บันทึกเยี่ยม “เก็ท โสภณ”: สุ่มตรวจในเรือนจำ ทุกคนถูกบังคับถอดเสื้อ รวมถึงกะเทยที่มีหน้าอก แต่เก็ทช่วยท้วงสำเร็จ

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2566 ทนายความได้เข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง สมาชิกกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี และลงโทษในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จากกรณีการปราศรัยในกิจกรรม #ทัวร์มูล่าผัว ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565  ปัจจุบันเก็ทถูกคุมขังมาแล้ว 40 วัน

วันนี้เก็ทเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเรือนจำให้ทนายฟังสั้น ๆ เขาบอกว่าตอนนี้ตัวเองได้พบเจอกับการจู่โจมในเรือนจำแล้ว กล่าวคือ ปกติทางเรือนจำจะมีการสุ่มตรวจประจำปี เก็ทบอกว่าเจ้าหน้าที่จะตรวจค้นทุกอย่างที่จะทำได้ ทั้งการตรวจร่างกาย ตรวจห้องนอน ตรวจทุกจุด แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้เขารู้สึกไม่เห็นด้วยสุด ๆ 

“วิธีการคือ สั่งให้ทุกคนนั่งลงกับพื้นลาน ผมส่งเสียงแย้งออกไป เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ตอบรับกลับมา แต่เขม่นใส่ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดแทน” เก็ทเล่าว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ยอมนั่งลงกับลาน เพราะเห็นว่ามันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาสั่งให้ผู้ต้องขังนั่งราบกับพื้นแบบนี้

“จุดที่ตรวจก็ไม่ได้ตรวจบริเวณที่ผู้ต้องขังยืน แต่ไปตรวจโรงนอน ตรวจห้องสมุด ไม่เกี่ยวกับตัวคนเลย แล้วยังมีการบังคับให้ทุกถอดเสื้อด้วย” เก็ทบอกว่าในการค้นห้องสมุด มีการรื้อชั้นหนังสือ แต่กลับไม่มีการเก็บให้เป็นระเบียบเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่ทำแค่มาค้นอย่างเดียวแล้วก็ไป ไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนทำความสะอาด-เก็บกวาด

“นี่รวมถึงกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ เขาก็โดนบังคับให้ถอดออกด้วย” เก็ทพยายามเล่าสิ่งที่ตัวเองเจอและเพื่อน ๆ กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ทั้งหญิงข้ามเพศ และกะเทยที่ถูกบังคับให้ถอดเสื้อออกจากตัวเอง

“ผมทักท้วงไปว่าบางคนในกลุ่มเขามีหน้าอกแล้ว จะให้ถอดได้อย่างไร” การทักท้วงของเก็ทเป็นผล เจ้าหน้าที่ผู้คุมยอมลดละ และไม่สั่งให้เพื่อนกะเทย และชายข้ามเพศหลายคนที่อยู่ร่วมแดนเดียวกับเก็ทต้องถอดเสื้อ 

“แต่ผมโดนตะโกนล้อเลียนว่า เป็นกะเทยเหรอ? เป็นปะเนี่ย” เก็ทไม่เข้าใจว่าการล้อเลียนแบบนี้มีประโยชน์อะไร เขาเพียงทำเพื่อปกป้องสิทธิที่ผู้ต้องขังทุกคนพึงได้รับ และในขณะเดียวกันที่เขาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหน้าที่ เสียงประกาศตามสายก็พยายามพูดกล่อมให้นักโทษทุกคนเป็นคนดี ให้เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ไว้อยู่เรื่อย ๆ 

เขายืนยันว่าการกระทำของตัวเองไม่ได้เป็นผู้กล้าอะไรแบบนั้น “เรื่องการต่อสู้ ไม่ได้อยากให้ทุกคนมองว่าผมเป็นผู้กล้า อยากให้มองแนวคิดของผมมากกว่า ว่าผมคิดยังไง แนวคิดของผมเป็นอย่างไร ไม่อยากให้เราต้องเผลอศรัทธาเพียงแค่ตัวบุคคลกัน”

ทั้งนี้ ในคดีมาตรา 112 อีกหนึ่งคดีของศาลอาญาธนบุรีที่เก็ทเป็น 1 ในจำเลย เก็ทได้แถลงขอถอนทนายและปฏิเสธอำนาจศาล เพื่อเป็นการประท้วงและเรียกร้องให้มีการคืนสิทธิประกันแก่ผู้ต้องขังคดีทางการเมือง รวมถึงยุติการดำเนินคดีมาตรา 112 ทั้งหมด โดยคดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบพยานไปจนถึงเดือน พ.ย. 2566 

X