‘ฝืนตื่นประท้วง’ วันที่ 2-3 ของ เก็ท ต้อม แบงค์ และเบื้องหลังการจัดตั้งในคุกชายที่กำลังลุกลาม

ฝืนตื่นประท้วงวันที่ 2 

เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2566 ทนายความได้เดินทางไปเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังคดีการเมืองที่กำลังฝืนตื่นประท้วง (Protest by Self-Deprivation of Sleep) จำนวน 3 ราย ได้แก่ “เก็ท” โสภณ, “ต้อม” จตุพล และ “แบงค์” ณัฐพล ซึ่งดำเนินการประท้วงมาตั้งแต่ช่วง 05.00 น. ของวันที่ 7 ก.พ. 2566 โดยมีเจตจำนงเพื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของตะวัน แบม และสิทธิโชค รวมถึงเรียกร้องเพิ่มเติมให้ศาลสร้างหลักประกันว่าจะไม่มีผู้ต้องขังในคดีการเมืองคนใดถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรมอีกในอนาคต

_________________________________________  

ทั้งสามคนเริ่มมีผลข้างเคียงจากการฝืนตื่นประท้วง 

แบงค์ – รู้มึนหัว เวียนศีรษะ กินอาหารได้น้อยลง รู้สึกพะอืดพะอม คิดและตอบสนองช้ากว่าปกติ รวมถึงรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วและถี่ขึ้นมาก โดยเมื่อวานนี้ (7 ก.พ.) ระหว่างอดนอนประท้วง แบงค์วูบหลับไปสักครู่หนึ่ง เพราะทนความง่วงจากฤทธิ์ยาที่ต้องทานบรรเทาอาการทางจิตเวชไม่ไหว แต่เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้งก็ได้พยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองง่วงหลับจนกระทั่งเช้า 

ทนายความสังเกตว่า แบงค์เบลอและตอบโต้ช้าลงมาก โดยวันนี้ทนายได้สอบถามเบอร์พ่อของแบงค์จากเขาอีกครั้ง เนื่องจากโทรศัพท์มือถือมีปัญหาข้อมูลในเครื่องจึงหายหมด แบงค์ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะนึกเบอร์โทรของพ่อออกแต่ละตัว ต่างกับครั้งก่อนที่ตอบเร็วมาก เพราะแบงค์จำเบอร์พ่อได้ขึ้นใจอยู่แล้ว แต่น่าจะเป็นการอดนอนจึงทำให้การคิดและประมวลผลช้ากว่าปกติ

แบงค์ยังฝากบอกทนายความด้วยว่า ให้บอกพ่อมาเยี่ยมหน่อย เพราะคิดว่าอาการของตัวเองนั้นน่าวิตกมากแล้ว หากไม่เข้าเยี่ยมที่เรือนจำตอนนี้ แบงค์คิดว่าอาจจะพบกันอีกทีที่โรงพยาบาลเลยก็เป็นได้

เก็ท – ดวงตาเก็ทดูล้ามากๆ เก็ทรู้สึกมึน เวียนศีรษะ จดจ่อกับบางสิ่งได้ลำบากขึ้น อ่านหนังสือจับใจความได้ช้าลง ใต้ตาดำคล้ำมาก เก็ทพยายามนั่งสมาธิเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน โดยตั้งแต่การฝืนตื่นประท้วงเก็ทวูบหลับไปเพียงไม่กี่ครั้ง แค่ครั้งละประมาณ 3-4 นาทีเท่านั้น เก็ทพยายามฝืนตัวเองให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยการอ่านหนังสือ

“ถึงจะอ่านได้ช้าแต่ผมก็ไม่ได้รีบไปไหน ถึงจะไปช้า ก็ไปถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน” เก็ทบอก

ทนายความบอกว่าเก็ทดูตอบสนอง คิด และพูดช้ากว่าเดิมมาก ต่างไปจากเดิมที่เขาเป็นคนที่คิดไว พูดไวมาก แทบจะไม่ต้องหยุดพูดก่อนจะพูดเลย 

