พลพล​: ครอบครอบและแฟนยังมาเยี่ยมอยู่ ทำให้ไม่เหงา


เก่ง สวมเสื้อสีฟ้าแขนสั้น กางเกงขาสั้นสีดำ สวมหน้ากากอนามัย นั่งรอรับโทรศัพท์ เขากล่าวทักทาย แววตายิ้ม ๆ เมื่อถามอาการเจ็บป่วย จากครั้งที่แล้วที่เข้าเยี่ยมว่าดีขึ้นหรือยัง เก่งบอกว่าดีขึ้นมาก 

“อาการป่วยหนักมีตอนวันหยุดยาวศุกร์ เสาร์ อาทิตย์  หลังจากนั้นก็ปกติแล้ว ไม่มีอาการไข้หวัด หรือปวดหัว คิดว่าตอนนี้ร่างกายปกติ เพราะปรับตัวเข้ากับโรคในนี้แล้ว” เก่งหัวเราะเมื่อพูดถึงตรงนี้

“ช่วงนี้สภาพจิตใจก็ปกติ ถือว่าควบคุมตัวเองได้ ตอนนี้ผมยังกินยาคลายเครียด ยานอนหลับอยู่ กินเพื่อให้หลับง่ายขึ้น แฟนไม่ได้มาหา แต่ก็เขียนจดหมายมาหา ทำให้คลายเหงาได้ ”

เก่งเล่าด้วยแววตาเหงา ๆ ว่า “สัปดาห์นี้มีคนได้กลับบ้านแล้ว ผมก็มีความหวัง แต่ผมก็จะรอทนายแจ้งข่าว นี่ก็ติดมา จะเข้าเดือนที่ 2 แล้ว ถ้านับไปก็เหลือติดอีก 6 เดือน ถ้าไม่ได้ประกัน เมษาปีหน้าก็ออก ตอนนี้ผมลองให้พ่อเช็คกับทางเรือนจำ ว่าผมจะต้องติดไปถึงไหนอยู่เหมือนกัน”

“ถ้าได้ประกันก็ดี ถ้าไม่ได้ก็อยู่ต่อ ก็ต้องทำใจอยู่ให้ได้ เพราะมันก็ทำอะไรไม่ได้” 

เก่งยังเล่าว่า แม่เพิ่งมาเยี่ยมเมื่อวันพุธ “แกก็เล่าให้ฟังว่าที่บ้านเพิ่งมีงาน ตอนแรกเงียบมาก พอตอนนี้เริ่มมีงาน ก็มีเงินส่งมาให้ คือปกติถ้าพ่อกับแม่ไม่มา ก็จะให้แฟนผมมาช่วยดูผม เลยไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่”

เมื่อถามว่าจะฝากอะไรถึงคนข้างนอกหรือไม่ “ผมไม่ค่อยมีอะไรจะฝาก แต่อยากบอกว่าคนข้างในยังสู้อยู่ คนข้างนอกก็สู้ด้วยนะครับ ถ้าได้ประกันก็จะได้เจอกันเร็ว แต่ถ้าไม่ได้ประกันก็เอาไว้เจอกันครับ ช้าหน่อยแต่ได้เจอแน่นอน”

เก่ง ถูกคุมขังมาแล้ว 63 วัน

.

ไพฑูรย์: อยากได้เรื่องผีมาอ่านในเรือนจำ

ไพฑูรย์บอกว่าสุขภาพกลับมาปกติแล้ว หายป่วย ไม่มีไข้ ไม่มีหวัด ‘ทุกอย่างเป็นเอง หายเอง’ ส่วนคนในแดนก็เริ่มหายพร้อม ๆ กันหมด

เขาเล่าว่าหลังกลับมาจากออกศาลรอบนี้ถูกนำไปกักตัวอยู่แดน 7 เหมือนตอนแรก แต่คราวนี้ได้อยู่บนเรือนนอนใหญ่ ไม่ได้อยู่ในห้องแคบ ๆ แบบเดิมแล้ว กักตัวรอบนี้แค่พักอยู่ที่เรือนนอนตลอดทั้งวัน มีอยู่ประมาณ 19-20 คน พอถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็จะเอาอาหารใส่ถาดขึ้นมาให้ พอกักตัวเสร็จก็กลับมาอยู่แดน 6 เหมือนเดิม

