เข้มแข็งและต้องผ่านไปให้ได้: บทเรียนจากเพื่อนผู้ต้องขัง เสมือนของขวัญวันเกิดปีที่ 32 ของวารุณี  

วันนี้ (18 ก.ย. 2566) เป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่ 32 ของ ‘น้ำ วารุณี’ ปัจจุบันเธอยังคงรักษาตัวอยู่ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จากการอดอาหารประท้วงเป็นวันที่ 29 และจำกัดการดื่มน้ำเป็นวันที่ 26 แล้ว แต่ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา เธอต้องยอมกินข้าวต้มครั้งละ 10 ช้อน ตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากต้องทานยาฆ่าเชื้อเป็นเวลา 7-10 วัน

วันนี้ทนายความเดินทางไปเยี่ยมวารุณีที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เช่นทุกวัน และวารุณีได้มอบจดหมายที่เธอเขียนเล่าถึงชีวิตในวันเกิดปีที่ 32 เพื่อนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วย 

ใจความในจดหมายเล่าถึงบทเรียนที่วารุณีได้รับจาก ‘เรื่องเล่า’ ของเพื่อนผู้ต้องขังคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพยาบาลใน รพ.ราชทัณฑ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความทุกข์ยากและการต้องโทษจำคุกนานหลายปี แต่สุดท้ายเพื่อนผู้ต้องขังคนนั้นก็ผ่านมาจุดวิกฤตของชีวิตมาได้ ด้วยการมองหาสิ่งที่มีความสุขและปรับตัวอยู่กับความเป็นจริง

ถ้อยคำในจดหมายจากวารุณี

18/09/66 (00.10)

Happy Birthday to me คืนนี้นั่งคุยกับผู้ช่วยพยาบาล (ที่เป็นผู้ต้องขังด้วยกัน) แบบไม่ได้นัดหมายเลยได้รู้ว่าทุกคนมีสตอรี่เป็นของตัวเอง ไม่ใช่แค่เราที่โชคร้าย จากเรื่องที่ได้ฟัง โทษที่พี่เค้าได้มันเยอะกว่าเรามาก ๆ (25 ปี) เค้าบอกว่าเค้าพยายามหามุมเล็ก ๆ ที่เขามีความสุขในคุก เล่าแบบไม่มีน้ำตามาเจือปน เล่าเหตุการณ์วันที่โดนจับ การปรับตัว การเรียนรู้ชีวิตแบบใหม่ในสังคมแบบใหม่ที่ต้องยอมรับว่าคงไม่มีใครอยากจะพบเจอ แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ 

ตอนนี้โทษของเค้าเหลือ 3 ปี กลับอีกไม่กี่เดือนก็ได้กลับบ้านแล้ว ส่วนตัวเราก็ยังคงสู้กับกระบวนการอยุติธรรมต่อไป เรานั่งฟังเขาอย่างตั้งใจโดยที่ไม่ยกคดีของเราขึ้นมาพูดเลยซักคำ เพราะโทษ 1 ปี 6 เดือน มันน้อยนิดเหลือเกินถ้าเทียบกับเขาแล้ว 3 ปีที่เหลือ ถ้าดูจากแววตาแล้วมันเปี่ยมไปด้วยความสุข ความหวัง การรอคอยที่ใกล้จะมาถึง 

แต่เราเองก็ทำได้แค่นั่งคิดในใจว่า 1 ปี 6 เดือนของเรามันน้อยไปสำหรับการร้องไห้หรือเปล่า บทสนทนาในวันนี้สรุปแล้วมันสอนให้เรารู้จัก ‘ความเข้มแข็ง’ สตอรี่ของพี่เค้าอาจจะดูเหมือนแค่คำบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาและเป็นอยู่ แต่สำหรับเรามันเป็นเหมือน ‘ของขวัญชิ้นแรก’ ของปีนี้

เราตกผลึกว่าหากยังต้องอยู่ในนี้ ประกันตัวไม่ได้จริง ๆ ทุกอย่างก็ไม่ได้แย่ไปซะหมด ถึงแม้ว่าระหว่างทางบางคนอาจหล่นหายไป แต่สุดท้ายคนที่รอเราอยู่ในวันพ้นโทษก็คงจะไม่พ้นคนที่รักเราจริง ๆ แต่ยังไงเราก็ไม่หยุดต่อสู้กับความบิดเบี้ยวของกฎหมายข้อนี้และศาลที่คอยกันแกล้งเราเสมอมา

เพียงแต่แค่นาทีนี้ โมเมนต์นี้ เราแค่รู้จักและระลึกได้ว่า ‘ทุกอย่างไม่ได้แย่ไปทั้งหมด’ ถึงแม้ในตอนสุดท้ายเราอาจจะต้องจบชีวิตเพราะการอดข้าวอดน้ำ นั่นก็คือเราได้ใช้ความเข้มแข็งทั้งหมดที่เรามีต่อสู้แล้ว หรือถ้าหากมันต้องจบด้วยการที่เราติดคุก 1 ปี 6 เดือน ในวันพ้นโทษเราก็จะไม่ลืมความเข้มแข็งของตัวเองที่ได้พยุงชีวิตออกมาเจอกับโลกภายนอกอีกครั้ง ไม่ว่าตอนจบจะเกิดอะไรขึ้นความเข้มแข็งจะพาเราไปพบคำตอบเสมอ

                                                                                                                                       วารุณี

เขียนที่ห้อง 1/1 รพ.ราชทัณฑ์

X