ต้อม – นั่งหลับตาแล้ววูบไปเลย 2 รอบ คิดและตอบสนองได้ช้าลง คิดอะไรไม่ค่อยออก กินข้าวได้น้อยลง จากเดิมเคยกินจนหมดจาน ตอนนี้กินได้แค่นิดเดียว เพราะรูุ้สึกพะอืดพะอม นอกจากนี้ต้อมยังคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอน หูแว่ว และได้ยินเสียงแปลกๆ โดยต้อมเล่าว่ามักเห็นรูปร่างคนเป็นลักษณะเงามืด หรือมีคนมายืนอยู่หน้าห้องขังด้วย แต่คนอื่นไม่เห็นเหมือนต้อมเลย 

ส่วนอาการหูแว่ว ต้อมบอกว่ามักได้ยินเสียงคล้ายโซ่ตรวนลากครืดและกระทบกันกับพื้นอยู่บ่อยครั้ง แต่คนอื่นๆ ไม่มีใครได้ยินเลย ทุกคนจึงช่วยกันสันนิษฐานว่าต้อมเห็นภาพและหูแว่วไปเอง ทั้งนี้ ต้อมเตรียมตัวสำหรับการประท้วงครั้งนี้ ด้วยการปรับเวลานอนให้เหลือวันละ 3 ชั่วโมงมาตั้งแต่สัปดาห์แล้ว และเมื่อเริ่มต้นอดนอนประท้วง อาการต้อมจึงค่อนข้างน่าเป็นกังวลพอสมควร

ทั้งนี้ต้อมเล่าว่า ทั้งอาการหูแว่วและเห็นภาพหลอนที่เป็นอยู่นั้นไม่แน่ใจว่าเป็นผลมาจากการเคยประสบอุบัติ จนต้องเข้ารับการผ่าตัดบริเวณศีรษะมาก่อนหรือไม่ 

_________________________________________ 

“อดนอนแค่วันเดียว รู้สึกเหมือนอดอาหารตอนนั้น 10 วัน …”

เก็ทบอก เพราะไม่ว่าจะเป็นผลข้างเคียง ความทรมาน และการฝืนตัวเองไม่ให้ล้มเลิกนั้นยากกว่าหลายเท่าตัวมาก

เก็ทบอกว่า วิธีการอดนอน เป็นหนึ่งในวิธีที่รัฐใช้ซ้อมทรมานประชาชนซึ่งเป็นคู่ขัดแย้ง เป็นการทรมานที่รัฐชอบใช้ เพราะเป็นวิธีที่จะไม่เกิดร่องรอยหรือบาดแผลบนร่างกายของผู้ถูกทรมาน และวิธีนี้ทำให้ผู้ถูกทรมานเสียชีวิตได้จริงๆ 

เก็ทบอกว่า การซ้อมทรมานด้วยการให้อดนอน ผู้ถูกทรมานจะต้องต่อสู้กับคนอื่น นั่นก็คือผู้ทำการทรมาน ส่วนการประท้วงด้วยการอดนอนก็เป็นการต่อสู้เหมือนกัน แต่เป็นการต่อสู้กับใจของผู้ประท้วงเอง ว่าจะแข็งแกร่งและมั่นคงแค่ไหน เพราะเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะเผลอหลับไปอยู่ทุกวินาที ซึ่งต้องใช้ความเข้มแข็งอย่างมากในการฝืนใจตัวเอง 

ทั้งสามคนเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนนี้ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีผู้ต้องขังหลายคนที่ไม่ใช่คดีการเมืองร่วมประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองผ่านหลากหลายวิธี ได้แก่ อดอาหารประท้วง ไม่ทานยาประจำตัว และอารยะขัดขืนไม่ทำกิจกรรมของเรือนจำและร้องเพลงปลุกใจทั้งช่วงเช้าและเย็น

