ศาลยกฟ้อง 5 ข้อหา คดี “ชาติ-บอมเบย์ ทะลุฟ้า” ร่วมกิจกรรมสาดสีหน้าพรรคภูมิใจไทย แต่ปรับคนละ 2 พัน ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ

วันที่ 25 ก.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลแขวงพระนครเหนือ นัดฟังคำพิพากษาในคดี “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ-ม.215-ม.216” ของ ‘ชาติ’ ชาติชาย ไพรลิน (จำเลยที่ 1) และ ‘บอมเบย์’ เจษฎาภรณ์ โพธิ์เพชร (จำเลยที่ 2) สมาชิกกลุ่มทะลุฟ้า กรณีจากการร่วมอยู่ในกิจกรรมสาดสีหน้าพรรคภูมิใจไทยเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564

ย้อนไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 กลุ่มทะลุฟ้าได้จัดกิจกรรมเดินทางมายังพรรคภูมิใจไทยเพื่อยื่นหนังสือให้ลาออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ขอให้เห็นความทุกข์ยากของประชาชน และมีการเรียกร้องให้ตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทยออกมารับหนังสือดังกล่าว แต่ปรากฏว่าไม่มีการตอบรับใดๆ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเริ่มติดสติกเกอร์และใช้ถุงสีแดงปาใส่บริเวณด้านหน้าพรรค

หลังจากนั้นในวันที่ 13 มิ.ย. 2565 ณัฏฐา อุ่นจิตต์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 ยื่นฟ้องคดีทั้งสองคน ด้วย 6 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 215 มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง, มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกไป แต่ไม่เลิก, มาตรา 385 กีดขวางทางสาธารณะ, ร่วมกันขีดเขียนพ่นสี หรือทำให้ปรากฏซึ่งข้อความ ภาพ ที่กำแพง อาคาร หรือที่สาธารณะ ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ และร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต

คดีนี้ทั้งคู่ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และศาลได้สืบพยานโจทก์และจำเลยไปตั้งแต่วันที่ 3, 10, 24 ก.พ. และ 9 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ก่อนนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้

วันนี้ (25 ก.ค. 2566) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 7 เวลาประมาณ 09.45 น. จำเลยทั้งสองคนเดินทางมาฟังคำพิพากษา ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาและอ่านคำพิพากษาสรุปได้ดังนี้ 

พิเคราะห์พยานโจทก์และจำเลย มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มหรือไม่ โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความว่า จำเลยทั้งสองร่วมทำกิจกรรมรวมกลุ่ม แต่ไม่มีพยานโจทก์ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองปราศรัย ร่วมกันนำการชุมนุม หรือเป็นแกนนำ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดชุมนุม เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ในประเด็นการมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ตามมาตรา 215 วินิจฉัยว่า โจทก์มีพยานสองคนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน เบิกความว่า วันเกิดเหตุเห็นจำเลยที่ 1 ปาถุงบรรจุสี และจำเลยที่ 2 นำสติกเกอร์ไปติด เจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศให้เลิกแล้ว จำเลยทั้งสองไม่เลิก 

เห็นว่าตามมาตรา 215 ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาให้เกิดความวุ่นวาย เมื่อพยานโจทก์เบิกความว่า ไม่มีผู้บาดเจ็บ เมื่อทำกิจกรรมเสร็จก็แยกย้ายกัน จำเลยทั้งสองไม่ได้มีเจตนาในการประทุษร้าย จึงไม่มีความผิดร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ตามมาตรา 215 และมาตรา 216

ในประเด็นกีดขวางทางสาธารณะ ตามมาตรา 385 ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อยู่บนทางเท้า บางส่วนอยู่บนช่องจราจร 1 ช่อง และรถยนต์ยังสามารถสัญจรได้ 1 ช่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกการจราจร จึงไม่มีความผิดในฐานกีดขวางทางสาธารณะฯ

ในประเด็นตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ จำเลยที่ 1 เบิกความว่า ภาพที่ปรากฏในพยานเอกสารเป็นภาพตนเองชี้ไปที่สี แต่เห็นว่าภาพมีลักษณะการเหวี่ยงแขนเพื่อปาสิ่งของ ส่วนจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลที่ติดสติกเกอร์จริง จำเลยทั้งสองจึงมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ลงโทษปรับคนละ 2,000 บาท

ส่วนในประเด็นสุดท้าย การใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่ใช่ผู้จัดชุมนุม จึงไม่ใช่หน้าที่ของจำเลยทั้งสองในการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ 

สรุปแล้ว ศาลพิพากษาปรับจำเลยคนละ 2,000 บาท ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ส่วนในข้อหาอื่นศาลยกฟ้องทั้งหมด 

หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษา จำเลยทั้งสองคนได้ลงไปจ่ายค่าปรับให้กับศาลด้วยตนเองทันที

ผู้พิพากษาที่อ่านคำพิพากษาในคดีนี้ คือ ดิษฐการ พงษ์เสนีย์

นอกจากในคดีนี้แล้ว ยังมีคดีสาดสีหน้าพรรคภูมิใจไทยที่ 4 สมาชิกกลุ่มทะลุฟ้า ได้แก่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, จิตริน พลาก้านตง, ทรงพล สนธิรักษ์ และปนัดดา ศิริมาศกูล ถูกดำเนินคดีด้วยข้อกล่าวหาในทำนองเดียวกัน แต่ในข้อหาตามมาตรา 215 นั้น ถูกฟ้องในวรรคสาม เรื่องการเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการด้วย ซึ่งมีโทษสูงกว่าในวรรคแรก ทำให้ทั้งสี่คนถูกฟ้องคดีที่ศาลอาญา และมีนัดเริ่มสืบพยานโจทก์ในวันที่ 29 ส.ค. 2566 นี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

ฟ้องคดี ‘4 ทะลุฟ้า’ ปาสีหน้าพรรคภูมิใจไทย ศาลให้ประกัน แต่สั่งห้ามทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย แถมติด EM

X