บันทึกการสืบพยาน: เมื่อปฏิทินภาพกรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์ (เป็ดยาง) ถูกกล่าวหาในคดีอาญา ม.112

วันที่ 7 มี.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญาตลิ่งชันกำหนดนัดฟังคำพิพากษาและคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ “ต้นไม้” (นามสมมติ) นิติกร บริษัทเอกชนวัย 26 ปี ในกรณีที่สืบเนื่องมาจากการจัดจำหน่ายปฏิทินตั้งโต๊ะ รูปเป็ดเหลือง ประจำปี 2564 ในเพจเฟซบุ๊ก “ราษฎร” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่ามีภาพและข้อความที่เข้าข่ายล้อเลียน และหมิ่นประมาทกษัตริย์ 

ก่อนหน้านี้ ต้นไม้ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและตรวจค้นบ้านพักในเย็นวันที่ 31 ธ.ค. 2563 ก่อนถูกยึดโทรศัพท์มือถือ และปฏิทินตั้งโต๊ะรูปเป็ด และถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.หนองแขม เป็นเวลา 2 คืน พร้อมถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 ก่อนพนักงานสอบสวน สน.หนองแขม จะยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลอาญาตลิ่งชัน และศาลให้ประกันตัว  ภายหลังพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีนี้จากเนื้อหาปฏิทินทั้งหมด 6 หน้า เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2564 โดยจำเลยต้องใชัหลักทรัพย์ในการประกันตัว 210,000 บาท

คดีนี้ ศาลได้นัดสืบพยานคดีรวมทั้งหมด 6 นัด โดยเป็นการสืบพยานโจทก์ระหว่างวันที่ 18 – 21 ต.ค. 2565 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 2 – 3 พ.ย. 2565 ทั้งนี้ อัยการได้นำพยานโจทก์เข้าสืบ 10 ปาก และทนายความได้นำพยานจำเลยเข้าสืบ 3 ปาก จนเสร็จสิ้น 

ก่อนที่ทนายจำเลยจะยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ต.ค. 2519 ข้อ 1 อันมีการกำหนดเพิ่มโทษข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเดิมโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี เป็นจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี  ซึ่งจะบังคับใช้ลงโทษจำเลยในคดีนี้นั้น ไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย หรือขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 26 หรือไม่  

ศาลได้รับคำร้องไว้ ก่อนจะนัดฟังคำพิพากษาและคำวินิจฉัยในวันที่ 30 ม.ค. 2566 แต่ต่อมาก็ได้เลื่อนไปวันที่ 7 มี.ค. 2566 เนื่องจากยังต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

.

ภาพรวมการสืบพยาน: โจทก์กล่าวหาปฏิทินเป็ดเหลืองล้อเลียนกษัตริย์ ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา จำเลยต่อสู้ไม่มีการเอ่ยนามกษัตริย์-ไม่ใช่ผู้ผลิต

พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาตลิ่งชัน 1 ได้บรรยายฟ้องว่า ต้นไม้และพวกได้ร่วมกันหมิ่นประมาทกษัตริย์ ด้วยการร่วมกันจำหน่ายปฏิทินที่มีข้อความและภาพที่หมิ่นประมาทกษัตริย์ โดยปฏิทินนั้นมีข้อความว่า “ปฏิทินพระราชทาน รุ่นพิเศษ รวมทุกคำสอนของเรา” และรูปการ์ตูนเป็ดสีเหลือง โดยอัยการได้บรรยายฟ้องว่า ในหน้าที่มีการหมิ่นประมาทนั้นมีด้วยกันจำนวน 6 หน้า ดังนี้ 

  • ภาพปกปฏิทิน ปรากฏข้อความว่า “ปฏิทินพระราชทาน รุ่นพิเศษ รวมทุกคนสอนของเรา”
  • ในเดือนมกราคม 2564 มีข้อความว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” และ OK1 ห้อยที่คอรูปการ์ตูนเป็ดสีเหลือง และมีภาพการ์ตูนบนรูปสุนัขว่า “ทรงพระเจริญ”
  • ในเดือนมีนาคม 2564 มีภาพการ์ตูนเป็ดสีเหลืองสวมถุงยางอนามัยที่หัว
  • ในเดือนเมษายน 2564 มีข้อความว่า “รักคุณเท่าฟ้า” และรูปการ์ตูนเป็ดสีเหลืองขับเครื่องบิน โดยบนปีกเครื่องบินทั้งสองข้างมีข้อความว่า “SUPER VIP” 
  • ในเดือนพฤษภาคม 2564 มีรูปการ์ตูนเป็ดสีเหลืองและตัวเลข 10 บนตัว พร้อมข้อความ “ไอโอนะ ยูโอไหม?”
  • ในเดือนตุลาคม 2564 มีรูปการ์ตูนเป็ดสีเหลืองบนคอปรากฎข้อความ NO10 และ Fordad และ “พ่อบอกให้ทุกคนพอเพียง”​ “ทรงนำเศรษฐกิจพอเพียงหล่อเลี้ยงชีวา”

ส่วนฝั่งจำเลย มีข้อต่อสู้คดีว่าปฏิทินฉบับดังกล่าว ไม่ได้ทำการล้อเลียนหรือหมิ่นกษัตริย์ตามที่โจทก์ฟ้อง เนื่องจากเป็ดเหลืองเป็นตัวละครที่มีชื่อจริงว่า “พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์” ไม่ใช่การทำล้อเลียนรัชกาลที่ 10 และไม่มีหน้าใดในปฏิทินฉบับนี้ที่เอ่ยพระนามของรัชกาลที่ 10 หรือพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใด อีกทั้งจำเลยในคดีนี้ ไม่ใช่ผู้ผลิตปฏิทินเป็นเพียงผู้จัดส่งสินค้าเท่านั้น 

————————-

พยานโจทก์ปากพนักงานสืบสวน ชี้ตัวจำเลยเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้จากการส่งสายลับล่อซื้อ

พ.ต.ต.เจษฎา จันทศรี ตำแหน่งสารวัตรกองกำกับการ 1 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล มีหน้าที่สืบสวนติดตามจับกุมผู้เห็นต่างทางการเมืองและผู้เห็นต่างเกี่ยวกับสถาบันฯ และรับผิดชอบในคดีความอาญาทั่วไป พยานได้รับมอบหมายให้ติดตามกลุ่มคณะราษฎร จึงไปพบว่ามีการขายปฏิทินเป็ด ประจำปี 2564 บนเพจเฟซบุ๊กของกลุ่มดังกล่าว และเชื่อว่าปฏิทินเป็ดไม่ได้ถูกพระบรมราชานุญาตให้นำมาจำหน่ายได้ 

พยานจึงส่งสายลับไปล่อซื้อในวันที่ 23 ธ.ค. 2563 โดยสั่งซื้อปฏิทินแขวน 2 ฉบับ และตั้งโต๊ะ 2 ฉบับ รวมค่าส่งเป็นจำนวนเงิน 747 บาท ซึ่งปฏิทินได้มาส่งให้สายลับในวันที่ 28 ธ.ค. 2563 จากนั้นปฏิทินก็มาถึงพยานในวันเดียวกัน จึงได้นำส่งผู้บังคับบัญชาตรวจสอบ ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะลงความเห็นว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ เนื่องจากในปฏิทินดังกล่าว มีภาพเป็ดเหลืองในปฏิทิน และบางภาพสื่อความหมายถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 และ 10 

พยานได้ดูภาพปฏิทินในเดือนที่มีการสั่งฟ้องจำเลย พยานมีความเห็นต่อเดือนมกราคมว่ามีการหมิ่นประมาทในหลวงรัชกาลที่ 10 เนื่องจากในปฏิทินหน้าดังกล่าวมีการใช้ถ้อยคำบนหน้าปฏิทินว่า ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ’  ซึ่งเป็นพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่กล่าวกับประชาชนที่ไปเข้ารับเสด็จ

จากการตรวจสอบเรื่องผู้ส่งปฏิทิน ในวันที่ 23 ธ.ค. 2563 คือจำเลยที่ 2 พยานทราบได้จากบนกล่องพัสดุซึ่งชื่อผู้ส่งคือจำเลยที่ 2 แต่ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ส่งด้วยตนเองจริงหรือไม่ จึงให้สายลับไปล่อซื้อครั้งที่ 2 ในวันที่ 29 ธ.ค. 2563 โดยให้สายลับขอเจอกับผู้ส่งด้วยตนเอง แต่ว่าแอดมินปฏิเสธและได้ส่งปฏิทินให้ทางแกร๊บ

พยานได้รับปฏิทินก่อนติดต่อไปที่บริษัทแกร๊บเพื่อขอที่อยู่ของผู้ส่ง จนได้รับทราบที่อยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นที่อยู่ของจำเลยที่ 2 หรือไม่ จึงให้สายลับทำการล่อซื้อครั้งที่ 3 แต่ยังไม่ทำการโอนเงิน เพราะพยานได้วางแผนให้ตำรวจไปซุ่มอยู่ที่บริเวณบ้านดังกล่าว โดยมีพยาน และ ร.ต.อ.กิตติศักดิ์ กับพวกรวม 4 คน ทำการซุ่มดูอยู่ในรถยนต์ ในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 เมื่อพยานกับพวกได้ซุ่มอยู่หน้าบ้านแล้ว ก็ได้โทรศัพท์ให้สายลับโอนเงินไปเพื่อที่จะได้เห็นว่าคนที่ออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวเป็นจำเลยที่ 2 หรือไม่ แต่ปรากฏว่าคนที่ออกมาจากบ้านแล้วส่งสินค้าให้กับแกร๊บ คือจำเลยที่ 1 หรือ “นายต้นไม้” 

จากนั้นพยานได้ขอศาลออกหมายค้นบ้านของต้นไม้ และระบุว่าพยานมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเพียงเท่านี้ เนื่องจากในชั้นตรวจค้นเป็นหน้าที่ของตำรวจนายอื่น

ทนายจำเลยถามค้าน

พยานยอมรับตามที่ทนายถามว่าจำเลยไม่ได้เป็นแกนนำของกลุ่มราษฎร และในเพจดังกล่าวก็ไม่ได้ขายเฉพาะปฏิทิน แต่มีสินค้าชนิดอื่นหลายประเภท โดยหากมีคนสั่งสินค้าจากเพจของคณะราษฎรก็จัดส่งให้ทางไปรษณีย์เท่านั้น

นอกจากนี้ พยานทราบว่ามีการใช้เป็ดเหลืองมาเป็นโล่ในการป้องกันแก๊สน้ำตาจากการสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563 ซึ่งทำให้นับจากนั้นเป็ดเหลืองก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคณะราษฎรเรื่อยมา

ส่วนคำว่า ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ’ พยานยอมรับตามที่ทนายถามว่าเป็นคำที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้พูดคุยกันได้ ส่วนคำว่า ‘พระราชทาน’ ที่อยู่บนหน้าปกปฏิทินเป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้ตั้งแต่ชั้นพระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นไป และพยานก็ทราบว่าเป็ดเหลืองที่ประกอบปฏิทินดังกล่าว ไม่ใช่เป็นเป็ดที่แสดงบทบาทของรัชกาลที่ 10 แต่เป็นเป็ดที่มีชื่อว่า “พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์ (เป็ดยาง)’ 

.