หนึ่งในนั้น คือ “โบ๊ท กษม” นายแบบวัย 32 ปี ซึ่งถูกคุมขังจากการถูกฟ้องร่วมกับ “พิ้งกี้ สาวิกา” ในคดีเปิดแชร์ Forex 3D และถูกคุมขังมาตั้งแต่ 19 ส.ค. 2565 โดยโบ๊ทเป็นหนึ่งในผู้ต้องขังที่ไม่ใช่คดีการเมือง แต่ได้ร่วมอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมกับพวกเขาด้วย โดยโบ๊ทเล่าผ่านเก็ทมาว่า เขายืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นทำผิด

คนที่มีญาติหรือทนายมาเยี่ยมบ่อยๆ และได้รับของฝากจะถูกผู้ต้องขังคนอื่นๆ เรียกว่า “สมเด็จ” เป็นเสมือนชนชั้นยอดพีระมิดในบรรดาผู้ต้องขังทั้งปวง โบ็ทและเก็ทต่างก็ถูกเรียกชื่อขึ้นต้นว่าสมเด็จเช่นกัน เป็น “สมเด็จโบ็ท” และ “สมเด็จเก็ท”

เก็ทเล่าว่า คนที่เรียกว่าสมเด็จจะเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อผู้ต้องขังคนอื่นๆ เพราะผู้ต้องขังคนอื่นๆ ที่ไม่มีญาติหรือคนมาเยี่ยมก็จะไม่รับรู้ข่าวสารจากภายนอกเลย รวมถึงจะไม่สามารถส่งสารออกไปข้างนอกเช่นกัน 

ดังนั้นเมื่อโบ๊ทและเก็ทเริ่มประท้วง จึงมีผู้ต้องขังอีกหลายคนเริ่มประท้วงตามมาด้วย และกำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เก็ทบอกแบบนั้น 

ทั้งนี้ เก็ทและผองเพื่อนยังมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมเป็นสองข้อสุดท้ายอีกว่า ศาลต้องมีความเป็นอิสระในการพิจารณาคดีและอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน ต้องไม่วางตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนหรือผู้ถูกดำเนินคดีเสียเอง โดยเฉพาะในการพิจารณาคดีมาตรา 112, การดำเนินคดีกับประชาชนในฐานความผิดละเมิดอำนาจศาลหรือดูหมิ่นศาล เป็นต้น และข้อเรียกร้องข้อสุดท้าย คือ ต้องยุติการดำเนินคดีการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ปี 2557 เป็นต้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน

___________________________________________

ฝืนตื่นประท้วงวันที่ 3 

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2566 ทนายความได้เข้าเยี่ยมทุกคนผ่านระบบอินเตอร์คอมเช่นเดิม “เก็ท” โสภณ, “ต้อม” จตุพล, “แบงค์” ณัฐพล และ “อาร์ม” วัชรพล ถูกเบิกตัวมาพร้อมกัน ก่อนหน้านี้ทุกคนมักจะแย่งกันพูดเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวคึกคัก แต่วันนี้ทุกคนดูค่อนข้างเงียบและพูดเสียงเบากว่าปกติมาก เพราะทั้งเก็ท ต้อม และแบงค์ ต่างก็ได้รับผลข้างเคียงจากการประท้วงด้วยการไม่นอนหลับพอสมควร โดยวันนี้เป็นวันที่ 3 ของประท้วงแล้ว

อาร์ม – ตั้งแต่ถูกขังนอนหลับไม่เคยสนิท ‘ไม่อดนอนประท้วง ก็เหมือนประท้วง’

อาร์มบอกว่า ตัวเองหลับๆ ตื่นๆ นอนหลับไม่สนิทมา 8 เดือนแล้วตั้งแต่ถูกขังในครั้งนี้ อาร์มบอกว่า ถึงจะไม่ได้อดนอนประท้วงด้วย แต่ก็เหมือนประท้วง เพราะที่ผ่านมานอนหลับไม่สนิทเลย จะสะดุ้งตื่นมาทุกๆ 1 ชั่วโมงแทบทุกคืน 

