ศาลตัดสินคดี ม.112 “โฟล์ค สหรัฐ” จำคุก 2 ปี เหตุปราศรัยใน #ม็อบบ๊ายบายไดโนเสาร์ ก่อนให้ประกันในชั้นอุทธรณ์

วันที่ 19 ต.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ “อดีตสามเณรโฟล์ค” หรือ สหรัฐ สุขคำหล้า บัณฑิตชั้นปริญญาตรีจากวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และ สมาชิกแนวร่วมราษฎรศาลายาเพื่อประชาธิปไตย ​เหตุจากปราศรัยในม็อบ ‘บ๊ายบายไดโนเสาร์’ ของกลุ่มนักเรียนเลว เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2563

ศาลพิพากษาว่าสหรัฐมีความผิดตามมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่ให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษเหลือ 2 ปี ก่อนได้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ โดยให้วางหลักทรัพย์ 300,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขประกัน

ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2563 โฟล์ค สหรัฐ ซึ่งในขณะนั้นเขาบวชเรียนเป็น “สามเณร” ได้ขึ้นปราศรัยภายใต้หัวข้อ ‘อำนาจที่มองไม่เห็นและความรุนแรงของรัฐ’ ในการชุมนุม #ม็อบบ๊ายบายไดโนเสาร์ ที่จัดโดยกลุ่มนักเรียนเลว ซึ่งการชุมนุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับระบบการศึกษาและปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงออกทางการเมืองของนักเรียน นักศึกษา ผ่านการสะท้อนปัญหาจากเยาวชน

ต่อมา ‘รัฐธนภักษ์ สุวรรณรัตน์’ ประชาชนทั่วไป เข้าไปแจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2564 โดยอ้างว่าได้ฟังพบการเผยแพร่เทปบันทึกคำปราศรัยของสหรัฐและเห็นว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อรัชกาลที่ 10 จึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กล่าวหาในข้อความปราศรัยสองส่วนหลัก

1.ข้อความตอนหนึ่งว่า “เมื่อคุณได้เข้าไปที่วัด คุณมักจะเห็นการเทศน์ของพระสงฆ์ แต่คุณไม่เคยตั้งคําถามหรือถามพระสงฆ์กลับไปว่า สิ่งที่พระสงฆ์สอนนั้นมันถูกจริงหรือไม่ ทําไมการที่พูดถึงพระราชานั้นจะต้องพูดถึงแค่ด้านดีอย่างเดียว ทําไมเราไม่พูดถึงภัยของพระราชาบ้างครับ…”

2. ข้อความตอนหนึ่งว่า “…พล.อ. ประยุทธ์ ได้บอกว่า เนี่ย จะมีการใช้กฎหมายทุกมาตรา แม้กระทั่ง 112 ถ้าคุณพูดแบบนี้ปุ๊บเนี่ย พระมหากษัตริย์จะผิด คําสัญญาหรือคําซื่อสัตย์นะครับ เพราะกษัตริย์ตรัสว่า จะไม่ใช้ 112 กับมวลชน และมันมีที่มาบอกว่า กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคํา ถ้าคุณยังใช้ ม.112 เนี่ย แสดงว่าคุณยังเป็นกษัตริย์อยู่หรือไม่…”

การสืบพยานในคดีนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2566 สหรัฐรับข้อเท็จจริงได้ว่าได้พูดปราศรัยตามคำฟ้องจริง แต่คำปราศรัยไม่ได้เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 แต่อย่างใด จากนั้น ศาลจึงสืบพยานทั้งฝ่ายรวมแล้วทั้งหมด 7 นัด จนเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา

ภาพรวมการสืบพยานโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยปราศรัยเป็นการทำลายสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ส่วนด้านจำเลยต่อสู้ว่า เป็นการพูดถึงปัญหาในศาสนาพุทธ รวมถึงเสนอหลักการแยกศาสนาออกจากรัฐ และประเด็นเรื่องการกลับมาบังคับใช้มาตรา 112 เป็นการวิจารณ์พลเอกประยุทธ์ ที่ทำให้พระมหากษัตริย์ผิดคำสัญญาตามหลักทศพิธราชธรรม

.