พยานโจทก์พนักงานสืบสวน ผู้วางแผนการล่อซื้อปฏิทินเป็ดเหลือง 

ร.ต.อ.กิตติศักดิ์ อังกนะ ตำแหน่งพนักงานสืบสวน พยานรับราชการอยู่ที่กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ติดตามกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่นเดียวกับ พ.ต.ต.เจษฎา โดยพยานเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ดำเนินการวางแผนล่อซื้อปฏิทินดังกล่าว และในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 พยานก็ได้ไปซุ่มอยู่ที่บริเวณบ้านของจำเลยที่ 1 หรือต้นไม้ พร้อมกับ พ.ต.ต.เจษฎา และพวกรวม 4 คน

เมื่อแน่ใจแล้วว่าปฏิทินถูกจำหน่ายมาจากบ้านของจำเลยที่ 1 จึงได้ทำการขอออกหมายค้น โดยพยานได้เข้าไปทำการตรวจค้นในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 จากการตรวจค้นบ้าน พยานได้พบต้นไม้และครอบครัวอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว และพบปฏิทินในกล่องกระดาษลังอีกจำนวน 174 ชิ้น ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับที่พยานให้สายลับไปล่อซื้อมา ก่อนจะนำตัวจำเลยที่ 1 และปฏิทินของกลางไปสอบสวนที่ สน.หนองแขม โดยพยานได้ลงชื่อเป็นหนึ่งในชุดจับกุมจำเลยด้วยตนเอง

ทั้งนี้ อัยการโจทก์ได้ให้พยานดูภาพวิดีโอบางส่วน แต่ภาพดังกล่าวไม่ได้ตรงกับภาพถ่ายที่ได้ยื่นเป็นพยานหลักฐานมาก่อน ทนายความจำเลยจึงคัดค้านหลักฐานชิ้นนี้ ก่อนที่ศาลจะเห็นด้วยและให้โจทก์ข้ามไปคำถามต่อไป เนื่องจากหลักฐานชิ้นนี้ไม่ได้ถูกอ้างส่งมาในชั้นตรวจพยานหลักฐานตั้งแต่แรก

ทนายความถามค้าน

ทนายถามต่อพยานว่ากลุ่มคณะราษฎร มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งพยานได้ตอบวัตถุประสงค์ของกลุ่มก็ได้ทราบจากตามรายงานข่าว และทราบว่าในเพจคณะราษฎรมีการขายสินค้าหลายรูปแบบไม่ได้มีเฉพาะปฏิทินเป็ดฉบับเดียว 

ทุกครั้งที่ให้สายลับล่อซื้อปฏิทิน พยานยอมรับว่าได้โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 ซึ่งถูกจำหน่ายคดีออกจากสารบบไปแล้ว ไม่ใช่ต้นไม้ที่กำลังสืบพยานอยู่ ณ ตอนนี้ 

พยานรับว่าปฏิทินเป็ดเหลืองที่ทำการตรวจยึดได้จากบ้านของจำเลยที่ 1 นั้น ทุกอันปิดผนึกไว้ สามารถมองเห็นได้แค่เพียงหน้าปกปฏิทินเท่านั้น

.

พยานตำรวจ สน.หนองแขม ผู้ร่วมตรวจค้น-จับกุมจำเลยที่บ้านพักพร้อมปฏิทินเป็ดเหลือง 

พ.ต.ต.สุระเดช ก้านสัญชัย สารวัตรสืบสวน สน.หนองแขม มีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด โดยร่วมเป็นหนึ่งในผู้จับกุมจำเลย เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563 พยานได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลว่ามีการสืบสวนเพจของคณะราษฎร และตำรวจได้มีการล่อซื้อปฏิทินที่มีข้อความว่า ‘ปฏิทินพระราชทาน’

ในคดีนี้ เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563 พยานได้ทำการออกตรวจค้นที่บ้านของต้นไม้ ตามหมายค้นของศาลที่ตำรวจสันติบาลได้รวบรวมหลักฐานแล้วไปขออนุญาตมา โดยพบว่าจำเลยพักอาศัยอยู่กับแม่ พบมีปฏิทินเป็ดอยู่กลางห้องโถงของบ้านในชั้นที่ 1 เป็นจำนวน 174 อัน แต่พยานไมไ่ด้ตรวจสอบว่ามีใบสั่งซื้อจากใครบ้าง เนื่องจากไม่ใช่หน้าที่ของพยาน 

พ.ต.ต.สุระเดช อธิบายว่าบ้านของจำเลยมี 2 ชั้น และจำเลยได้ให้การยืนยันว่าปฏิทินเป็ดเป็นของจำเลยจริง และจำเลยได้อธิบายว่าเป็นเพียงผู้จัดส่งสินค้าเท่านั้น ไม่ใช่ผู้จำหน่าย และเมื่อทำการตรวจค้นเสร็จ พยานได้นำตัวต้นไม้ไป สน.หนองแขม พร้อมกับปฏิทินเป็ด

พยานให้ความเห็นต่อปฏิทินฉบับดังกล่าวว่า เป็นปฏิทินที่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนื่องจากมีการล้อเลียนรัชกาลที่ 10 และไม่ใช่ปฏิทินที่ได้รับพระราชทานจริงๆ ตามที่กล่าวอ้างบนหน้าปกปฏิทิน

ทนายความถามค้าน

พยานทราบตามที่ทนายจำเลยถามค้านว่ากลุ่มคณะราษฎรมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองอย่างไร ในช่วงการชุมนุมปี 2563 ที่มีกลุ่มนักศึกษาได้ร่วมกับประชาชนประกาศข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล จำนวน 3 ประการ ได้แก่ รัฐบาลต้องลาออก, แก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ปฏิรูปให้สถาบันกษัตริย์ลงมาอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

เมื่อทนายจำเลยถามต่อว่า พยานทราบหรือไม่ที่ในช่วงเวลาดังกล่าว มีการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรที่บริเวณหน้ารัฐสภา เนื่องจากในขณะนั้นสภาผู้แทนราษฎร มีการประชุมวิสามัญเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม ซึ่งมีกลุ่มประชาชนที่ได้ใช้เป็ดยางสีเหลืองมาเพื่อเป็นเกราะป้องกันแก๊สน้ำตาด้วย พยานได้ตอบทนายว่า ทราบตามที่ปรากฏในหน้าข่าวต่างๆ 

ทั้งนี้ ทนายถามต่อไปว่า หลังจากที่มีการใช้เป็ดเหลืองเข้ามาเป็นเกราะกันบังแก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลุ่มคณะราษฎรก็ได้ใช้ตุ๊กตาเป็ดเหลืองเป็นสัญลักษณ์ในการชุมนุม และตั้งชื่อให้ว่า “พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์” พยานตอบว่าไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เนื่องจากตนเองมีหน้าที่ตรวจค้นจับกุม ส่วนเรื่องการสืบสวนเป็นหน้าที่ของสันติบาล

ในคดีนี้ พยานเบิกความว่า ตนกับพวกได้ใช้เวลาการตรวจค้นบ้านเพียงครึ่งชั่วโมง (17.30 – 18.00 น.) แต่เมื่อมาทำการแจ้งข้อกล่าวหา จำเลยไม่ได้เซ็นรับทราบว่าปฏิทินที่ยึดเป็นของกลางนั้น เป็นของจำเลยจริง 

ทนายจำเลยจึงได้ถามต่อ พ.ต.ต.สุระเดช ว่า ในคดีนี้ที่พยานเบิกความว่าแม่ของจำเลยและตัวจำเลยได้ยอมรับว่าปฏิทินเป็ดเป็นของตนเองจริง ตอนที่พยานกับพวกเข้าไปตรวจค้นบ้าน แต่พยานไม่ได้ถ่ายคลิปวิดีโอมาไว้เป็นหลักฐานใดๆ ในตอนที่ทั้งจำเลยและแม่ยอมรับว่าเป็นเจ้าของปฏิทินจริงๆ 

ในคดีนี้ พยานเคยให้การกับพนักงานสอบสวน โดยระบุว่าข้อความที่พยานมีความเห็นว่าหมิ่นประมาทตาม มาตรา 112 คือปฏิทินเดือนมกราคม กรกฏาคม และเมษายน

ต่อมา ทนายจำเลยได้ถามกับพยานว่า ประโยค “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ” ประชาชนทั่วไปก็สามารถใช้สื่อสารทั่วไปได้ พยานตอบว่าใช้ได้ แต่ในปฏิทินเดือนมกราคม เป็นการสื่อความหมายถึงรัชกาลที่ 10 ส่วนที่ทนายถามว่า ประโยค “รักคุณเท่าฟ้า” เป็นคำโฆษณาของบริษัทการบินไทย พยานได้ยอมรับตามที่ทนายถาม และพยานได้ยอมรับตามที่ทนายจำเลยถามว่า ในปฏิทินฉบับนี้ไม่มีหน้าใดเลยที่มีการเขียนพระนาม หรือตัวย่อที่สื่อถึงรัชกาลที่ 10 

อัยการถามติง

พยานตอบตามที่อัยการถามว่าทำไมถึงแจ้งข้อกล่าวหา มาตรา 112 กับจำเลย พยานได้ตอบว่า ตนเองได้ตรวจสอบภาพในปฏิทินเป็ด ซึ่งยึดได้เป็นของกลาง จึงพบว่าเป็นความผิดฐานดังกล่าว และภายหลังตรวจค้นปฏิทินแล้ว ยังไม่ได้จับกุมจำเลยทันที แต่ได้เชิญตัวมาสอบปากคำ ก่อนจะมีการจัดทำบันทึกจับกุมในภายหลัง

.

พนักงานสอบสวน สน.หนองแขม ผู้สอบปากคำพยานทุกคน ยอมรับว่าในบันทึกจับกุมไม่ได้ระบุว่าปฏิทินเป็ดเหลืองผิด ม.112 หรือไม่

พ.ต.ท.วิชิต สวัสดี ในขณะเกิดเหตุของคดีนี้ พยานรับตำแหน่งรองผู้กำกับการสอบสวน สน.หนองแขม เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563  พ.ต.ต.สุระเดชกับพวก ได้จับกุมตัวจำเลยมาที่ สน.หนองแขม พร้อมกับปฏิทินของกลาง 174 อัน พยานได้ทำการสอบสวนและเป็นผู้สอบคำให้การของพยานบุคคลทุกปากในคดีนี้

จากการสอบปากคำ พยานได้ทราบว่าเพจคณะราษฎรได้จำหน่ายปฏิทินเป็ด ซึ่งมีข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามมาตรา 112 และได้ทำการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 เสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ก่อนมีความเห็นให้สั่งฟ้องคดีต่อมา

ทนายความถามค้าน

พยานไม่ทราบตามที่ทนายถามว่าได้มีการควบคุมตัวจำเลยไป สน.หนองแขม ในเวลาใด และไม่ได้เป็นคนเก็บโทรศัพท์ของจำเลยไว้ การสอบสวนในคดีนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงประมาณ 22.00 – 04.00 น. ของเช้าอีกวันหนึ่ง

ในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 พยานได้แจ้งข้อกล่าวหากับจำเลย 3 ข้อความในปฏิทินหน้าปก, เดือนมกราคม และเดือนกรกฏาคม และวันที่ 23 ก.พ. 2564 แจ้งอีก 1 ข้อความ คือ ปฏิทินเดือนธันวาคม ทั้งนี้พยานไม่ทราบว่าจำเลยเป็นแอดมินกลุ่มคณะราษฎร หรือจำหน่ายปฏิทินบนเพจด้วยตนเองหรือไม่ เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบตัวตนของแอดมินเพจดังกล่าวได้

ทั้งพยานไม่ได้ตรวจสอบว่า ในเพจคณะราษฎรมีการจำหน่ายสินค้นหลากหลายประเภท ไม่เพียงแต่ปฏิทินเป็ดเหลืองเท่านั้น และไม่ทราบที่มาของเป็ดเหลืองว่ามีการแต่งบทบาทสมมติให้หรือไม่อย่างไร 

อย่างไรก็ตาม พยานยอมรับว่าในบันทึกการจับกุมจำเลยในคดีนี้ ไม่ได้มีการลงรายละเอียดว่าเป็นการกระทำความผิดในฐานความผิดใด

.

พยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่ Flash Express ผู้ทำการรับสินค้าคีย์ข้อมูลเข้าระบบ

เปรมณพิชญ์ วิเศษประไพ ขณะที่เกิดคดีนี้ พยานเป็นพนักงานของบริษัท Flash Express ตั้งแต่ปี 2561 จนถึง 2564 มีตำแหน่งเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ ประจำสาขา Victoria Garden มีหน้าที่คอยให้บริการลูกค้า

พยานอธิบายว่า บริการของบริษัทจะแบ่งประเภทลูกค้าเป็น 2 ประเภท คือ ลูกค้าทั่วไป กับสมาชิก แต่ในกรณีของจำเลยในคดีนี้เป็นลูกค้าที่เป็นสมาชิก และต้องมีการลงทะเบียนโดยใช้บัตรประจำตัวประชาชน เพื่อยืนยันตัวตน ป้องกันการขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย กับแจ้งความประสงค์ว่าจะใช้บริการใดบ้าง และการเป็นสมาชิกกับบริษัทแล้ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องนำของมาส่งด้วยตนเอง เพียงแค่แจ้งเลขสมาชิก จะเป็นใครมาหรือจ้างคนมาส่งสินค้าก็ย่อมได้ เพราะพนักงานจะตรวจสอบกับบัญชีสมาชิกเอง

ในคดีนี้ ช่วงเดือนธันวาคม 2563 พยานเป็นคนคีย์ข้อมูลในสาขาดังกล่าว และได้รับแจ้งจากเพื่อนพนักงานที่อยู่สาขาภาษีเจริญ ว่ามีลูกค้าต้องการขนส่งสินค้าเป็นจำนวนมากถึง 900 ชิ้น จึงได้ติดต่อพยานมาเพื่อให้ช่วยคีย์ข้อมูลสินค้า เนื่องจากสาขาภาษีเจริญไม่สามารถทำได้ทันเวลา พยานจึงได้แบ่งยอดสินค้าดังกล่าวมาคีย์ข้อมูลเป็นจำนวนกว่า 400 ชิ้น

เมื่อพยานสอบถามข้อมูลของลูกค้าเบื้องต้น พบว่าลูกค้าเป็นสมาชิกอยู่แล้วในระบบ โดยสินค้าที่ต้องการขนส่งมีน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม ส่วนผู้ส่งสินค้าดังกล่าว คือเพื่อนของจำเลยตามที่อัยการเปิดภาพและชื่อให้ดู ทั้งนี้ พยานได้เบิกความต่อว่า ตนเองไม่ได้เห็นพัสดุด้านในว่าเป็นสินค้าชนิดใด รับรู้เพียงว่ามีลักษณะเป็นซองพลาสติก ระบุชื่อ-นามสกุลของผู้ส่งและผู้รับเท่านั้น 

อัยการถามพยานต่อว่า เคยได้เห็นใบหน้าของจำเลยในคดีนี้หรือไม่ ซึ่งพยานได้ตอบว่าไม่เคยพบกับจำเลยในคดีนี้มาก่อน 

ทนายความถามค้าน

ทนายถามกับพยานว่า การเป็นลูกค้าแบบสมาชิกของบริษัท ต้องทำสัญญาใดๆ หรือไม่ ซึ่งพยานอธิบายว่าในการสมัครสมาชิกกับบริษัทไม่ได้ทำสัญญาใดๆ โดยทนายได้ยื่นเอกสารสัญญาฉบับหนึ่งให้พยานดู และพยานได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาของส่วนลดจากบริษัท ซึ่งเพื่อนของจำเลยที่เป็นสมาชิกยังไม่ได้ทำสัญญาฉบับนี้

เมื่อทนายจำเลยถามต่อพยานว่ารู้จักธุรกิจ Fullfillment ซึ่งเป็นการบริการให้เช่าคลังสินค้า พร้อมบริการจัดส่งหรือไม่ ซึ่งพยานก็ได้ตอบว่าตนเองรู้จักและเข้าใจว่าธุรกิจ Fullfillment คืออะไร

.

นักวิชาการผู้ให้ความเห็นคนที่ 1 ระบุตีความรูปภาพตามทฤษฎีสัญวิทยา และการตีความของพยานเห็นว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10

กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอนในสาขากฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายสิทธิขั้นพื้นฐาน กฎหมายศาลปกครอง พยานมีประสบการณ์เขียนหนังสือเกี่ยวกับการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริยในรัฐธรรมนูญและมาตรา 112 และเขียนบทความถึงการไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอ 10 ข้อในการปฏิรูปสถาบันฯ ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม 

พยานกล่าวว่าตนเองทราบถึงการเคลื่อนไหวในการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรและแนวร่วมฯ มีวัตถุประสงค์การเคลื่อนไหวที่ต้องการให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และกล่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีการโจมตีสถาบันฯ ตลอดจนมีการเผยแพร่เรื่องราวความประพฤติของรัชกาลที่ 10 และเผยแพร่ภาพที่ไม่เหมาะสมตามเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงตุ๊กตาเป็ดเหลือง ที่มีการแต่งกายการล้อเลียนเสียดสีรัชกาลที่ 10 

แต่ไม่เคยเห็นปฏิทินเป็ดมาก่อน จนกระทั่งถูกพนักงานสอบสวนเรียกมาสอบคำให้การ จึงได้ทราบว่ามีการจำหน่ายปฏิทินดังกล่าวในเพจคณะราษฎร โดยจากการดูภาพปกของปฏิทิน พยานเห็นว่ามีตราสัญลักษณ์สามนิ้ว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคณะราษฎร และมีข้อความบนปกว่า ‘ปฏิทินพระราชทานรุ่นพิเศษรวมทุกคำสอนของเรา’ ซึ่งพยานมีความเห็นว่าภาพปกพร้อมข้อความเป็นการสื่อสารที่ล้อเลียนคำราชาศัพท์

กิตติพงศ์ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าปฏิทินพระราชทานมีการจัดทำขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 9 มาจนถึงรัชกาลที่ 10 ก็ยังจัดทำพระราชทานให้ประชาชนอยู่ โดยพยานได้หยิบตัวอย่างปฏิทินพระราชทานรัชกาลที่ 10 ออกมาให้ศาลดูเป็นตัวอย่างว่าหน้าปกปฏิทินพระราชทานของจริงจะเป็นสีเหลืองเท่านั้น ไม่มีสีอื่น จึงทำให้พยานเชื่อได้ว่าปฏิทินเป็ดเหลืองเป็นปฏิทินพระราชทานของปลอม

กิตติพงศ์กับความเห็นภาพเดือนมกราคม — พยานให้ความเห็นถึงข้อความ ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ’ ว่าเป็นการล้อเลียนคำพูดของรัชกาลที่ 10 ซึ่งส่งมีพระราชดำรัสต่อประชาชนที่ไปรับเสด็จ และให้ความเห็นถึงภาพการ์ตูนสุนัขสีขาวพร้อมข้อความ ‘ทรงพระเจริญ’ ติดอยู่บนหน้าปฏิทินว่ามีลักษณะคล้ายกับสุนัขทรงเลี้ยงของรัชกาลที่ 10 ตลอดจนพยานเชื่อว่าเป็ดสีเหลืองที่ใส่สายสะพายมีเครื่องราชฯ ห้อยเหรียญที่มีข้อความว่า ‘OK 1’ ซึ่งพยานเข้าใจว่าหมายถึงบุคคลที่เป็นอันดับ 1 หรือประมุขของประเทศ ดังนั้นเหมือนดูภาพรวมของปฏิทินเดือนมกราคมแล้ว เป็ดสีเหลืองจึงเป็นการเปรียบเทียบถึงรัชกาลที่ 10

แต่โดยภาพรวม กิตติพงศ์ให้ความเห็นว่าในเดือนมกราคมนี้ ยังไม่เป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 แต่เป็นเพียงการเสียดสีว่ารัชกาลที่ 10 ทรงแต่งยศให้กับสุนัขทรงเลี้ยงเท่านั้น ซึ่งทำให้คนทั่วไปมองได้ว่ามีการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทั้งๆ ที่ผู้รับราชการมาตั้งนานก็ยังไม่ได้ประดับยศ

กิตติพงศ์กับความเห็นภาพเดือนมีนาคม — พยานให้ความเห็นว่าภาพดังกล่าวบนหน้าปฏิทินเป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 เนื่องจากมีภาพเป็ดเหลือง ซึ่งพยานเชื่อว่าเป็นตัวแทนของรัชกาลที่ 10 อยู่บนซองถุงยางอนามัยที่ฉีกแล้ว และตัวเป็ดแต่งกายด้วยเสื้อครอปท็อป สวมแว่นตาดำ ซึ่งเป็นภาพที่มีการเผยแพร่ลงบนโลกอินเตอร์เน็ตว่ารัชกาลที่ 10 เคยแต่งกายเช่นนั้น นอกจากนี้ยังมีเป็ดอีก 2 ตัวที่พยานเชื่อว่าเป็นตัวแทนของพระราชินีสุทิดา และเจ้าคุณพระฯ ที่พยานจำชื่อไม่ได้

เมื่อวิเคราะห์จากจากปฏิทินเป็ดในเดือนดังกล่าว พยานเชื่อว่ามีการพยายามจะสื่อในลักษณะกล่าวหารัชกาลที่ 10 ว่าทรงเป็นคนที่มีพฤติกรรมในทางเพศที่ไม่เหมาะสม มีภรรยาหลายคน และการใช้ภาพประกอบถุงยางร่วมด้วยเป็นการสื่อว่าชอบมีเพศสัมพันธ์หรือสำส่อนทางเพศ

ดังนั้น ภาพปฏิทินในเดือนมีนาคม จึงเป็นภาพที่มีลักษณะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากภาพดังกล่าวทำให้ประชาชนเสื่อมเสียความเคารพศรัทธาในพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10

กิตติพงศ์กับความเห็นภาพเดือนพฤษภาคม — พยานได้ดูภาพในหน้าปฏิทินดังกล่าว พบว่าเป็นภาพเป็ดสวมชุดลายพราง  และมีข้อความภาษาอังกฤษว่า  ‘Army’ ซึ่งหมายถึงทหาร และข้อความว่า ‘IO’ พยานเชื่อว่ามีความหมายมาจาก Information Operation ซึ่งมีความหมายว่าการใช้ข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ในการสร้างความนิยม

เมื่อพยานได้ตรวจดูภาพแล้ว มีความเห็นเข้าใจได้ว่ารัชกาลที่ 10 ใช้ทหารในการเผยแพร่ข่าวสารสร้างความนิยมให้แก่ประชาชน และยังมีข้อความปรากฏว่า ‘ไอโอนะ ยูโอไหม’ ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายถึงประชาชนยอมรับได้ไหมเกี่ยวกับการที่มีการสร้างค่านิยมปลูกฝังให้ทำความเคารพต่อสถาบันกษัตริย์

ทั้งนี้ กิตติพงศ์ลงความเห็นว่า ภาพในปฏิทินดังกล่าวยังไม่เข้าข่ายดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 เป็นเพียงการเสียดสีสถาบันฯ เท่านั้น

กิตติพงศ์กับความเห็นภาพเดือนตุลาคม — พยานมีความเห็นว่าภาพในปฏิทินเดือนตุลาคม เข้าข่ายความผิดหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10 เนื่องจากพยานเข้าใจได้ว่าเป็นภาพที่มีการกล่าวหาว่ารัชกาลที่ 10 ทรงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และไม่ปฏิบัติตามพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงของกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ที่ทรงเคยตรัสเอาไว้

กิตติพงศ์ สรุปความเห็นตนเองต่อปฏิทินเป็ดเหลืองว่าในปฏิทินหน้าสุดท้าย ที่มีข้อความว่า ‘จนตรอกจนต้องใช้ ม.112’ สามารถสื่อถึงรัชกาลที่ 10 ได้ว่าพระองค์ทรงใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กลั่นแกล้งประชาชน ซึ่งพยานคิดว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากมาตรา 112 เป็นการบังคับใช้กฎหมายโดยชอบแล้ว

อีกทั้ง การที่จำหน่ายปฏิทินเป็ดเหลืองบนเพจคณะราษฎร พยานเห็นว่าเป็นการเผยแพร่ปฏิทินที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท ต่อรัชกาลที่ 10 เป็นปฏิทินที่มีความผิดตามมาตรา 112 

ทนายความถามค้าน

พยานยอมรับตามที่ทนายถามค้านว่าตนเองไม่ได้สอนวิชากฎหมายอาญา แต่มีประวัติการเข้าเป็นพยานบุคคลของฝ่ายโจทก์ให้มาเบิกความเอาผิดกับผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แล้วกว่า 30 คดี

ในคดีนี้ พยานไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นแกนนำกลุ่มคณะราษฎรหรือไม่ แต่ทราบจุดประสงค์ของกลุ่มว่าเป็นการรวมตัวกันของเยาวชนและนักศึกษามีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ประการ คือ นายกรัฐมนตรีลาออก, แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันฯ พยานเข้าใจว่าข้อ 1-2 เป็นการเรียกร้องต่อรัฐบาล ส่วนข้อสุดท้ายเรื่องปฏิรูปเป็นการเรียกร้องต่อสถาบันกษัตริย์โดยตรง 

กิตติพงศ์ว่าทราบว่ามีการชุมนุมในวันที่ 17 – 18 พ.ย. 2563 ตามที่ทนายถามค้าน และทราบว่ามีการใช้เป็ดยางสีเหลืองมาเป็นเกราะป้องกันการสลายชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คฝ. และทราบว่าผู้ชุมนุมได้ตั้งชื่อเป็ดเหลืองว่า ‘กรมบรมวงศ์เธอกรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์’

แต่พยานไม่ยอมรับตามที่ทนายถามค้านว่าเป็ดเหลืองดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุม ต้องเป็นเป็ดเหลืองที่ไม่ได้แต่งตัวเท่านั้นถึงจะเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุม และพยานยอมรับว่าทุกครั้งที่การชุมนุมในช่วงปี 2563 จะมีการนำเป็ดเหลืองมาจำหน่ายให้แก่ผู้ชุมนุม

ทนายถามว่าในปฏิทินที่จำหน่ายทั่วไป มีการนำถ้อยคำต่างๆ ที่มีความนิยมมาใส่ไว้บนหน้าปฏิทิน ซึ่งพยานได้ยอมรับว่าใช่ 