ทำให้ตอนตื่นช่วงเช้าจะรู้สึกปวดหัว เพราะนอนไม่เพียงพอ ถึงจะพยายามนอนต่อ ก็นอนไม่หลับ ซึ่งอาร์มก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน แล้วอาร์มไม่เคยไปหาหมอเพื่อขอยานอนหลับด้วย เพราะเขาไม่อยากจะกินยาและถูกปฏิบัติเหมือนว่ากำลังป่วยอยู่

แบงค์ – หยุดกินยาซึมเศร้าที่ทำให้ง่วง ช่วงวิกฤตแอบเขียนจดหมายถึงลูก หวั่นอยู่ไม่ถึงวันที่แฟนคลอด

แบงค์บอกว่า กินข้าวไม่ลงเลยตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ (8 ก.พ.) ตอนเย็นก็อาเจียนออกมาหลายรอบ รอบที่ 4-5 แบงค์อาเจียนมีเลือดปนออกมาด้วย 

ก่อนหน้านี้ แบงค์ถูกจิตแพทย์วินิจฉัยว่า มีภาวะเข้าข่ายภาวะซึมเศร้า แพทย์จึงจ่ายยารักษาให้แบงค์ทานเพื่อบรรทาอาการ แต่ตอนนี้แบงค์บอกว่าเขาตัดสินใจหยุดกินยารักษาแล้ว เพราะยาทำให้รู้สึกง่วงนอนมาก เมื่อไม่ได้กินยาแบงค์รู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์ฉุนเฉียว ขึ้นๆ ลงๆ ภาวะจิตใจไม่คงที่ และควบคุมสติอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ โดยเมื่อเช้าที่ผ่านมาแบงค์เล่าว่า เพิ่งมีปากเสียงกับต้อมด้วย ซึ่งเพื่อนๆ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า 

“แบงค์ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน”

การประท้วงครั้งนี้แบงค์วางเดิมพันไว้สูง “จะต้องออกไปเจอหน้าลูกให้ได้” แบงค์บอก เดือนหน้านี้แล้วที่แฟนของแบงค์มีกำหนดคลอดลูก 

3 วันที่ผ่านมาระหว่างการอดนอนประท้วง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แบงค์รู้สึกว่าตัวเองอาการย่ำแย่มาก และคิดกับตัวเองว่าอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ทันเห็นหน้าลูกได้ลืมตาดูโลก กลางดึกของวันนั้นแบงค์ตัดสินใจแอบเขียนจดหมายถึงลูกอยู่ในมุมมืดของห้องขังเพียงลำพัง เพราะกลัวว่าตัวเองเป็นอะไรไปซะก่อน

เก็ทที่มารู้เรื่องนี้ภายหลังบอกว่า เขารู้สึกเสียใจและสะเทือนใจมากที่เห็นเพื่อนต้องทนทุกข์ขนาดนี้ และจะสู้เพื่อให้เพื่อนได้ออกไปเจอหน้าลูกและครอบครัวสักที

แบงค์พูดทิ้งท้ายว่า ถึงเขาจะอาการทรุดจนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่เขาก็จะปฏิเสธการรักษาทุกทางอยู่ดี เขาจะไม่รักษาตัวและไม่หยุดประท้วง จนกว่าข้อเรียกร้องจะถูกตอบรับ หรือได้สิทธิประกันตัวออกไปสู้คดีอย่างเป็นธรรม

ต้อม – สรรหาสารพัดวิธีทำให้ตัวเองตื่นตัว เผยกาแฟ 1 ถุงใหญ่หมดในวันเดียว

ต้อมเล่าให้ฟังว่า ระหว่างกินข้าวอยู่ที่โรงเลี้ยง อยู่ๆ ต้อมก็รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องลุกวิ่งออกไปอ้วก ทั้งๆ ที่กินข้าวไม่หมดจานด้วยซ้ำ ตอนต้อมเดินมาหาทนายความมีจังหวะหนึ่งที่ต้อมเกิดหน้าหน้ามืดจนจะเป็นลมด้วย เก็ทเลยต้องเข้าไปช่วยพยุงตัวต้อมขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

