เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เวลา 09.00 น.
ศาลอาญา ณ ห้องพิจารณาคดี 811
นัดฟังคำพิพากษาคดี #ม็อบ14ตุลา ข้อหา ม.112
_____________________________
อานนท์ นำภา เดินทางมาถึงห้องพิจารณาพร้อมกับครอบครัว รอบตัวเขายังคงรายล้อมด้วยผู้คนที่ร่วมกันมาให้กำลังใจแต่เช้า
ลูกชายตัวน้อยที่ติดสอยห้อยตามมาพร้อมเขาเองก็ตื่นเต็มตาอยู่บนอกแม่ ส่วนคนพ่อก็หยุดทักทายประชาชนที่มายืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วที่บริเวณหน้าห้องพิจารณา รอยยิ้มของอานนท์ที่มีให้กับเพื่อน ๆ ยังคงเหมือนเดิม เขายกมือไหว้ใครหลายคนที่ขอเข้ามากอด แม้แปลกหน้าแต่ก็วางใจมากพอที่จะยอมให้ใครหลายคนสวมกอดเขาจนพอใจ
“คดีนี้ติดคุกแน่ แต่ผมไม่เสียใจ” คำพูดนี้เกิดขึ้นภายหลังการสืบพยานเสร็จสิ้นในวันที่ 4 ก.ค. 2566 เขาบอกกับศาล อัยการ และทนายความที่อยู่กับเขาในวันนั้น
ใบหน้าของอานนท์ยังคงแสดงความหนักแน่นอย่างที่ได้พูดไว้ว่า ‘ไม่เสียใจ’ เขายืดหยัดอย่างชัดเจนในคำพูดนั้นเสมอมา
“ถ้าจำเลยมาแล้ว ขอเชิญเข้าห้องด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์เอ่ยกึ่งตะโกนเรียกหาอานนท์และทนายความแทรกผ่านความวุ่นวายที่ขึ้นบริเวณหน้าห้องพิจารณา มวลชนรายล้อมจนมองไม่เห็นจำเลยคนที่เธอกำลังเรียกหา แต่การตะโกนชื่อของอานนท์ก็เรียกความสนใจให้กับทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้เป็นอย่างดี
“เปิดห้องพิจารณาคดีที่ใหญ่กว่านี้ได้ไหม ให้ทุกคนได้เข้าไปเถอะ”
“ถ้าที่นั่งไม่พอ เรายอมนั่งพื้นฟังเอาก็ได้”
ประชาชนหลายคนเริ่มพูดกับ รปภ. ที่หน้าห้องการเรียกร้องขอให้เปิดห้องพิจารณาคดีที่ใหญ่กว่า เพราะมีคนอยากร่วมฟังคำพิพากษาจำนวนมาก ผู้คนเริ่มส่งเสียงเรียกร้องต่อกันเป็นกลุ่มใหญ่ เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ทุกคนที่อยู่หน้าห้องสามารถผ่านเข้าบานประตูห้องเข้าไปนั่งอยู่ร่วมกับอานนท์ได้
อานนท์เห็นเช่นนั้น เพื่อนหลายคนที่เขารู้จักคุ้นหน้า ประชาชนหลายคนที่เคยร่วมชุมนุมด้วยกันมาหลายหน กำลังส่งเสียงร้องขออย่างหนักหน่วง เขาเดินไปที่บริเวณหน้าห้องพิจารณาอีกครั้ง เรียนเชิญทุกคนเท่าที่จะสบตาและทักทายกันให้ผ่านเข้าบานประตูมาได้
“อ้าวพี่… เข้ามาสิ”
“นี่คุณ เดินเข้ามาเลย…”
“มาสิ เข้ามาได้เลย ยังมีที่นั่งเหลืออยู่”
อานนท์กวักมือเรียกหาทุกคนเท่าที่จะทำได้ รปภ. จึงยอมปล่อยคนจำนวนหนึ่งเข้าไปในห้องพิจารณาคดี แต่เสียงเรียกร้องยังไม่จบลง เจ้าหน้าที่ศาลจึงได้ตัดสินใจประกาศเสียงดังว่าจะยอมเปิดห้องพิจารณาข้างเคียงกันนี้ให้ทุกคนสามารถรับชมถ่ายทอดสดการอ่านคำพิพากษาพร้อมกัน ทำให้ประชาชนและกลุ่มเพื่อนของอานนท์จำนวนหนึ่งยินยอมพากันไปที่ห้องพิจารณาคดีข้าง ๆ
ส่วนบรรยากาศในห้องพิจารณาคดี 811 ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่นั่งอัดแน่นกันจนเบียดเสียด ทุกคนจำกัดอากัปกริยาตัวเอง บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวซึ่งทุกตัวถูกจับจอง แต่ก็แบ่งปันจัดสรรกันด้วยความเอื้อเฟื้อ