นอกจากนี้ กิตติพงศ์ได้ยอมรับว่าปฏิทินเป็ดเหลือง ไม่ได้มีตราสัญลักษณ์ วปร. ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำรัชกาลที่ 10 จึงสรุปได้ว่าปฏิทินเป็ดดังกล่าวไม่ได้เป็นปฏิทินพระราชทานของปลอม อีกทั้งคำว่าพระราชทาน ก็เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้ตั้งแต่ชั้นเจ้าฟ้าขึ้นไป ซึ่งรวมถึงกษัตริย์ และรูปเป็ดที่มีการแต่งกายด้วยชุดตำรวจที่หน้าปกปฏิทินก็คือเจ้าหน้าที่ คฝ. ไม่ได้มีความหมายถึงกษัตริย์

กิตติพงศ์ยอมรับข้อความว่า ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ’ เป็นคำที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้สื่อสารกันได้ ส่วนปฏิทินในเดือนมกราคม ที่มีเป็ดคาดสายสะพายสีแดง แต่ในความเป็นจริงกษัตริย์ไม่ได้คาดสายสะพายแดง

พยานอธิบายว่ารัชกาลที่ 10 เคยใส่สายสะพายแดง แต่พยานจำไม่ได้ว่าบุคคลที่จะใส่สายสะพายดังกล่าวต้องได้รับชั้นยศอะไร

คำว่า ‘ทรงพระเจริญ’ เป็นถ้อยคำที่ประชาชนใช้สรรเสริญต่อสถาบันกษัตริย์ และยอมรับว่าในละครทีวีก็มีการใช้คำดังกล่าวด้วย แต่พยานไม่รู้ว่า ‘OK 1’ เป็นคำพูดของใคร นอกจากนี้พยานอธิบายว่าปกติกษัตริย์มีอำนาจแต่งตั้งยศทหาร แต่ไม่ทราบว่ากฎหมายใดรับรองไว้

ส่วนในเดือนมีนาคม ทนายถามต่อพยานว่าภาพเป็ดสีเหลืองที่มีถุงยางครอบอยู่บนหัวมีความหมายถึงใคร แต่พยานบอกว่าไม่ทราบ แต่ทราบว่าในทางการแพทย์ถุงยางใช้ป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ 

นอกจากนี้ กิตติพงศ์ยังได้ยอมรับต่อทนายว่าในสังคมไทย บางครอบครัวก็มีการอยู่ร่วมกันของสามีภรรยามากกว่า 1 คน และที่พยานบอกว่าเป็ดเหลืองในหน้าปฏิทินเดือนมีนาคมมีการแต่งกายคล้ายรัชกาลที่ 10 พยานก็ไม่ได้ส่งหลักฐานภาพว่ามีลักษณะคล้ายอย่างไรต่อพนักงานสอบสวนในคดีนี้

ต่อมา ในเดือนตุลาคม ทนายถามถึงข้อความว่า ‘ทรงนำเศรษฐกิจพอเพียงหล่อเลี้ยงชีวา’ เป็นถ้อยคำในเนื้อเพลงที่ถวายแก่รัชกาลที่ 9 แต่พยานตอบว่าไม่ทราบ 

ส่วนข้อความว่า ‘พ่อบอกให้ทุกคนพอเพียง’ เป็นถ้อยคำทั่วไป ไม่รู้ว่ามีต้นฉบับมาจากที่ใด โดยกิตติพงศ์ได้อธิบายว่าการตีความถึงปฏิทินฉบับนี้ เป็นการตีความโดยทฤษฎีสัญวิทยา ซึ่งเป็นการตีความจากสิ่งของ ภาพ และข้อความเพื่อสื่อความหมาย พยานจึงเชื่อได้ว่าปฏิทินเป็ดเหลืองฉบับนี้ เป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ชุมนุมและบุคคลที่มีความคิดเห็นคล้ายกับกลุ่มคณะราษฎร 

แต่พยานยืนยันกับทนายว่า ปฏิทินฉบับนี้มีหลายความหมายขึ้นอยู่กับชุดของเป็ดและการตกแต่งภาพ นอกจากนี้การตีความตามทฤษฎีดังกล่าว พยานยอมรับว่าบุคคลอื่นก็สามารถตีความแตกต่างจากพยานได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเข้าใจหรือเห็นว่ามีความหมายตามที่พยานได้ตีความไป 

อัยการถามติง

พยานเบิกความว่า เหตุที่มาให้การในฐานะพยานโจทก์ เนื่องจากเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งพยานก็เป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

ส่วนการตีความตามทฤษฎีสัญวิทยา อาจจะมีการตีความไม่เหมือนกัน แต่การตีความของพยาน ได้ใช้ข่าวลือจากกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง ดังนั้นการตีความของพยานเป็นการตีความที่สื่อความหมายให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใจได้

.

นักวิชาการรัฐศาสตร์ให้ความเห็นคนที่ 2  ชี้ดูภาพรวมของปฏิทินแล้ว ทำให้เห็นได้ว่ารัชกาลที่ 10 ใช้ภาษีของประชาชน เพื่อตอบสนองความสุขส่วนตัวในทางกามารมณ์

ไชยันต์ ไชยพร รับราชการตำแหน่งศาสตราจารย์ที่ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยรับราชการตำแหน่งอาจารย์มาตั้งแต่ปี 2535 จนกระทั่งปัจจุบัน ได้รับมอบหมายให้สอนวิชาปรัชญาทางการเมือง วิชาประชาธิปไตยเปรียบเทียบ และวิชาสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองสมัยใหม่

นอกจากนี้พยานยังเขียนหนังสือชื่อ ประเพณีการปกครองประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หนังสือว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่การปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเดนมาร์ก และหนังสือเรื่องความเป็นสถาบันของพรรคการเมือง

เกี่ยวกับคดีนี้ ไชยันต์เบิกความว่า ตนเองติดตามกลุ่มคณะราษฎรผ่านสื่อต่างๆ ช่วงประมาณหลังจากวันที่ 10 ส.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีแกนนำนักศึกษาธรรมศาสตร์ ได้นำเสนอข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ หลังจากนั้นวันที่ 12 ส.ค. ปีเดียวกัน พยานได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อประชาไท ว่าการเรียกร้องทั้ง 10 ข้อดังกล่าว เป็นสิ่งที่พึงกระทำได้

การเรียกร้อง 10 ข้อ ที่ได้เรียกร้อง  เช่น ให้ยกเลิกมาตรา 112 ยกเลิกห้ามฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ และเกี่ยวกับเรื่องการลงนามในรัฐประหาร เป็นต้น พยานกล่าวว่าเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนสามารถกระทำได้

ในคดีนี้ พนักงานสอบสวนเรียกพยานไปให้การในฐานะพยานเกี่ยวกับปฏิทินเป็ด อัยการได้ให้พยานดูภาพปกปฏิทิน พยานดูแล้วตอบว่า ภาพปกปฏิทินดังกล่าว มีข้อความว่า “ปฏิทินพระราชทาน” ทำให้เข้าใจว่าปฏิทินดังกล่าวได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบต้องไปตรวจสอบว่าปฏิทินดังกล่าวได้รับพระราชทานจริงหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีถ้อยคำว่า “รุ่นพิเศษรวมทุกคำสอนของเรา” เมื่อเชื่อมโยงกับคำว่าปฏิทินพระราชทานทำให้พยาน เข้าใจว่าปฏิทินดังกล่าวรวมคำสอนของพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์

ไชยันต์กับความเห็นต่อภาพเดือนมกราคม —  อัยการให้ดูปฏิทินเดือนมกราคม พยานพบว่ามีรูปเป็ดที่ประดับสายสะพายและมีความข้อความว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” ซึ่งเห็นว่าเป็นพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 10 ได้กล่าวต่อประชาชนที่มาเข้าเฝ้า และยังมีรูปสุนัขต่างๆ ประกอบ และข้อความว่า “ทรงพระเจริญ” อยู่บนตัวสุนัข จึงทำให้พยานเข้าใจว่ารูปเป็ดสีเหลืองหมายถึงรัชกาลที่ 10 ทรงเลี้ยงสุนัขชื่อ “ฟูฟู” 

เมื่อพยานดูภาพและข้อความโดยรวมในเดือนมกราคมแล้ว เห็นว่า ภาพและข้อความดังกล่าวโดยรวม มีความหมายสื่อเป็นการล้อเลียนพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 ทำให้เกิดความรู้สึกตลกขบขัน แต่ภาพดังกล่าวยังไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 

ไชยันต์กับความเห็นต่อภาพเดือนมีนาคม — อัยการให้ดูปฏิทินเดือนมีนาคม พยานดูแล้ว เป็นภาพเป็ดสีเหลืองตัวใหญ่ ซึ่งมีถุงยางอนามัยยังไม่ได้ใช้ครอบอยู่บนศีรษะนั้น เมื่อเปรียบเทียบเป็ดในเดือนมกราคม สื่อให้เห็นว่าเป็ดในเดือนมีนาคม ที่มีถุงยางอนามัยอยู่บนหัวนั้น คือรัชกาลที่ 10 พยานอธิบายเพิ่มเติมว่า ปฏิทินในเดือนมีนาคมยังมีภาพซองถุงอนามัยที่มีรูปเป็ด และมีการฉีกถุงยางโดยมีถุงยางโพล่ออกมาบางส่วน ซึ่งหากมองถุงยางอนามัยที่อยู่บนหัวเป็ดตามที่เบิกความข้างต้นจะเหมือนจุกยางของขวดนม 

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับถุงอนามัยที่โพล่ออกมาจากซองถุงยางซึ่งถูกฉีกแล้วเป็นชนิดเดียวกัน จึงทำให้เห็นว่าสิ่งที่อยู่บนหัวเป็ดดังกล่าวเป็นถุงยางอนามัย และการที่เป็ดซึ่งหมายถึงรัชกาลที่ 10 มีถุงยางอนามัยอยู่บนศีรษะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ารัชกาลที่ 10 เป็นผู้ที่หมกมุ่นในกาม หรือมองว่ารัชกาลที่ 10 เป็นผู้รณรงค์ในการใช้ถุงยางอนามัยก็ได้ 

แต่จากประสบการณ์การทำงานและติดตามข่าวและสื่อต่างๆ ของพยาน ไม่พบว่ารัชกาลที่ 10 มีการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัย จึงเหลือความหมายเดียวของปฏิทินเดือนมีนาคมว่า เป็นผู้หมกมุ่นในกาม ถือเป็นการล้อเลียนและดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 อันเป็นความผิดตามมาตรา 112 

พยานอธิบายเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นพระมหากษัตริย์ แม้มีรูปประชาชนทั่วไปที่มีถุงยางอนามัยสวมอยู่บนศีรษะ หากไม่ได้ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยแล้ว ก็เป็นความผิดฐานดูหมิ่นประชาชนผู้นั้น เพราะทำให้เห็นว่าประชาชนผู้นั้นหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์

ไชยันต์กับความเห็นต่อภาพเดือนเมษายน — อัยโจทก์ให้ดูปฏิทินเดือนเมษายน มีข้อความว่า “รักคุณเท่าฟ้า” ทำให้เข้าใจว่าน่าจะสื่อถึงบริษัทการบินไทย  ส่วนรูปเป็ดขับเครื่องบินนั้น พยานเห็นว่าน่าจะสื่อถึงรัชกาลที่ 10 ทรงขับเครื่องบิน ส่วนข้อความภาษาอังกฤษ “SUPER VIP” ซึ่งอยู่บนเครื่องบิน และพยานไม่เคยได้ยินว่ามีที่นั่ง SUPER VIP ดังนั้นภาพข้อความ SUPER VIP ประกอบกับภาพเป็ดซึ่งสื่อถึงความมีอภิสิทธิ์หรือความสำคัญมากกว่าประชาชนที่ได้รับสิทธิวีไอพี และภาพเป็ดซึ่งสื่อถึงรัชกาลที่ 10 มีรูปหัวใจ หมายถึงทรงมีความรัก

ทั้งมีภาพเป็ด 2 ตัว ข้ามทางม้าลาย เป็ดที่สวมหมวกและผ้าพันคอสีม่วง ยังมีแถบบริเวณหน้าอกสีม่วงและลากกระเป๋าเดินทางสีม่วง ทำให้เข้าใจได้ว่า เป็ดดังกล่าวเป็นพนักงานต้องรับของสายการบินไทย ทำให้สื่อความหมายว่าเป็ดดังกล่าวหมายถึงสมเด็จพระราชินีในรัชกาลที่ 10 

ส่วนเป็ดที่สวมหมวกสีดำ ทำให้เข้าใจว่าเป็นภาพเจ้าคุณพระ แต่จำชื่อเต็มไม่ได้ ซึ่งเป็นภรรยาของรัชกาลที่ 10 อีกองค์หนึ่ง ทรงขับเครื่องบินและมีความรักโดยเชื่อมโยงกับพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ซึ่งเป็นที่มาของพระราชินีในรัชกาลที่ 10 และที่มาของเจ้าคุณพระ 