ไพฑูรย์ยังบอกว่าตอนนี้ยังไม่ขาดเหลืออะไร ทุกอย่างยังมีใช้พอ ทั้งของใช้ทั้งเงิน เพียงแค่ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาร้านค้าข้างในน่าจะขนของไม่ได้หรืออะไรสักอย่าง ทำให้กดซื้อของไม่ได้ เพิ่งกลับมาซื้อได้เมื่อเช้า (26 ต.ค.) นี้เอง 

เนื่องจากเขาเป็นคนชอบเรื่องผี ไพฑูรย์บอกว่า เรือนนอนของเขาเปิดแต่ช่อง 3 ทิ้งไว้ เลยได้เห็นโฆษณาหนัง “ธี่หยด” ในห้องเลยคุยกันว่ามีใครเคยอ่านหรือฟังเรื่องนี้ไหม ดั๊ก สุขสันต์ บอกว่าเขาเคยฟังจาก the ghost รู้สึกว่าเหมือนจะมีเรื่องเล่าในพันทิปหรือที่ไหนสักแห่ง เลยอยากให้ข้างนอกเอาเรื่องเล่าส่งเป็นตอน ๆ ผ่านจดหมายเข้ามา เผื่อข้างในจะได้มีเรื่องผีไว้อ่านกันบ้าง

ไพฑูรย์ถูกคุมขังมาแล้ว 47 วัน 

.

ดั๊ก สุขสันต์: ยังคงเป็นผื่นตุ่มใสเต็มตัวเหมือนเดิม แม้ผ่านมา 40 กว่าแล้ว

ดั๊กกลับมาร่าเริงเต็มที่ โดยบอกว่าเขาหายป่วยแล้ว น่าจะมีแค่อาการภูมิแพ้อากาศซึ่งเป็นอยู่เดิม ตอนเช้า ๆ ตื่นมาจะเจ็บคอนิดหน่อย ในเรือนนอนเดียวกันทุกคนเริ่มหายป่วย แต่อีกฝั่งท้ายห้องกำลังเริ่มป่วยอยู่ 3-4 คน ทำให้เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะวนกลับมาป่วยอีกไหม

อย่างไรก็ตาม ดั๊กบอกว่าผื่นยังมีเหมือนเดิม “อันเก่าหาย แล้วก็เป็นใหม่ วนไป ไม่ได้ลดหรือเพิ่ม เขาถกแขนเสื้อให้ดู “เป็นผื่นเป็นตุ่ม ๆ แบบนี้ครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นที่หลัง เท่าที่ดูเป็นเม็ดตุ่มน้ำใส ๆ เล็ก ๆ แดง ๆ ที่ถ้าเกาแตกน่าจะเจ็บ”

นอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว สุขสันต์บอกว่าช่วงนี้เวลาแปรงฟันมักมีเลือดออก ไม่ได้ออกเยอะมาก แต่จะรู้สึกว่ามีเลือดตอนจะบ้วนปาก “เป็นมาหลายวันแล้ว ไม่รู้เกิดจากอะไรเหมือนกัน แต่ไม่ได้เจ็บหรือปวดฟันอะไร ปกติทุกวันจะได้แปรงฟันรอบสุดท้ายก่อนขึ้นเรือนนอน ก็ประมาณบ่าย 2-3 เลย แล้วก็ยิงยาวยันเช้า เพราะห้ามเอาแปรงขึ้นเรือนนอน”

ดั๊กเล่าย้อนกลับไปว่าตอนกักตัวอยู่แดน 7 มีแค่ผ้าห่มบาง ๆ ให้ 3 ผืน เอามาปูนอนบนพื้นแข็ง ๆ  พอกลับมาที่แดน 6 ค่อยดีขึ้นหน่อย เพราะแดนนี้มีเบาะรองให้

เช่นเดียวกับไพฑูรย์ ดั๊กบอกว่าตัวเองชอบอ่านเรื่องผีเหมือนกัน “ตอนนี้ไล่อ่านไปจนเรื่องผีจะหมดห้องสมุดแล้ว เลยต้องเปลี่ยนไปอ่านหนังสือประเภทอื่นบ้าง ตอนนี้เลยมาอ่านพวกหนังสือศาสนาและความเชื่อแทน”