ต้อมบอกว่ากาแฟ 1 ถุง พวกเขาใช้กินกันจนหมดภายในวันเดียว นอกจากนี้ระหว่างฝืนตื่นประท้วงครั้งนี้ ต้อมใช้หลายวิธีเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นตัวตลอดเวลา ทั้งเดินทั่วห้อง อาบน้ำตอนง่วง แม้กระทั่งช่วงตี 1 ตี 2 ก็ยังลุกขึ้นมาเดิน เอาเสื้อผ้าออกมานั่งซักผ้าในห้องขัง ซักยันผ้าขี้ริ้ว ทำความสะอาดห้องขัง ถูพื้น ขัดพื้น เอาแปรงสีฟันมาขัดพื้นห้องน้ำ

“แปรงสีฟันของกูหรือเปล่า” เก็ทถามพร้อมหัวเราะ

“ไม่ใช่” ต้อมพูดเสียงสูง

“อ๋อ, แล้วไป” เก็ทตอบ แล้วทั้ง 4 คนก็หัวเราะชอบใจ

เก็ท – อดนอนจนไม่มีแรงทำงานในเรือนจำแล้ว แต่จะอดทนและสู้ต่อไป

ช่วงนี้เก็ทได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ “ช่วยแจกยาประจำตัว” ให้กับผู้ต้องขังคนอื่นๆ อยู่ที่หน้าแดนเรือนจำ ตั้งแต่เริ่มอดนอนประท้วง เก็ทก็ยังต้องทำงานนี้อยู่เหมือนทุกวัน แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ เก็ทรู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงทำงานเลย งานนี้ต้องใช้แรงเยอะพอสมควร ต้องเบ่งเสียงตะโกนเรียกชื่อผู้ต้องขังดังๆ ให้พวกเขาเดินมารับยาของตัวเอง และยังต้องแสร้งทำท่าทีจริงจังเพื่อให้ผู้ต้องขังรอรับยาอย่างเป็นระเบียบอีกด้วย งานนี้ทำให้เก็ทรู้สึกเหนื่อยมาก หลังเสร็จงานแต่ละวันเขาบอกว่า ตัวเองแทบจะไม่มีแรงเหลือเลย 

ปกติเก็ทจะพยายามทำให้ตัวเองตื่นตัวตลอดเวลาด้วย “การอ่านหนังสือ” จนถึงเมื่อคืนประมาณช่วงตี 3 เก็ทคิดว่าตัวเองไม่สามารถมีแรงพอที่จะทนโฟกัสกับการอ่านหนังสือได้อีกต่อไปแล้ว

“แต่ก็จะอดทนไว้ เพราะศาลไม่ควรสั่งขังพวกเราตั้งแต่แรก” เก็ทบอก

ตั้งแต่อดนอนประท้วงเก็ทรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีแปลกๆ เหมือนว่าจะเส้นตื้นขึ้น เพราะไม่ว่าใครพูดอะไรก็รู้สึกว่าตลกไปหมด และมักจะหัวเราะออกมาอย่างง่ายๆ เก็ทสงสัยว่าอาจเป็นเพราะว่าสมองเบลอไปหมดจนไม่ค่อยได้สติแล้วก็เป็นได้

เก็ทยืนยันว่าจะยุติการอดนอนประท้วงก็ต่อเมื่อผู้ต้องขังคดีการเมืองทุกคนได้รับการปล่อยตัว หรือข้อเรียกร้องของพวกเขาถูกศาลรับไปพิจารณา เก็ทไม่อยากให้ศาลตอบโต้ด้วยวิธีการปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองอย่างเดียวเท่านั้น เก็ทเห็นว่าศาลควรจะออกมาพูดและสื่อสารด้วยตัวเองด้วย