เมื่อตรวจดูภาพและข้อความในเดือนเมษายนเชื่อมโยงกับภาพและข้อความในเดือนมีนาคม ทำให้เข้าใจได้ว่าซองถุงยางอนามัยที่มีภาพเป็ด 2 ตัว สื่อความหมายถึงเป็ดที่สวมหมวกสีม่วงคือพระราชินี ส่วนเป็ดหมวกสีดำคือเจ้าคุณพระ แต่เมื่อดูโดยรวมเฉพาะภาพและข้อความในเดือนเมษายนแล้ว ไม่เป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10

ไชยันต์กับความเห็นต่อภาพเดือนพฤษภาคม — อัยการโจทก์ให้ดูปฏิทินเดือนพฤษภาคม มีภาพเป็ดสวมชุดลายพราง ซึ่งสื่อถึงทหารถือไม้กำกับในวงออร์เคสตรา ซึ่งเป็ดที่อยู่ตัวบนสุดและสวนชุดลายพรางถือไม้กำกับดนตรีนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับปฏิทินเดือนที่ผ่านมาข้างต้นที่อธิบายไปแล้ว มีรูปเป็ดลักษณะเหมือนกัน ทำให้เข้าใจว่าเป็ดดังกล่าวนั้น หมายถึงรัชกาลที่ 10 ทรงสวมชุดทหาร 

นอกจากนี้ยังมีความว่า “ไอโอนะ ยูโอไหม” ซึ่งงคำว่าไอโอนั้น มีความหมายถึงการปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้เป็ดที่สวมชุดทหารนั้น ยังอยู่บนเครื่องที่มีสายพาน และมีข้อความประกอบว่า “How to Use” ซึ่งแปลได้ว่าใช้อย่างไร และมีข้อความอื่นอีกว่า “Army 10” ซึ่งสื่อความหมายได้ว่ากองทัพของรัชกาลที่ 10

เมื่อดูองค์ประกอบโดยรวมแล้ว จะพบว่าภาพนี้สื่อความหมายได้ว่าเป็ดของรัชกาลที่ 10 มีการผ่านปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารแล้วก็ได้ และภาพดังกล่าวสื่อได้ว่ารัชกาลที่ 10 มีอิทธิพลโดยตรงกับการควบคุมกองทัพ และอยู่เหนือกองทัพ มีการเปลี่ยนแปลงทหารตามที่ต้องการ

ข้อความโดยรวมในภาพเดือนพฤษภาคม ทำให้เห็นว่าตั้งแต่ 24 มิ.ย. 2475 ได้มีรัฐธรรมนูญกำหนดให้กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ภาพนี้ กำลังสื่อว่ารัชกาลที่ 10 ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และใช้อำนาจแทรกแซงกิจการต่างๆ ภายในประเทศ และควบคุมกองทัพทหารได้

ไชยันต์กับความเห็นต่อภาพเดือนตุลาคม — พยานได้ดูและเห็นว่าภาพเป็ดมีการสื่อถึงรัชกาลที่ 10 เนื่องจากมีกล่องคำพูดว่า “พ่อบอกว่าให้ทุกคนพอเพียง” และทรงพูดว่า “ทรงนำเศรษฐกิจพอเพียงหล่อเลี้ยงชีวา” นอกจากนี้เป็ดเหลืองยังสวมใส่เหรียญที่คอว่า “NO.10” ยิ่งทำให้เห็นว่าสื่อว่าเป็ดตัวนั้นเป็นรัชกาลที่ 10 

และในภาพนี้ยังมีข้อความว่า “Fordad” สื่อถึงความหมายกิจกรรมปั่นจักรยานของรัชกาลที่ 10 พยานเห็นว่าเมื่อดูภาพรวมแล้วมีการหมิ่นประมาทในหลวงรัชกาลที่ 10 หมายถึงว่ารัชกาลที่ 10 ไม่ได้ทำตามคำพูดของพ่อหรือรัชกาลที่ 9 ที่มีการบอกให้พอเพียง

พยานอธิบายว่า เมื่อดูภาพรวมทั้งหมดของทุกเดือนตามโจทก์ฟ้อง ทำให้เห็นได้ว่ารัชกาลที่ 10 ใช้ภาษีของประชาชน เพื่อตอบสนองความสุขส่วนตัวในทางกามารมณ์ มีการควบคุมระบบราชการทหาร อยู่เหนืออำนาจการบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ

ทนายความถามค้าน

พยานยืนยันตามที่ทนายจำเลยถามว่า เกี่ยวกับคดีความมาตรา 112 พยานได้มาเบิกความเป็นครั้งแรก และยอมรับว่าเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวมติชน ที่มีการเผยแพร่ไปเมื่อ 2554 ว่าพยานเห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 เนื่องจากพยานเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ สามารถทำได้ด้วยข้อมูลที่อยู่บนเหตุผล และมีข้อมูลสนับสนุนว่าไม่ควรใช้มาตรา 112 มาปิดปากประชาชน แต่ทั้งนี้ต้องทำประชาพิจารณ์ก่อน

เมื่อทนายถามต่อว่า พยานทราบหรือว่ากลุ่มคณะราษฎรมีจุดประสงค์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างไร ซึ่งพยานได้ตอบว่าทราบ ถึงการเป็นปฏิปักษ์กับคณะรัฐบาลของประยุทธ์ จันโอชา ที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร 

พยานเห็นด้วยตามที่ทนายถามว่าเป็ดยางสีเหลืองสามารถนำมาใช้ได้ทั่วไป เช่น การวางเป็ดในอ่างอาบน้ำให้เด็กได้เล่น และเมื่อได้ดูภาพปกปฏิทินอีกครั้งจากทนายจำเลย พยานก็ได้ยอมรับว่าเป็ดหลายตัวในหน้าดังกล่าว มีการสวมบทบาทของกลุ่มตำรวจ คฝ. 

ทั้งนี้ ไชยันต์ ยอมรับว่าเป็ดหลายตัวในปฏิทินฉบับนี้ มีหลายภาพที่เป็ดสวมบทบาทแตกต่างกัน และในปฏิทินเดือนเมษายน คำว่า “VIP” ก็มีความหมายเพียงแค่ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุด และเห็นด้วยตามที่ทนายถามค้านว่า หากมองแค่ภาพและข้อความในเดือนเมษายนตามปฏิทิน ไม่สามารถสื่อความหมายได้ ต้องดูภาพประกอบกับเดือนมีนาคมด้วย

ส่วนความเห็นของพยานในเรื่องระบบการปกครอง ตามที่ทนายถาม พยานเบิกความว่ามีความเห็นว่าการปกครองโดยมีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทย แต่เมื่อประชาชนได้เห็นภาพในปฏิทิน จะทำให้ประชาชนเคลือบแคลงและรังเกลียดกษัตริย์ได้ 

ทั้งนี้พยานเคยให้ความเห็นกับพนักงานสอบสวนแค่ภาพปฏิทินหน้าปก กุมภาพันธ์ เมษายน และธันวาคมเท่านั้น โดยไม่ทราบที่มาของการพิมพ์ปฏิทินเป็ดฉบับนี้

อัยการถามติง

อัยการโจทก์ถามว่าที่พยานเบิกความตอบทนายจำเลยว่า เป็ดเหลืองสามารถนำมาใช้ได้ทั่วไปนั้น ต้องไม่ใช่เป็ดที่อยู่ในปฏิทินฉบับนี้ ใช่หรือไม่ พยานได้ตอบอัยการว่าใช่ เนื่องจากปฏิทินได้ปรากฏภาพเป็ดสวมสายสะพาย มีการใช้คำราชาศัพท์ และมีภาพสุนัขของรัชกาลที่ 10 ทำให้ภาพเป็ดบนปฏิทินนี้หมายถึงพระมหากษัตริย์

.

พยานความเห็น คนที่ 3 อดีตรองผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง ชี้ภาพรวมปฏิทินด้อยค่า และทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวกษัตริย์

นันทเดช เมฆสวัสดิ์ รับราชการเป็นทหารตั้งแต่ปี 2514 จนถึง 2557 ก่อนเกษียณอายุในตำแหน่งรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติ และยังได้รับหน้าที่ให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลทหาร และตำแหน่งราชองครักษ์เวร ตลอดจนประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในวุฒิสภา

ในฐานะที่ทำงานเรื่องข่าวกรองแห่งชาติ พยานต้องคอยติดตามข่าวสารต่างๆ รวมถึงพยานเองก็ได้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎร เมื่อปี 2563 และพบว่ามีการเคลื่อนไหวที่พาดพิงสถาบันกษัตริย์ จำนวนหลายครั้ง ตลอดจน พยานทราบว่ามีการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 และเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายดังกล่าว 

จากการรณรงค์ทำกิจกรรมให้ยกเลิกมาตรา 112 พบว่ามีการแต่งกายเลียนแบบพระราชินีในรัชกาลที่ 10 และแต่งกายเลียนแบบรัชกาลที่ 10 โดยใส่เสื้อยืดรัดรูป ไม่มีแขน เอวลอย ซึ่งพยานเคยเห็นตามโซเชียล ว่ารัชกาลที่ 10 ทรงเคยแต่งกายในลักษณะดังกล่าว แต่ไม่ทราบว่าเป็นภาพจริงหรือไม่

พยานทราบตามที่อัยการโจทก์ถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร ได้มีการนำเป็ดเหลืองมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหว และทราบว่าเป็ดเหลืองมีการใช้กันทั่วโลก พยานให้ความเห็นว่าเป็ดดังกล่าว ใช้ในการสื่อสารที่มีความสดชื่นเป็นส่วนใหญ่

นอกจากนี้ พยานทราบว่ากลุ่มคณะราษฎรมีการประกาศขายปฏิทินดังกล่าวทางสื่อออนไลน์ให้กับบุคคลทั่วไป โดยพยานได้ให้ความเห็นต่อหน้าปกว่า ถ้าประชาชนได้เห็นก็อาจเข้าใจได้ว่าเป็นปฏิทินที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์

นันทเดชกับความเห็นต่อภาพเดือนมกราคม — พยานอธิบายว่าเห็นภาพเป็ดเหลืองมีสายสะพาย และมีรูปสุนัขหลายตัว หนึ่งในนั้นมีสุนัขทรงเลี้ยงของรัชกาลที่ 10 ชื่อว่า ‘ฟูฟู’ เป็นสุนัขสีขาว ประกอบมีข้อความบนภาพว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ” เป็นพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 10 ซึ่งมีต่อประชาชนที่ไปเข้าเฝ้า สามารถทราบได้โดยทั่วกันจากสื่อต่างๆ 

เมื่อพยานตรวจดูภาพโดยละเอียดแล้ว นันทเดชได้ออกความเห็นว่าภาพเดือนมกราคม เข้าข่ายหมิ่นประมาทตามมาตรา 112 เนื่องจากเป็นการสื่อให้เห็นว่า รัชกาลที่ 10 ด้อยค่า ดูถูกประชาชนว่าต่ำกว่าสุนัขทรงเลี้ยง ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความขบขัน ไม่เคารพต่อสถาบันกษัตริย์ได้ 

นันทเดชกับความเห็นต่อภาพเดือนมีนาคม — พยานได้ดูภาพแล้ว ออกความเห็นว่าเป็ดที่สวมหมวกสีม่วง ผ้าพันคอสีม่วง บนซองถุงยางอนามัย สื่อถึงพระราชินีสุทิดา เนื่องจากแต่งกายคล้ายพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซึ่งพระราชินีเคยทำงานตำแหน่งดังกล่าวมาก่อน 

เมื่อดูปฏิทินเดือนนี้โดยรวมแล้ว นันทเดชได้เบิกความต่อศาลว่า มีการสื่อถึงกษัตริย์รัชกาลที่ 10 เป็นคนเจ้าชู้ ไม่น่าเคารพและมักมากในกาม ซึ่งเข้าข่ายการดูหมิ่นตามมาตรา 112 เช่นเดียวกัน

นันทเดชกับความเห็นต่อภาพเดือนเมษายน — พยานดูภาพปฏิทินเดือนดังกล่าว มีข้อความว่า “รักคุณเท่าฟ้า” ซึ่งสื่อถึงการประชาสัมพันธ์ของบริษัทการบินไทย มีภาพเป็ดเหลืองใส่แว่นตาดำ ที่สื่อถึงรัชกาลที่ 10 กำลังขับเครื่องบิน ส่วนเป็ดที่สวมหมวกสีม่วง ผ้าพันคอสีม่วง สื่อถึงพระราชินีสุทิดา และเป็ดที่สวมหมวกดำ พยานไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นผู้ใด 