อานนท์นั่งห่างจากลูกชายวัย 10 เดือนเศษ และครอบครัวที่มาด้วยกันวันนี้สองช่วงตัวคน ลูกชายของเขาส่งเสียงร้องอ้อแอ้ แต่ไม่มีสักครั้งที่จะงอแง คล้ายเป็นบุคคลเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ส่งเสียงได้อย่างอิสระ ในห้วงขณะของความเงียบในห้องพิจารณา
“จำเลยแสดงตัว คุณชื่ออะไร” ศาลนั่งพิจารณาคดี เอ่ยถามย้ำกับชายที่อยู่ในสถานะจำเลย
“ชื่ออานนท์” คำตอบสั้น ๆ ก่อนจะก้าวเดินออกมายืนติดพนักพิงตรงคอกพยาน ใกล้กับทนายความของเขา
หลังจากนั้นคำพิพากษาก็ถูกอ่านร่ายยาวหลายหน้ากระดาษ ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นในระหว่างที่ศาลสาธยายความผิดของอานนท์ ห้องพิจารณาคล้ายเงียบเฉียบ ราวกับทุกคนกำลังกังวลว่าแม้แต่เสียงลมหายใจก็อาจจะดังเกินไป
การวินิจฉัยความผิดถูกยกฟ้องไป 7 ข้อหาแล้ว อานนท์ใบหน้าแน่นิ่ง ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร จนกระทั่งคำพิพากษาในข้อหาที่ใหญ่ที่สุดก็มาถึง
“เจตนาของจำเลยรับฟังไม่ได้ว่าเป็นการป้องกันการสลายการชุมนุม ข้ออ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ พิพากษาจำคุก 4 ปี” สิ้นเสียงการอ่านคำพิพากษา อานนท์หันหลังมา แล้วเดินเข้าไปหาครอบครัวทันที
“อานนท์จะอุ้มลูกหน่อยไหม?” แม่ของเด็กน้อยบอกกับเขา เด็กชายวัย 10 เดือนเศษยังคงไม่รู้ประสา แม้ห้องพิจารณาจะเริ่มกลับมาอึกทึกด้วยเสียงบ่นงึมงำของผู้คนในห้อง
เพื่อน ๆ และประชาชนหลายคนพยายามเดินเข้าหาอานนท์เท่าที่จะทำได้ แต่สายตาของคนที่ตกเป็นจำเลยยังคงมองเพียงลูกชายของเขา
อานนท์พยักหน้าและตอบรับด้วยเสียงงึมงำ สังเกตว่าใบหน้าเขาแดงก่ำ เหมือนพยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงตรงหน้าลูก
เด็กชายถูกส่งมอบต่อ เขาปีนไปอยู่ตรงอกพ่อ ใบหน้ากลมซบลงตรงไหล่ของพ่ออยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะเดินเข้ามาแตะที่แขนเป็นสัญญาณว่าตอนนี้เขาต้องบอกลาทุกคนได้แล้ว
อานนท์คืนลูกชายกลับเข้าสู่อ้อมกอดแม่ เขากระซิบกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ว่าอย่าใส่กุญแจมือตรงนี้เลย ขอให้เขาเดินอย่างปกติ เจ้าหน้าที่ชายทำเพียงพยักหน้าและเชิญตัวเขาออกจากห้องพิจารณา
ผู้คนแน่นขนัดตา ที่ตรงบานประตูนั้น ก่อนเสียงหนึ่งของใครสักคนในกลุ่มจะดังขึ้นว่า “สู้ ๆ อานนท์” เสียงให้กำลังใจถูกขานรับต่อกันไป และดังต่อเนื่องตลอดทางจนกระทั่งสิ้นสุดจุดสายตาที่ทุกคนจะมองเห็นเขาได้
อานนท์ยังคงมีผู้คนรายล้อมเสมอ ไม่ว่าสองเท้าของเขาจะนำเดินไปที่ไหน…
.
.
คาดว่าภายในวันศุกร์นี้ (29 ก.ย. 2566) ศาลอุทธรณ์น่าจะมีคำสั่งลงมาว่าเขาจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ โดยคำร้องขอประกันตัว ยืนยันเรื่องจำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี และไม่เคยผิดเงื่อนไขการประกันตัว ตลอดจนบอกกล่าวถึงความเป็นพ่อของลูกทั้งสองคน