“ผมพยายามไม่คิดมาก แต่ก็ยังคิดถึงทุกคนอยู่เสมอ ยังรู้ตัวตลอดว่าเมื่อไหร่คิดมากก็จะพยายามเอาหนังสือมาอ่านแทน ในแดน เวลาจะเอาหนังสือขึ้นเรือนนอน ก็ต้องฝากให้ผู้ช่วยเอาขึ้นไปให้ จะเอาขึ้นไปเองไม่ได้ เหมือนเจ้าหน้าที่ต้องเช็คก่อนว่าใครจะเอาอะไรขึ้นเรือนนอนบ้าง”

ดั๊กทิ้งท้ายว่า ในฝันเขายังคงได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ได้พูดคุยพบปะทั้งแฟน ญาติ ๆ และคนรู้จัก แต่พอตื่นมาก็ยังอยู่ในเรือนจำเหมือนเดิม แต่เขาก็ยังคงฝันแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ  

ดั๊กถูกคุมขังมาแล้ว 47 วัน
.

บุ๊ค ธนายุทธ: การรักษาความสะอาดทำได้ยาก – คนในแดนลงชื่อยาวมากเพื่อขอรับยาผดผื่นคัน

บุ๊ค เล่าว่าได้ยินข่าวเรื่องเพื่อนมายื่นหนังสือเมื่อวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา หลังจากนั้นได้ทราบว่ามีรองปลัดกระทรวงยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบ มี สส. ก้าวไกลมาด้วย โดยที่แดน 6 มีการจัดเตรียมสถานที่ จัดผู้ต้องขังที่ทำงาน มาเตรียมความพร้อมหากมีการเข้าเยี่ยม แต่สุดท้ายเขาก็พาไปที่แดน 8 แดนเดียว 

“แดน 8 ที่ผมทราบมาเป็นแดนที่ดีที่สุด การตรวจสอบไม่ครบทุกแดน ก็ไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อมจริง ไม่ได้เห็นปัญหาจริง ๆ และทางเรือนจำมีการเตรียมการไว้ สุดท้ายมันจะเห็นปัญหายังไง

“การแก้ปัญหาเบื้องต้นที่ผมเห็นว่าทำได้เลยนะ คือเรื่องผ้าห่ม ผมคิดว่ามันจัดการได้เลย เพราะผ้าห่มที่ผมห่มอยู่มันคือปีงบประมาณ 64 มันพิมพ์ติดที่ผ้าห่ม จริง ๆ มันมีงบเรื่องผ้าห่มมาทุกปี แต่ทำไมผมยังห่มปี 64 อยู่เลย

“สภาพอากาศแบบนี้ บวกกับความสะอาดในเรือนจำ ผู้ต้องขังป่วยกันเยอะ ตอนนี้ผมมีผดเล็ก ๆ ขึ้นที่หลัง ที่ขา น่าจะเป็นเพราะผ้าห่มที่ไม่สะอาด ผมซักนะ แต่ด้วยสภาพข้างใน มันทำได้เท่านี้ ในเรือนจำคนเป็นผื่นเป็นผดเยอะ วันก่อนเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประกาศให้ผู้ต้องขังที่มีปัญหาผดผื่นมาลงชื่อรับยาแก้คันไว้ คนมาลงชื่อเยอะมากแถวยาวมาก แสดงว่าหลายคนประสบปัญหาเดียวกัน ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ยานะ เราต้องรอก่อน”

บุ๊คเล่าว่าภายหลังจากมีการยื่นหนังสือของกลุ่มทะลุแก๊สเรื่องคุณภาพชีวิตในเรือนจำ ก็มีเจ้าหน้าที่เรียกเขามาถาม

“หลังจากที่เพื่อน ๆ มายื่นหนังสือ เจ้าหน้าที่เรียกผมไปสอบถาม ว่าผมเคยถูกรีดไถ่ หรือคุกคามหรือเปล่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีปัญหาอะไรให้แจ้งเจ้าหน้าที่ ๆ จะจัดการให้ ผมก็แจ้งไปว่าตอนลงแดนใหม่ ๆ ผมเคยเจอคนมาขอของกินบ้าง ตอนแรกก็ให้ ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเค้าไม่มีญาติ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ให้เค้าแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคนนี้ทำมาหลายครั้งแล้ว ถ้าเค้าหรือมีใครมาทำอะไรให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่จะได้จัดการ” 

บุ๊คทิ้งท้ายก่อนจากกันว่า “ผมก็ขอขอบคุณเพื่อน ๆ มาก ๆ ที่คอยมาเยี่ยมและติดตามช่วยเหลือพวกเราในเรือนจำ มันเป็นกำลังใจให้ผมและคนข้างในมาก ๆ เลย ตอนนี้ก็เป็นห่วงแฟนกับย่า แฟนผมดูแลย่าคนเดียวไม่ไหวหรอก ก็หวังว่าจะได้ประกันไว ๆ”

บุ๊ค ถูกคุมขังมาแล้ว 39 วัน

.