“อยากให้ศาลออกมาพูดว่าจะรับข้อเรียกร้องของผมและเพื่อนๆ” และย้ำว่าข้อเรียกร้องทั้งหมดของเก็ทและเพื่อนๆ นั้นศาลทำได้อยู่แล้ว

เก็ทเข้าใจและรู้ดีว่าการประท้วงของเขาและเพื่อนๆ ทำให้ทุกคนจะยิ่งมีแต่ความกังวล แต่อยากให้ทุกคนให้เกียรติการตัดสินใจของเขาด้วย

“ถ้าเราได้แต่เฝ้ามองดู พวกเราก็จะได้แค่มองสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ไปตลอด ในวันนี้พวกเรามีโอกาสแล้วอยากจะให้ทุกคนทำให้เต็มที่”

เก็ทฝากถึง “ตะวัน” และ “แบม” ว่าเข้าใจทั้งสองคนที่ต้องการให้ผู้ต้องขังได้รับการปล่อยตัวทุกคน แต่ถ้าไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเก็ทจะรับช่วงต่อในการต่อสู้ครั้งนี้เอง ท้ายที่สุดหากทุกคนได้ประกันตัว แล้วเหลือแค่เพียงเก็ทแค่คนเดียวที่ถูกขัง ก็ไม่เป็นไรเลย

“การต่อสู้คู่ขนานในเรือนจำจะยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้ข้อเรียกร้อง ‘ให้ยกเลิกระบบกล่าวหา’ ของสิทธิโชคมีคนเห็นด้วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีแนวร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” 

แต่เก็ทไม่แน่ใจว่า ผู้ต้องขังคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คดีการเมือง แต่ร่วมอารยะขัดขืนและประท้วงกับเก็ทและเพื่อนๆ จะถูกผู้คุมลงโทษหรือตักเตือนอะไรบ้างไหม ส่วนเก็ทและเพื่อนๆ ยืนยันว่าไม่ได้ถูกลงโทษอะไร

“ทุกคนจะยังสู้และเคลื่อนไหวต่อไป”

เบื้องหลังการจัดตั้งในเรือนจำ โดย “ยุทธนา” คนเสื้อแดงที่เชื่อว่า ‘วันหนึ่งพวกเราจะชนะ’

เก็ทเล่าว่า ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นการจัดตั้งในเรือนจำครั้งไหนที่ประสบความสำเร็จเหมือนครั้งนี้มาก่อน 

“จริงๆ แล้วมันมีคนเริ่มมาก่อนพวกผมซะอีก” เก็ทพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“การจัดตั้งอย่างเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นมาจากผู้ต้องขังคนหนึ่งที่เชื่อว่าวันหนึ่งพวกเราจะชนะ เขาเชื่อของเขามาเป็นสิบๆ ปี โดยที่เขาไม่เป็นที่รู้จักเลย เขามีชื่อว่า ‘ยุทธนา เย็นภิญโญ’ 

“พี่ยุทธเป็น ‘คนเสื้อแดง’ ที่โดนคดีเกี่ยวกับระเบิด ถูกศาลพิพากษาจำคุกทั้งหมด 34 ปี ตอนนี้พี่ยุทธถูกขังมาแล้วประมาณ 7 ปี พี่ยุทธนี่แหละที่เป็นคนคอยดูแลผู้ต้องขังการเมืองทุกคนมาตลอด …” ถึงตอนนี้เก็ททนไม่ไหวและได้ร้องไห้โฮเสียงดัง

“เขาดูแลผู้ต้องขังการเมืองทุกคน ทั้งอานนท์ เพนกวิน ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องขังคดีการเมืองคนไหนก็ตามที่ต้องเข้ามาอยู่ในคุกแห่งนี้ (เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ)”