วันนี้ (19 ต.ค. 2566) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 604  เวลาประมาณเก้าโมงเศษ โฟล์ค สหรัฐ เดินทางมาถึงศาล โดยมีเพื่อนนักกิจกรรม อาจารย์ นักข่าว ประชาชนทั่วไปหลายคนเดินทางเข้ามาให้กำลังใจ ขณะที่รอฟังคำพิพากษา

เวลา 9.45 น.​ จงมาด อักษรเสนาะ และ ชนิดา เลิศสิทธิสกุล ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์และเริ่มอ่านคำพิพากษาราว 20 นาที โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า ​ 

ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า ทั้งศาสนาและคนต่างมีข้อดีและข้อเสีย มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นได้ รวมถึงวิจารณ์พลเอกประยุทธ์ที่กล่าวอ้างคำพูดของในหลวงรัชกาลที่ 10 แต่อย่างไรก็ตาม ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 บัญญัติว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ 

ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุจำเลยบวชเป็นเณร ต้องระมัดระวังในการพูดของตน การที่จำเลยแสดงความคิดเห็นว่า ศาสนาและพระราชามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งอ้างว่าเป็นคติสอนใจ แต่การที่จำเลยกล่าวอ้างถึง “ภัยพระราชา” ซึ่งพยานโจทก์เบิกความทำนองเดียวกันว่าฟังแล้วเข้าใจว่ารัชกาลที่ 10 ทรงทำให้ประเทศเสียหายและอาจทำให้ประชาชนที่ได้รับฟังเกิดความดูถูกเกลียดชังพระมหากษัตริย์

และถ้อยคำปราศรัยในเรื่องกษัตริย์จะผิดสัญญาหรือคำซื่อสัตย์ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ในเรื่องการใช้มาตรา 112 ซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นคำพูดของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏว่าเคยทรงมีรับสั่งใด ๆ ให้ใช้มาตรา 112 เป็นเพียงนายกรัฐมนตรีที่ออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อปรามผู้ที่มีพฤติการณ์หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ 

ขณะที่จำเลยพูด ร.10 ยังทรงครองราชย์อยู่ แต่มีการปราศรัยและแสดงออกไม่เหมาะสม คำปราศรัยทำให้ประชาชนคล้อยตามคำพูดได้ และเกิดความเข้าใจว่ากษัตริย์ว่าไม่น่าเคารพ และประชาชนเกิดความเสื่อมศรัทธา จึงเห็นว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 

พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุให้ลดโทษ 1 ใน 3 คงเหลือจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนคำขอที่ให้นับโทษคดีนี้ต่อจากคดีที่ศาลแขวงดุสิตและศาลแขวงพระนครเหนือ เนื่องจากทั้งสองคดียังไม่มีคำพิพากษาออกมา จึงให้ยกคำร้องในส่วนนั้นไป

หลังศาลอ่านคำพิพากษา ศาลแจ้งว่าหากไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาก็สามารถยื่นอุทธรณ์และฎีกาได้ตามลำดับ

จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจศาลกำลังจะเตรียมใส่กุญแจมือโฟล์ค และนำตัวลงไปใต้ถุนศาล ได้มีนักกิจกรรมเข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ จนในที่สุดโฟล์คก็ถูกควบคุมตัวลงไปใต้ถุนศาลโดยที่ไม่ได้ใส่กุญแจมือ

จากนั้นนายประกันจึงได้ยื่นขอประกันตัวจำเลยในชั้นอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อเวลา 13.25 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยให้วางหลักทรัพย์จำนวน 300,000 บาท ซึ่งเป็นหลักทรัพย์จากกองทุนราษฎรประสงค์ 


โดยกำหนดเงื่อนไขเช่นเดิมที่โฟล์คได้รับประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น คือ ห้ามจำเลยร่วมการชุมนุมอันอาจทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองอีก, ห้ามกระทำการใด ๆ อันจะทำให้เสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาต โดยให้จำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยเคร่งครัด

.

อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

ดูฐานข้อมูล คดี 112 “สามเณรโฟล์ค” ปราศรัยในม็อบ #บ๊ายบายไดโนเสาร์ วิจารณ์การนำ ม.112 กลับมาใช้

บันทึกการต่อสู้คดี ม.112 ของ “โฟล์ค สหรัฐ” กรณีปราศรัย ‘ภัยของการพูดถึงพระราชาเพียงด้านดี’ และ ‘การกลับมาบังคับใช้ 112’ ใน #ม็อบบ๊ายบายไดโนเสาร์

X