สุดใจ: ได้ย้ายมาอยู่แดน 1 – เป็นผู้ต้องขังที่สุขภาพดีที่สุดในห้องขังของตัวเอง

ทนายเยี่ยมสุดใจผ่านหน้าจอคอนเฟอเรนซ์ เนื่องจากเขายังต้องกักตัวในแดนที่เพิ่งย้ายมาอีก 5 วัน สุดใจสวมเสื้อสีฟ้าอ่อนแขนสั้น กางเกงขาสั้นสีดำหรือสีกรมท่า หน้าตายิ้มแย้ม ใบหน้าไม่มีความกังวล กล่าวทักทายกันเล็กน้อย 

“ตอนนี้อยู่แดน 1 แล้ว เขาให้อยู่บนนี้อีก 5 วัน” สุดใจแจ้งในทันทีที่ทักทายกันเสร็จ “ที่นี่ยังไม่แตกต่างจากแดนแรกรับ ความแออัดยังไม่ค่อยมี แต่ก็นอนชิดกันพอสมควร ไม่รู้ว่าถ้าต้องลงไปข้างล่างหลังกักตัวจะแออัดเพิ่มกว่าเดิมไหม” สุดใจอธิบายเพิ่ม

“ที่เรือนจำเมื่อเข้ามาจะแจกแปรงสีฟันให้ และจะมียาสีฟันหลอดใหญ่ กับสบู่ 2 ก้อน ให้ใช้ร่วมกัน และจะแจกผ้าห่ม 3 ผืน ผืนนึงใช้รองนอน อีก 2 ผืน ใช้ห่ม กับเป็นหมอนรองนอน 

“ตอนนี้ผมนอนถอดเสื้อ เพราะอากาศค่อนข้างร้อน คนก็มีนอนชิด ๆ กันบ้าง แต่ถ้าหน้าหนาวก็ไม่รู้ว่าทางนี้จะให้ผ้าห่มเพิ่ม หรืออากาศจะหนาวไหม ต้องรอดูอีกที”

ถ้าได้ลงไปห้องข้างล่าง เรือนจำจะมีตู้ล็อคเกอร์ให้ ผู้คุมบอกว่าให้ผู้ต้องขังหากุญแจมาปิดเอง โดยถ้าจะเอากุญแจต้องมีดอกกุญแจ 3 ดอก โดย 2 ดอกแรก เก็บไว้ที่ผู้ต้องขังเอง อีก 1 ดอก ให้ไว้กับผู้คุม เผื่อผู้ต้องขังทำกุญแจหาย และผู้คุมได้บอกกับสุดใจว่าไม่ต้องกลัวของหายเพราะมีกล้องวงจรปิด ถ้ามีใครมางัดจะถูกจับลงโทษ

ส่วนเรื่องอาหารการกิน สุดใจบอกว่าค่อนข้างโอเค ส่วนใหญ่เขากินอาหารที่คนข้างนอกฝากเข้ามาให้ มีเพียงพวกน้ำพริกแกล้มข้าวที่จะซื้อกินเอง เพื่อให้รสชาติอาหารจัดจ้านมากขึ้น 

สุดใจบอกว่าเขาสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีอาการไข้หรือหวัด “ช่วงนี้หนักก็เรื่องกรดไหลย้อน ที่เวลาไอจะจุกที่คอหอยตรงคอ ทำให้นอนลำบาก แต่ตอนนี้ดีขึ้น ทางเรือนจำให้กินยาลดกรดไป ผมดูแข็งแรงกว่าเพื่อนที่อยู่ในห้องด้วยกัน บางคนมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน เป็นความดันบ้าง” สุดใจอธิบายเพิ่มเติม

สุดใจถูกคุมขังมาแล้ว 20 วัน

X