แต่ข่าวร้าย คือ ในเร็วๆ นี้ ยุทธนาจะถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำคลองเปรม ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ขณะที่ทุกคนกินข้าวพร้อมหน้ากันอยู่ที่โรงเลี้ยง ยุทธนาได้ฝากข้อความสุดท้ายกับเก็ทและเพื่อนๆ ไว้ว่า “การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจะต้องมีต่อไปเรื่อยๆ ฝากดูแลน้องๆ ด้วยนะ”

เก็ทร้องไห้และบอกว่า “พี่ยุทธถูกขังมานานมาก แม้จะไม่มีใครรู้จักและพูดถึงเขาเลย แต่เขาก็ยังคงสู้ต่อ สู้ด้วยวิธีของเขาที่เขาเชื่อมาตลอด, แล้วอย่างนี้จะให้ผมหยุดสู้ได้ยังไง…”  

ในมุมมองของเก็ท เขารู้สึกว่าคนเสื้อแดงสมัยปี 2553 มักจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกหลงลืมตลอด “ผมพยายามสู้เพื่อพวกเขาแล้ว แต่ก็ยังสู้ไม่ชนะสักที” เก็ทพูดพร้อมปาดน้ำตา 

แรงขับเคลื่อนของ “เก็ท” ในวันที่ใกล้ถอดใจ กับความฝัน ‘สร้างสังคมที่ทุกคนเท่าเทียม’

“วันที่ศาลสั่งถอนประกันผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ครั้งนี้จะถูกขังไปอีกนานแค่ไหนกัน, แต่หน้าพวกเหี้ย (ผู้ต้องขังทะลุแก๊ส) นี่ก็ลอยขึ้นมา”

“อะไรนะ! ‘พวกเหี้ย’ เลยเหรอ” แบงค์พูดสวนทันควัน

จากนั้นทั้ง 4 คนก็หันหน้าเข้าสวมกอดกันและกัน และเก็ทเองก็ยังร้องไห้เสียงดังอยู่ 

เก็ทพูดต่อว่า “วันที่โดนถอนประกัน เขาไม่รู้เลยว่าครั้งนี้จะต้องติดคุกไปอีกนานแค่ไหน เหมือนจะรู้สึกถอดใจอยู่เหมือนกัน แต่จู่ๆ หน้าน้องๆ ทะลุแก๊สที่ถูกขังอยู่ก็ลอยขึ้นมา หน้าพี่สุรชัย แซ่ด่าน หน้าพี่ต้าร์ วันเฉลิมก็ลอยขึ้นมา”

“พอนึกถึงหน้าพวกเขา มันทำให้ผมรู้สึกว่า ‘จะถอดใจไม่สู้ได้ยังไงว่ะ!’”

จู่ๆ เก็ทก็ถามเราว่า “แล้วพี่ (ทนายความ) ล่ะ เป็นยังไงบ้าง” เราตอบไปว่า วันนี้รู้สึกปวดท้องและปวดหลังมากอยู่ แต่ก็ยังอยากมาเยี่ยมทุกคนนะ

“ผมรู้นะว่าผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรแบบนี้ได้ แต่ว่าถ้าทุกคนเหนื่อยก็ให้พักนะ ถ้าง่วงก็ให้นอน ถ้าหิวก็ให้กินข้าวให้อิ่มนะครับ, ชีวิตมีคุณค่าใช้มันให้เต็มที่ และผมก็ไม่ได้เสียใจที่ใช้ชีวิตของตัวเองแบบนี้ เพราะว่าผมมีความฝันว่าคุณจะต้องเท่ากันให้ได้  

“แต่ก่อนเวลาเห็นคนที่เขาได้เงินเดือนน้อย สอบได้คะแนนน้อย ฯลฯ ผมมักจะพูดปลอบใจเขาโดยไม่ได้คิดอะไรไปว่า ‘ต้องทำให้ได้ดีกว่านี้สิ’ ทั้งที่จริงๆ สิ่งที่ทำให้เขาไปไม่ถึงไหนมันไม่ได้เกิดจากตัวเขาอย่างเดียว มันมาจากโครงสร้างทางสังคมด้วย 