และเมื่อดูภาพปฏิทินในเดือนนี้แล้ว พยานลงความเห็นว่า จำเลยต้องการสื่อให้เห็นถึงความขบขันของรัชกาลที่ 10 กับพระราชินีสุทิดา ว่ากษัตริย์ทรงนำพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมาเป็นภรรยา แต่หากดูเพียงภาพนี้ภาพเดียว พยานไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 อย่างไร ซึ่งต้องดูภาพรวมทุกเดือนแล้วมาตีความถึงจะมีความชัดเจน

นันทเดชกับความเห็นต่อภาพเดือนพฤษภาคม — พยานดูภาพและเบิกความว่าเห็นข้อความ “ไอโอนะ ยูโอไหม” ซึ่งคำว่า “โอ” เป็นชื่อที่ประชาชนทั่วไปทราบว่าเป็นการย่อชื่อ “พระบรมโอรสาธิราชฯ” ซึ่งเป็นพระนามเดิมของรัชกาลที่ 10 และยังเป็นที่มาของฉายาว่า “เสี่ยโอ” 

นอกจากนี้ ในภาพยังปรากฎข้อความว่า “ Army 10” ซึ่งสื่อความหมายได้ว่า รัชกาลที่ 10 ทรงมีกองทัพทหาร โดยภาพเป็ดที่สวมชุดลายพลางและถือไม้ ก็สื่อถึงรัชกาลที่ 10 ได้ แต่ในความเห็นของพยาน ยังไม่ถือว่าภาพนี้เป็นการดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 

นันทเดชกับความเห็นต่อภาพเดือนตุลาคม —  พยานเห็นภาพเป็ดและข้อความว่า “พ่อบอกว่าให้ทุกคนพอเพียง” ซึ่งเป็นภาพเป็ดที่สื่อให้เห็นถึงรัชกาลที่ 10 และยังมีข้อความว่า “Fordad” ประจำเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนที่รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต 

เมื่อดูโดยภาพรวมแล้ว พยานให้ความเห็นว่า เป็นการนำรัชกาลที่ 10 มาล้อเลียน แต่ในความเห็นของพยาน ภาพดังกล่าวยังไม่เป็นการหมิ่นรัชกาลที่ 10 เนื่องจากต้องดูภาพรวมของทุกเดือน ถึงจะทราบได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาท ตามมาตรา 112 

นอกจากนี้ นันทเดชยังได้อธิบายต่อไปว่า การที่บุคคลนำปฏิทินมาจำหน่าย ต้องดูเจตนาว่าทราบหรือไม่ว่ามีการทำผิดกฎหมายมาตรา 112 หากไม่ทราบก็ย่อมไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่การที่มีโพสต์จำหน่ายสินค้าในสื่อออนไลน์ของกลุ่มคณะราษฎร จำเลยต้องรู้จักกับสมาชิกกลุ่มดังกล่าว และย่อมรู้ว่าการจำหน่ายปฏิทินเป็ดจะมีผลกระทบที่สร้างความเสื่อมเสีย และด้อยค่าต่อรัชกาลที่ 10 

ทนายความถามค้าน

พยานตอบยืนยันตามที่ทนายถามว่าเคยมาเบิกความคดีมาตรา 112 เป็นครั้งแรก และไม่เห็นด้วยกับการที่กลุ่มคณะราษฎรจะทำการปฏิรูปสถาบันฯ แต่ทราบว่ากลุ่มดังกล่าวมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก และแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย 

เมื่อทนายจำเลยถามต่อว่า พยานทราบหรือไม่ว่า “พระราชทาน” เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้ตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นไป พยานได้ตอบว่าทราบ และเมื่อได้ดูภาพเป็ดเหลืองที่สวมแว่นดำบนซองถุงยางอนามัย ในเดือนมีนาคมอีกครั้ง พยานก็กล่าวว่าไม่สามารถสรุปได้ว่าหมายถึงใคร

ในส่วนเดือนพฤษภาคม คำว่า “IO” ทางการทหาร หมายถึงการปฏิบัติการทางข่าว ซึ่งทางกองทัพเคยออกมาชี้แจงเกี่ยวกับปฏิบัติการทางการข่าว และการที่มีรูปเป็ดใส่ชุดลายพรางถือไม้ ก็หมายความได้ว่าเป็ดตัวนั้นเป็นผู้บังคับบัญชา

พยานได้ตอบตามที่ทนายจำเลยถามว่า กษัตริย์ทรงอยู่เหนือทางการเมืองใช่หรือไม่ ซึ่งพยานได้ตอบว่า ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ กษัตริย์ทรงอยู่เหนือทางการเมือง ดังนั้นการสั่งการทหาร รัชกาลที่ 10 จะไม่เข้ามาแทรกแซงหรือเกี่ยวข้อง ยกเว้นหน่วยทหารที่อยู่ในความรับผิดชอบของพระองค์เอง

ทนายได้ถามกับนันทเดชต่อไปว่า เมื่อดูภาพปฏิทินตามฟ้องแล้ว พยานยังคงศรัทธาและเชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์อยู่หรือไม่ ซึ่งพยานก็ได้ยืนยันว่าตนเองยังคงศรัทธาและเชื่อมั่นในสถาบันฯ อยู่เช่นเดิม

อัยการถามติง

อัยการถามต่อพยานว่า ที่พยานอธิบายไปว่าภาพเป็ดในเดือนพฤษภาคมที่ใส่ชุดลายพรางและถือไม้นั้น หมายถึงผู้บังคับบัญชา พยานได้อธิบายว่า ภาพเป็ดดังกล่าวต้องดูโดยภาพรวม ซึ่งรัชกาลที่ 10 เป็นจอมทัพไทย และยังเป็นผู้บังคับบัญชาทหารหน่วยรักษาพระองค์ ภาพเป็ดเหลืองตัวนั้นจึงหมายถึงรัชกาลที่ 10

พยานเข้าใจว่า ปฏิทินฉบับนี้ได้มุ่งเผยแพร่และจำหน่ายกับประชาชนที่เกิดในช่วงปลายยุครัชกาลที่ 9 ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นนักศึกษา ทำให้นักศึกษาเมื่อดูภาพนี้อาจเสื่อมศรัทธา และไม่เคารพต่อรัชกาลที่ 10 แต่สำหรับพยานเองนั้น ยังคงมีความเชื่อมั่นและเคารพศรัทธาในตัวสถาบันฯ

.

นักวิชาการการละครให้ความเห็นคนที่ 4 ชี้การดูปฏิทินเป็ดเหลืองต้องดูโดยภาพรวมทั้งปฏิทิน เพื่อเข้าใจเรื่องราว ไม่สามารถดูแค่โจทก์ฟ้องได้

ตรีดาว อภัยวงศ์ รับตำแหน่งอาจารย์พิเศษสาขาศิลปกรรมการแสดง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และมีโอกาสเป็นนักบำบัดจิตอาสา อยู่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทั้งยังเคยประกอบอาชีพนักข่าวที่ช่องทีวี Blue Sky

ในคดีนี้ พยานทราบการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎร ผ่านช่องทางออนไลน์ ทำให้เข้าใจว่ากลุ่มดังกล่าวมีข้อเรียกร้อง 3 ประการ ได้แก่ นายกรัฐมนตรีลาออก แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และมีอีก 10 ข้อ แต่จำรายละเอียดไม่ได้

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานถูกเรียกมาให้การ และออกความเห็นในฐานะผู้เรียนศิลปะการละคร ซึ่งย่อมมีความเข้าใจศิลปะและการสื่อสารเช่นเดียวกัน แต่ตัวพยานเองไม่เคยเห็นปฏิทินในคดีนี้มาก่อน 

เมื่ออัยการโจทก์เอาหน้าปกปฏิทินให้ตรีดาวดู พยานได้เบิกความว่าเป็นปฏิทินที่มีการทำล้อเลียน เนื่องจากมีคำว่า “พระราชทาน” และคำว่า “รวมทุกคำสอนของเรา” และประดับตราสามนิ้วของกลุ่มคณะราษฎร 

ตรีดาวกับความเห็นต่อภาพเดือนมกราคม — พยานเข้าใจว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ” เป็นคำพูดของรัชกาลที่ 10 ส่วนภาพสุนัข มีภาพที่คล้ายกับสุนัขทรงโปรด จึงทำให้เข้าใจได้ว่าเป็ดเหลืองตัวนี้ สื่อถึงรัชกาลที่ 10 

ในความเห็นของพยานคิดว่าเป็นการหมิ่นประมาท เนื่องจากเป็นภาพที่มีการล้อเลียน ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความคิดเห็นในทางที่ไม่ดีกับกษัตริย์ หรือรู้สึกสะใจขำขันที่ได้เห็นภาพล้อเลียน และในทางตรงกันข้ามอาจทำให้ผู้มีความเคารพศรัทธา รู้สึกไม่สบายใจ

ตรีดาวกับความเห็นต่อภาพเดือนมีนาคม — พยานเบิกความว่า ภาพปฏิทินในเดือนนี้ เข้าใจได้ว่าเป็ดเหลืองที่มีถุงยางอนามัยครอบศีรษะอยู่คือรัชกาลที่ 10 รวมถึงการมีตัวละครเป็ดที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มีลักษณะล้อเลียนพระราชินีสุทิดา  และภาพเป็ดสวมแว่นตาดำที่อยู่บนซองถุงยางอนามัย ใส่เสื้อครอปท็อปคือรัชกาลที่ 10 ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่ที่พระองค์ใส่เสื้อลักษณะดังกล่าว

ในภาพนี้จึงมีความหมายว่ารัชกาลที่ 10 เป็นผู้ฝักใฝ่ทางเพศ ผู้จัดทำต้องการให้เป็นผู้มีความมักมากในกาม ทำให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็นอาจเสื่อมศรัทธาได้ 

ตรีดาวกับความเห็นต่อภาพเดือนเมษายน — พยานได้ดูภาพเดือนนี้กับเดือนมีนาคมประกอบกัน พบว่าเป็ดที่สวมหมวกสีดำ เข้าใจได้ว่าเป็นเจ้าคุณพระสินีนาฏ และข้อความว่า “Super VIP” มีหัวใจคั่นข้างบนภาพ มีเป็ดเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็ดสวมหมวกดำ และเป็ดที่ทำหน้าที่ขับเครื่องบิน ทำให้เข้าใจได้ว่า ภาพนี้มีการล้อเลียนเรื่องส่วนพระองค์ ทำให้เห็นว่ารัชกาลที่ 10 ทรงมีความรักต่อพระราชินีสุทิดา และเจ้าคุณพระสินีนาฎ รวมถึงเสียดสีว่าทรงมีอำนาจเหนือประชาชน จากคำว่า Super VIP 

ตรีดาวกับความเห็นต่อภาพเดือนพฤษภาคม — พยานอธิบายว่าเป็นภาพที่ต้องการสื่อถึงเครื่องผลิตทหารให้กลายเป็น IO หรือหน่วยปฏิบัติการทางการข่าว และคำว่า “โอ” ในภาพนี้ สามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึง 10 ได้ด้วย ซึ่งเมื่อดูภาพรวมแล้ว จะทำให้เข้าใจได้ว่า รัชกาลที่ 10 ทรงมีความสามารถใช้อำนาจทางข้อมูลข่าวสาร หรือทำให้รัชกาลที่ 10 ทรงมีอำนาจอยู่เหนือกองทัพทหาร 

ตรีดาวกับความเห็นต่อภาพเดือนตุลาคม — พยานดูภาพเดือนตุลาคม เบิกความต่อศาลว่ามีพื้นหลังภาพสีดำ มีข้อความบนปกภาพว่า “Fordad” ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการล้อเลียนนิตยสาร Forbes ที่เชิดชูให้รัชกาลที่ 10 เป็นบุคคลน่ายกย่องระดับโลก และมีการใส่สายสะพายสีแดง และกล่องข้อความว่า “พ่อบอกว่าให้ทุกคนพอเพียง”

พยานมีความเห็นว่าภาพนี้ ไม่มีความเชื่อมโยงกับภาพในเดือนอื่นๆ ข้อความนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการรำลึกถึง รัชกาลที่ 9 เท่านั้น แต่หากดูภาพอื่นที่ไม่ได้ฟ้องมา อย่างเดือนกุมภาพันธ์และกันยายน จะมีการเสียดสีคำสอนของรัชกาลที่ 9 ว่า รัชกาลที่ 10 ไม่ได้ปฏิบัติตนตามคำสอนของพ่อ และจะให้ประชาชนเชื่อฟังคำสอนดังกล่าวได้อย่างไร ซึ่งเมื่อดูโดยรวมจะได้ความหมายว่า รัชกาลที่ 10 เป็นลูกอกตัญญู ผู้ผลิตมีเจตนาสร้างความเชื่อที่ผิดๆ และความเกลียดชังให้กษัตริย์