“สังคมที่ทุกคนเท่าเทียมกันมันคุ้มค่าที่ผมจะแลก…”

“ผมไม่ได้เป็นฮีโร่ ผมแค่อยากสร้างมาตรฐานว่าคนธรรมดาอย่างผมก็ทำได้

“การฝืนตื่นประท้วงสำหรับเก็ทบอกว่า คำนี้เมื่อฟังมันทำให้ระลึกว่า ‘ทุกนาทีคือการต่อสู้’ แม้การต่อสู้นั้นจะต้องฝืนตัวเองและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เราต้องฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาที่จะยืนหยัดตามข้อเรียกร้องของเรา ฝืนที่จะไม่พักผ่อน ทั้งที่ร่างกายของเราก็แย่ลงทุกวัน ‘ทุกนาทีมันคือการสู้กับความเจ็บปวด’

“ฝากบอกคนข้างนอกด้วยว่า ถ้าผมวูบหมดสติไป ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ”

เก็ทฝากถึงพ่อกับแม่ว่า อยากให้รักษาสุขภาพ ไม่ต้องอดนอนตามเก็ท เวลาเก็ทได้ประกันตัวออกไป หรือไม่สบายจนต้องไปถูกหามส่งโรงพยาบาล เก็ทยังอยากเห็นพ่อแม่มาเยี่ยมและให้กำลังใจถึงข้างเตียง แต่ถ้าพ่อกับแม่ไม่นอนตามเก็ท แล้วเป็นอะไรกันไปทั้งบ้าน แล้วใครจะมารอรับเก็ทตอนได้ประกันตัว

คุยกับแม่เก็ท: เผยพ่ออดนอนตามเก็ทเบลอจนเกือบถูกรถชน ทั้งพ่อแม่ขับรถนั่งเฝ้าลูกหน้าเรือนจำทุกคืน

แม่เก็ทเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ลูกเริ่มอดนอนประท้วง พ่อของเก็ทก็เป็นห่วงมากจนนอนไม่หลับตามและตั้งใจอดนอนประท้วงเป็นเพื่อนลูก หลายวันมานี้พ่อไม่ได้นอนเลย ทำให้รู้สึกเบลอมาก จนเกือบถูกรถชนตอนข้ามถนนหน้าบ้าน ทุกวันนี้พอพ่อของเก็ททำงานเสร็จประมาณ 5 โมงเย็น ทั้งคู่ก็จะเดินทางไปที่เรือนจำ และจะไปนั่งรออยู่แถวเก้าอี้สำหรับให้ญาตินั่งรอเข้าเยี่ยม 

ทั้งสองคนจะไปนั่งและนอนเฝ้าเก็ทอย่างห่างๆ หน้าเรือนจำแบบนี้เกือบทุกคืน แม่บอกว่า ถึงยังไงกลับบ้านไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี เพราะเป็นห่วงลูกมาก เลยพากันมานอนกับลูกที่เรือนจำดีกว่า แค่ให้อยู่ใกล้ลูกมากที่สุดก็เพียงพอแล้ว 

กระทั่งช่วงตี 2 ตี 3 ทั้งสองคนจึงจะยอมกลับบ้าน แม่บอกว่า ครั้งก่อนที่เก็ทถูกขังแม่กับพ่อก็ทำแบบนี้มาตลอด “พ่อรักเก็ทมาก แม่ก็รักเก็ทมาก”

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

การตัดสินใจก่อนประท้วง: “เก็ท” ประกาศ “อดนอน” จนกว่าศาลจะให้ประกันเพื่อนทุกคน พร้อมเรียกร้องหลักประกันเพื่อนต้องไม่กลับเข้าคุกอีก 

ประท้วงวันที่ 1: “อดอาหาร-อดนอน-อารยะขัดขืน” การประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมลุกลามในเรือนจำชาย

X