แต่เมื่ออัยการขอให้พยานได้ดูภาพรวมของเดือนที่ถูกฟ้องมาทั้งหมด พยานก็อธิบายว่า ในฐานะที่เรียนอักษรศาสตร์ พยานเข้าใจว่าคนที่จำหน่ายสิ่งที่เป็นของปลอม ต้องการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและด้อยค่าสถาบันฯ มีเจตนาทำให้รัชกาลที่ 10 ไม่เป็นที่เคารพของประชาชน

ทนายความถามค้าน

ทนายจำเลยถามต่อตรีดาวว่า ตัวของพยานไม่ได้เรียนจบด้านกฎหมาย และที่เบิกความว่าเป็นพิธีกรในช่องทีวี Blue Sky ซึ่งเป็นสถานีที่สนับสนุนกลุ่ม กปปส. พยานได้ยอมรับว่าใช่ แต่เมื่อทนายถามต่อไปว่าการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ส่งผลให้เกิดการรัฐประหารขึ้นหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ทราบ และไม่แน่ใจว่า กปปส. กับคณะราษฎรจะมีแนวคิดทางการเมืองไปในทางเดียวกันหรือไม่

ทนายจำเลยจึงถามต่อไปว่า พยานทราบหรือไม่ว่ามีการนำเป็ดเหลืองมาใช้เป็นเกราะป้องกันแก๊สน้ำตาในการชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภา และเป็ดตัวนี้มีชื่อว่า “พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์” พยานตอบว่าไม่ทราบถึงจุดประสงค์ดังกล่าวของเป็ดเหลือง และไม่รู้รายละเอียดของตัวเป็ดในคดีนี้

แต่เมื่อให้พยานอธิบายสัญลักษณ์ของเป็ดเหลืองที่เป็นของกลุ่มคณะราษฎรว่าควรเป็นอย่างไร พยานตอบว่าควรเป็นเป็ดสีเหลืองเรียบๆ ไม่ตกแต่งประดับยศใดๆ 

ทนายจำเลยถามต่อว่า ปฏิทินที่ผลิตออกมาจำหน่ายทั่วไป มีการใช้คำยอดฮิตต่างๆ มาประกอบภาพศิลปะ แต่ตรีดาวตอบว่าไม่เสมอไป แต่ยอมรับตามที่ทนายจำเลยถามว่า “พระราชทาน” เป็นคำศัพท์ทีใ่ช้ในชั้นเจ้าฟ้าขึ้นไปเท่านั้น และยอมรับว่าเป็ดในปฏิทินนี้มีการสื่อสารถึงบุคคลหลายความหมาย แล้วแต่เสื้อผ้าที่สวมใส่

ทั้งนี้ ทนายจำเลยได้ให้พยานดูภาพเดือนมกราคมอีกครั้ง บนเหรียญที่มีข้อความว่า “OK1” และถามพยานว่าทราบหรือไม่ว่าเป็นประโยคคำพูดย่อยมาจากป้าคนหนึ่งที่เห็นม็อบเยาวชนและก็พูดเชิงสนับสนุนว่า “โอเค นัมเบอร์วัน” พยานตอบไม่ทราบเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม พยานยังได้ยอมรับกับทนายจำเลยว่า เป็ดเหลืองทั้งหมดในปฏิทินนี้ไม่มีหน้าใดระบุชื่อของรัชกาลที่ 10 และทั้งหมดก็ไม่มีการกำหนดชื่อตัวละครแบบชัดเจน ต้องใช้การตีความทางสัญวิทยา และจะส่อถึงความหมายใดบ้างก็ต้องดูองค์ประกอบของภาพนั้นๆ เพราะการดูภาพศิลปะ ไม่สามารถดูเพียงภาพเดียวได้ ต้องดูโดยรวมทั้งหมดที่มี ซึ่งคนอื่นจะตีความแตกต่างจากพยานก็ย่อมทำได้ และทนายจำเลยได้ถามต่อทันทีว่า ปฏิทินฉบับดังกล่าวนี้ เป็ดเหลืองทั้งหมดอาจเป็นกรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์ก็ย่อมได้ใช่หรือไม่ ซึ่งพยานได้ตอบว่าใช่

อัยการถามติง

อัยการถามถึงข้อความในภาพปฏิทินเดือนมกราคม ที่พยานตอบทนายจำเลยไปว่าไม่ทราบว่าข้อความดังกล่าวมีความหมายถึงใคร แต่ทั้งภาพและองค์ประกอบภาพ สามารถตีความได้ว่าผู้ผลิตต้องการทำให้ตัวละครเป็ดสื่อถึงใคร หรือเสียดสีใครบ้าง และจากการตีความของพยานเชื่อว่าเป็ดที่ห้อยเหรียญในหน้าภาพเดือนมกราคมนั้น สื่อถึงรัชกาลที่ 10 ได้

.

ประชาชนทั่วไปให้ความเห็น ชี้โดยรวมปฏิทิน ไม่เห็นว่าสื่อสารหมิ่นรัชกาลที่ 10 และถึงแม้จะได้เห็นปฏิทินแล้ว ก็ยังคงเชื่อมั่นในสถาบันกษัตริย์อยู่

ธนาวุฒิ รัศมีฉาย พยานเป็นประชาชนทั่วไป ประกอบอาชีพขายประกัน และเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ประจำศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเขตบางแค สังกัดกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยทำงานเป็นผู้ไกล่เกลี่ยมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน 

ในคดีนี้ พยานได้รับการประสานจากตำรวจ สน.หนองแขม มาให้การเกี่ยวกับปฏิทินเป็ด ซึ่งจากการดูภาพหน้าปก พยานทราบว่าปฏิทินนี้ไม่ได้ถูกพระราชทานจากรัชกาลที่ 10 แต่เป็นการทำขึ้นเพื่อล้อเลียนสถาบันฯ นอกจากนี้พยานทราบว่ามีกลุ่มที่พยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 

พยานได้ดูปฏิทินเดือนมกราคม พบว่าเป็นภาพที่มีข้อความไม่เหมาะสม ไม่ควรทำเนื่องจากอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนที่ไม่เข้าใจสถาบันกษัตริย์

ส่วนในภาพปฏิทินเดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคมแล้ว พยานมีความเห็นว่ายังไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10 ไม่สามารถสื่อถึงสถาบันกษัตริย์ได้ ตลอดจนภาพในเดือนตุลาคมก็ยังคงไม่เห็นความเชื่อมโยงที่จะสื่อถึงรัชกาลที่ 10 แต่อย่างใด 

ทนายความถามค้าน

พยานไม่ทราบตามที่ทนายจำเลยถามว่า ที่มาของปฏิทินเป็ดเป็นอย่างไร หรือเป็ดเหลืองถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ใดของกลุ่มผู้ชุมนุม ตลอดจนไม่เข้าใจคำว่า “IO” มีความหมายถึงสิ่งใด และถึงแม้จะดูข้อความในปฏิทินทั้งหมดแล้ว พยานก็ไม่ได้เสื่อมศรัทธาในตัวสถาบันกษัตริย์ 

อัยการถามติง

ในความคิดเห็นส่วนตัวของพยาน ปฏิทินฉบับนี้ก็ยังมีการหมิ่นประมาทกษัตริย์อยู่ และไม่ควรจัดทำขึ้น

——————————

พยานจำเลยปากที่ 1  ต้นไม้ ยืนยันเป็ดเหลืองในปฏิทิน เป็นบทบาทสมมติ และมีชื่อว่ากรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์

จำเลยอ้างตัวเองเป็นพยานเข้าเบิกความ ปัจจุบันมีอาชีพเป็นนิติกร ในบริษัทเอกชน ตั้งแต่ปี 2563 จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 2 ปีการศึกษา 2561  และกำลังศึกษาเนติบัณฑิต 

ในคดีนี้ พยานเป็นผู้จัดส่งสินค้า ได้พบกับเพื่อนซึ่งเป็นผู้จำหน่ายในสมัยที่เรียนอยู่ที่คณะเดียวกัน แต่ได้มารู้จักกันจริงๆ ในช่วงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 ในตอนนั้นพยานไปเปิดบูธขายสินค้าเสื้อยืดในพื้นที่ชุมนุม จึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อน และตกลงว่าจะนำสินค้าไปขายในกลุ่มคณะราษฎร ซึ่งมีหลากหลายประเภท เช่น เสื้อยืด พวงกุญแจ ถุงผ้า และสติ๊กเกอร์ แบ่งกำไรคนละ 20 – 25 เปอร์เซ็นต์

พยานไม่ได้เป็นแอดมินเพจคณะราษฎร และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ผลิต โดยในวันที่ 20 ธ.ค. 2563 มีการติดต่อมาจากเพื่อนของจำเลยว่าต้องการพื้นที่คลังสินค้า และคนแพ็คปฏิทิน พยานจึงได้รับจ้างทำให้ และได้บอกกับเพื่อนว่าจะให้ใช้พื้นที่บ้านตัวเองเป็นคลังสินค้าแค่เฉพาะช่วงสิ้นปี 2563 เท่านั้น 

พยานอธิบายว่า การรับจ้างดังกล่าวของตัวพยานเองเป็นการทำเหมือนธุรกิจ Fullfillment เนื่องจากพยานได้ทำการเก็บค่าออเดอร์ ชิ้นละ 35 บาท และในการตกลงจัดส่งปฏิทิน ก็ไม่ใช่หน้าที่ของพยาน เป็นหน้าที่ของเพื่อนที่จะมีการนำรถกระบะขนส่งมาที่บ้านของพยาน ซึ่งพยานก็ทำหน้าที่เพียงนำสินค้าออกไปให้รถขนส่งจัดส่งสินค้าไปตามคำสั่งซื้อของผู้ซื้อเท่านั้น

และปฏิทินดังกล่าว ก็ได้มีการส่งมาที่บ้านเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2563 ได้รับแจ้งจากเพื่อนว่ามีออเดอร์ราว 800 – 900 ชิ้น ที่จะต้องทำการส่งให้ทันในวันที่ 26 ธ.ค. 2563 แต่ในการแพ็คสินค้าจำนวนมาก พยานก็ได้ขอเงินมัดจำค่าจ้างจากเพื่อน เป็นจำนวนเงิน 9,000 บาท ซึ่งเมื่อทำการแพ็คสินค้าส่งเรียบร้อยแล้วในวันที่ 27 ธ.ค. 2563 เพื่อนก็ได้โอนเงินค่าจ้างให้กับพยานเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท 

ในช่วงวันที่ 29 – 31 ธ.ค. 2563 แอดมินเพจคณะราษฎร ได้แจ้งว่าขอให้ส่งสินค้าผ่านแกร๊บ เพราะลูกค้าต้องการปฏิทินด่วน และขอให้มีการเก็บเงินที่ปลายทางแทน และพยานก็เป็นคนทำการเรียกแกร๊บมารับสินค้าด้วยตนเอง 

ทั้งนี้ ในเอกสารพยานหลักฐานที่ปรากฎว่ามีพยานเป็นชื่อผู้รับโอนเงิน ในเว็บไซต์ Page365 ซึ่งเป็นช่องทางการค้าขายออนไลน์ พยานอธิบายว่าที่มีชื่อบัญชีของพยานอยู่ด้วย เนื่องจาก Page365 เป็นระบบที่ให้แจ้งเวลาการชำระเงิน และมีการให้แนบสลิปโอนเงินเข้าระบบ เพื่อตรวจสอบว่ามีการทำรายการจริง ไม่ใช่ไว้สำหรับการโอนเงินแต่อย่างใด 

ในวันที่ 31 ธ.ค. 2563 ตอนที่ตำรวจเข้ามาค้นบ้านของพยาน มีปฏิทินเหลือเพียงสองกล่องใหญ่เท่านั้น ในขณะที่ถูกจับกุม ทั้งพยานได้ถูกควบคุมตัวไว้โดยถูกยึดโทรศัพท์ไปดูข้อมูลในแอปพลิเคชั่นต่างๆ แต่ตำรวจไม่พบอะไรจึงทำการส่งคืนให้กับพยาน จนช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ทนายก็ได้เดินทางมาถึงตัวพยานแล้ว 

สำหรับภาพเป็ดเหลืองในปฏิทิน พยานยืนยันว่าเป็นบทบาทสมมติ มีชื่อว่า “กรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์” และพยานเข้าใจว่าการทำปฏิทินก็เป็นความน่ารักของเป็ด ไม่ได้มีการสื่อไปแบบอื่น และพยานไม่ใช่ผู้จำหน่าย เป็นเพียงผู้ส่งของเท่านั้น 

อัยการถามค้าน

พยานตอบอัยการโจทก์ว่า โพสต์ประกาศจำหน่ายปฏิทินบนเพจคณะราษฎร ไม่มีหลักฐานว่ามีการประกาศโพสต์จำหน่ายปฏิทินดังกล่าวเมื่อไหร่ และในสลิปโอนเงินที่ส่งเข้าบัญชีของพยานก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นการโอนเงินค่าอะไร และอธิบายเพิ่มเติมว่าที่บัญชีของพยานไปอยู่บน Page365 ก็เพราะเพื่อนที่เป็นผู้จำหน่ายนำไปใส่ในระบบให้พยาน เพื่อดูว่ามีการแจ้งโอนเงินเข้ามาแล้ว

ทนายถามติง

พยานตอบทนายว่าที่ได้เบิกความตอบอัยการโจทก์ไป เรื่องหลักฐานการโพสต์ขายปฏิทินในเพจคณะราษฎรที่ไม่ได้มีมาแสดงต่อศาล เนื่องจากว่าพยานไม่ใช่แอดมินเพจดังกล่าว

.

นักวิชาการกฎหมายอาญาให้ความเห็นชี้ ‘ล้อเลียนไม่เท่ากับหมิ่นประมาท’ และปฏิทินนี้เชื่อมโยงกับรัชกาลที่ 10 ไม่ได้

สาวตรี สุขศรี รองคณบดีฝ่ายบัณฑิตศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันรับผิดชอบสอนวิชากฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายอาญา อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังได้ดำรงตำแหน่งอนุกรรมการของรัฐสภา เพื่อศึกษาการบังคับใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 

สาวตรี ได้เปิดดูปฏิทินหน้าปก เห็นว่ามีคำที่เชื่อมโยงถึงสถาบันกษัตริย์ได้ แต่ไม่ได้เห็นว่ามีตราสัญลักษณ์ของสำนักงานพระราชวังแต่อย่างใด ส่วนข้อความว่า “พระราชทาน” ก็มีการนำมาใช้แบบสามัญทั่วไป เช่น วัดพระราชทาน หรือแม้แต่ในละครเรื่องต่างๆ ก็ได้มีการหยิบยืมคำไปใช้เพื่อสวมบทบาทของกษัตริย์ 

สาวตรีกับความเห็นต่อภาพเดือนมกราคม — พยานเปิดดูภาพเดือนมกราคมแล้ว เห็นคำว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ” เข้าใจว่าเป็นคำธรรมดาที่คนทั่วไปก็ใช้กันได้ แต่พอรัชกาลที่ 10 ใช้คำพูดนี้ ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นถ้อยคำที่ทรงตรัสของรัชกาลที่ 10 แต่จริงๆ แล้วคนทั่วไปก็ย่อมพูดคำนี้ได้

พยานอธิบายต่อไปว่า ตัวอย่างเช่นประโยค “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” ของรัชกาลที่ 9 ก็มีการเอามาเผยแพร่ในหลายช่องทาง ซึ่งหากมองภาพนี้โดยรวมแล้ว พยานไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายกษัตริย์อย่างไร 

สาวตรีกับความเห็นต่อภาพเดือนมีนาคม — พยานไม่เข้าใจว่าภาพดังกล่าวในเดือนนี้มีการสื่อถึงอะไรได้ เนื่องจากไม่เห็นความเชื่อมโยงกับสถาบันกษัตริย์ ไม่มีสัญลักษณ์ใดที่เกี่ยวพันถึงสถาบันฯ 

สาวตรีกับความเห็นต่อภาพเดือนเมษายน — พยานเห็นข้อความว่า “รักคุณเท่าฟ้า” ซึ่งเป็นสโลแกนของการบินไทย ไม่คิดว่ามีการหมิ่นอย่างไร เพราะใช้ในโฆษณาทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนตัวเป็ดเหลือง 3 ตัว ไม่ได้มีความเชื่อมโยงใดๆ กับสถาบันฯ อาจเข้าใจได้ว่าเป็นเป็ดนักบิน เป็ดพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และผู้โดยสารอีก 1 ตัว จากภาพนี้ดูไม่ออกว่าเป็นการดูหมิ่นบุคคลใด 

สาวตรีกับความเห็นต่อภาพเดือนพฤษภาคม — พยานเห็นเป็ดเหลืองใส่ชุดทหารระดับบัญชาการ มีข้อความต่างๆ ปรากฎเกี่ยวกับปฏิบัติการทางการข่าว IO แต่เมื่อดูภาพรวมแล้ว ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลใด 

สาวตรีกับความเห็นต่อภาพเดือนตุลาคม — พยานเห็นคำว่า “พ่อบอกให้ทุกคนพอเพียง” พยานรู้จักคำว่าพอเพียงเป็นคำตรัสของรัชกาลที่ 9 แต่ก็มองว่าเป็นคำกลางๆ เนื่องจากประชาชนแทนกษัตริย์ว่าเป็นพ่ออยู่แล้ว และการบอกให้ประชาชนพอเพียงก็คือการสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้คิดว่าเป็นหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย

ทั้งนี้ทนายจำเลยถามต่อพยานว่าการล้อเลียนจะถือว่าผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ พยานบอกว่า ไม่เข้าองค์ประกอบของมาตรา 112 เพราะมีการใช้คำที่ชัดเจนในมาตรานี้ กล่าวคือ ต้องเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย แต่การล้อเลียน ในภาษาอังกฤษคือ Parody มันคือการพูดให้ดูขบขัน สนุกสนานเสียมากกว่า 

สาวตรีอธิบายต่อไปว่า “หมิ่นประมาท” ต้องมีการทำให้บุคคลถูกเกลียดชังโดยบุคคลที่ 3 และคำว่า “ดูหมิ่น” หรือสบประมาท ต้องเป็นการดูถูกความเป็นมนุษย์ โดยพยานได้เคยให้การในชั้นสอบสวนแล้วว่าคดีนี้ไม่มีการหมิ่นประมาทตามมาตรา 112 

อัยการถามค้าน

อัยการถามต่อพยานว่าที่มาออกความเห็น เป็นการออกความเห็นโดยส่วนตัว ซึ่งพยานได้ตอบว่าใช่ และพยานอธิบายต่อว่า ในชั้นสอบสวน พยานไม่ยืนยันว่าปฏิทินเป็ดนี้มีการหมิ่นกษัตริย์ การตีความแล้วแต่บุคคลจะออกความเห็น และภาพในวันนี้ที่ได้ดู ก็มีความแตกต่างกับที่ตำรวจให้ดูในชั้นสอบสวน หากจะเอาคำให้การในชั้นสอบสวนมาใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลวันนี้จะใช้ไม่ได้ เนื่องจากไม่ใช่การออกความเห็นในภาพเดียวกัน

ทนายถามติง

ทนายจำเลยถามต่อพยานว่าในการมาให้ความเห็นในคดีนี้ ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของพยาน แต่เป็นความเห็นทางวิชาการกฎหมายด้วย ซึ่งพยานได้ยืนยันว่าใช่ 

.

บก.ลายจุด ชี้เป็ดเหลืองเป็นสัญลักษณ์เทพพิทักษ์ของกลุ่มคณะราษฎร ไม่ใช่สวมบทบาทรัชกาลที่ 10

สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา ทั้งพยานเป็นนักกิจกรรมเพื่อสังคม และด้านประชาธิปไตย นอกจากนี้ พยานยังเคยทำละคร มีประสบการณ์มากว่า 10 ปี โดยมีบทบาทเป็นผู้เขียนบทละครและกำกับการแสดง มีผลงานละครสะท้อนปัญหาสังคม เคยได้รับการยกย่องจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ ว่าละครของพยานเป็นละครที่ดีที่สุดแห่งปี 

พยานทราบการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎร และเยาวชนปลดแอกตั้งแต่ปี 2563 ว่ามีการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ มีการใช้สัญลักษณ์ 3 นิ้วที่มีอิทธิพลมาจากหนังเรื่อง The Hunger Games ซึ่งหมายถึงการต่อต้านผู้ปกครองรัฐเผด็จการ และมีสัญลักษณ์เป็ดเหลือง เนื่องมาจากการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา มีการนำเป็ดยางมาใช้ป้องกันภัย และใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเทพผู้พิทักษ์ และเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

เกี่ยวกับปฏิทินเป็ดฉบับนี้ พยานเห็นว่าเป็นการทำขึ้นเพื่อยกย่องเป็ดเหลือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ชุมนุมโดยในหน้าสุดท้ายก็ได้มีการประทับชื่อไว้อย่างชัดเจนว่าเป็ดเหลืองมีชื่อว่าอะไร 

พยานเบิกความต่อศาลว่า ในการดูงานศิลปะชิ้นหนึ่ง จะต้องเข้าใจ Concept ของงานชิ้นนั้นก่อน เริ่มด้วยตัวละครในเรื่องซึ่งต้องมีสถานะต่างๆ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวให้เรื่องดำเนินต่อไปได้ เป็ดเหลืองตัวนี้ก็เช่นกัน ซึ่งชัดเจนว่ามีสถานะเป็นเทพผู้พิทักษ์ของกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่ต่างกันกับตัวละครลิเก หรือตัวละครในหนังต่างๆ ที่มีการกำหนดสถานะของตัวละครไว้ 

ในส่วนหน้าปก พยานอธิบายว่า มีการใช้คำราชาศัพท์ แต่คำดังกล่าวก็สามารถนำมาใช้และแสดงออกในละครทั่วไปอยู่เช่นเดียวกัน โดยในบางละครมีการนำมาพูดโดยอิงจากสถานะของตัวละครนั้นๆ ส่วนที่มีตราสามนิ้วก็มีความเชื่อมโยงกับเป็ดเหลืองเทพผู้พิทักษ์ กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎร ไม่ได้มีความเชื่อมโยงถึงสถาบันกษัตริย์ 

สมบัติกับความเห็นต่อภาพเดือนมกราคม — พยานเห็นว่ามีถ้อยคำที่เป็นคำชื่นชม ซึ่งเป็นคำสามัญที่นำมาใช้ได้ ดูจากองค์ประกอบภาพแล้ว คือการชื่นชมตัวละครอื่นๆ ในภาพเดียวกัน ไม่ได้ดูเกี่ยวกับกษัตริย์ เพราะเป็นคำที่ใช้ได้ทั่วไป 

สมบัติกับความเห็นต่อภาพเดือนมีนาคม — พยานเห็นภาพแล้วไม่เข้าใจว่า ภาพดังกล่าวสื่อสารถึงสิ่งใด

สมบัติกับความเห็นต่อภาพเดือนเมษายน — พยานเห็นตัวหนังสือ “รักคุณเท่าฟ้า” เข้าใจได้ว่าเป็นสโลแกนของการบินไทย ซึ่งให้มองเป็นการยืมข้อความมาชื่นชมผู้อ่านปฏิทินก็ย่อมได้

สมบัติกับความเห็นต่อภาพเดือนพฤษภาคม — มีภาพเครื่องจักร คล้ายสายพานที่อยู่ในสนามบิน และมีเป็ดที่แต่งตัวเป็นทหาร มีข้อความว่า “IO” เป็นเครื่องมืองทางการเมืองของทหารที่ใช้ทำการข่าว ไม่คิดว่าสื่ออะไรเป็นพิเศษ

สมบัติกับความเห็นต่อภาพเดือนตุลาคม — พยานไม่เห็นความหมายอะไรจากภาพในปฏิทินเดือนนี้ เห็นเพียงว่าเป็นการใช้ประโยคบอกเล่าถึงแนวทางการดำเนินชีวิต 

อัยการถามค้าน

พยานตอบที่อัยการถามว่า รับรู้ข้อเรียกร้องของกลุ่มคณะราษฎร แต่ไม่ทราบว่าปฏิทินฉบับนี้ผลิตโดยกลุ่มคณะราษฎรหรือไม่ รู้เพียงว่ามีแนวคิดร่วมกัน

ส่วนข้อความในเดือนมกราคม พยานเคยเห็นว่ารัชกาลที่ 10 เคยมีการตรัสผ่านสื่ออยู่บ้าง แต่ข้อความในเดือนตุลาคม “ทรงนำเศรษฐกิจพอเพียง หล่อเลี้ยงชีวา” เป็นข้อความในบทเพลงหนึ่ง แต่จำชื่อบทเพลงไม่ได้ และภาพรวมของปฏิทินฉบับนี้ มีการหยิบยกข้อความที่มีการใช้พูดหรือคนได้ยินบ่อยๆ ล้วนแล้วแต่เป็นคำชื่นชมไม่มีส่วนใดในข้อความปฏิทินนี้ดูหมิ่นรัชกาลที่ 10

X