พิพากษาคดี #ม็อบ17ธันวา63 ให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดี 112 ชี้ “โตโต้” ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เหตุไม่แจ้งการชุมนุม ปรับ 2,000 บาท

วันที่ 12 ม.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลแขวงพระนครใต้นัดฟังคำพิพากษา คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการชุมนุมแต่งชุดไทยให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดี “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2563 บริเวณหน้าสถานีตำรวจนครบาลยานนาวา โดยจำเลยในคดีนี้คือ ปิยรัฐ จงเทพ หรือ “โตโต้” นักกิจกรรมทางการเมืองจากกลุ่ม We Volunteer ปัจจุบันเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางนา-พระโขนง จากพรรคก้าวไกล

สำหรับเหตุในคดีนี้ มาจากเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2563 จตุพร แซ่อึง สมาชิกกลุ่มบุรีรัมย์ปลดแอก และ สายน้ำ (นามสมมติ) เยาวชนอายุ 16 ปี ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหามาตรา 112 ตามหมายเรียก จากกรณีแฟชั่นโชว์ในกิจกรรม #ม็อบ29ตุลา รันเวย์ของประชาชน บริเวณถนนสีลม กลุ่ม We Volunteer จึงได้จัดกิจกรรมให้กำลังใจผู้ถูกดำเนินคดีทั้งสองคน บริเวณหน้า สน.ยานนาวา 

คดีนี้ปิยรัฐถูกกล่าวหาทั้งหมด 4 ข้อหา ดังนี้

  1. ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง (พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10)
  2. ร่วมกันจัดกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมประชุมกัน หรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่าย (ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ)
  3. วาง ตั้ง ยื่นหรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือกระทำด้วยประการใดๆ ในลักษณะเป็นการกีดขวางการจราจร โดยไม่ได้รับอนุญาต (พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 114)
  4. ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต (พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4)

.

ย้อนอ่านข่าวแจ้งข้อกล่าวหา >>> “โตโต้” ถูกแจ้งข้อหาพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เหตุชุมนุมชุดไทยให้กำลังใจผู้ถูกคดี ม.112 หน้าสน.ยานนาวา

.

ศาลพิพากษายกฟ้องฐานกีดขวางจราจร และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้อหาหลักตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ให้ลงโทษปรับ 2,000 บาท

วันนี้ (12 ม.ค. 2566) เวลา 10.05 น. ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 4 ศาลออกนั่งอ่านคำพิพากษา มีเนื้อหาสรุปโดยย่อได้ว่า ศาลยกฟ้อง พ.ร.บ.จราจรฯ และพ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ แต่พิพากษาว่า ปิยรัฐมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ให้ลงโทษปรับ 2,000 บาท เนื่องจากจำเลยโพสต์เชิญชวนจึงเป็นผู้จัดการชุมนุม มีหน้าที่แจ้งการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มาตรา 10 เมื่อจำเลยไม่แจ้ง จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 

เมื่อพิจารณาคำพิพากษา พบว่าศาลวินิจฉัยใน 4 ประเด็น ดังนี้

1.ข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในประเด็นร่วมกันชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัด หรือกระทำการอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย 

ศาลชี้ว่า แม้มีข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 ฉบับที่ 1 ข้อ 5 จะห้ามไม่ให้มีการชุมนุม การทำกิจกรรม หรือการมั่วสุมในที่แออัดหรือกระทำการอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ แต่ต่อมานายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ฉบับที่ 5 ข้อ 2(2) และฉบับที่ 13 ข้อ 1 ผ่อนคลายมาตรการ เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อกำหนดดังกล่าวจึงไม่ได้ห้ามไม่ให้ชุมนุม แต่กำหนดให้สามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขตรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ

พยานโจทก์ฟังได้เพียงว่าจำเลยเข้าร่วมกิจกรรม และกล่าวปราศรัยให้กำลังใจผู้ถูกกล่าวหาในคดีมาตรา 112 บริเวณหน้า สน.ยานนาวา บริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ผู้ชุมนุมส่วนมากสวมหน้ากากอนามัย ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ใช้เวลาชุมนุมไม่นาน การกระทำของจำเลยจึงไม่ฝ่าฝืนข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

.

2.ข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ในประเด็นเป็นผู้จัดการชุมนุม 

ศาลฟังได้ว่า ในวันที่ 15 ธ.ค. 2563 จำเลยโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว รวมทั้งมีเฟซบุ๊กชื่อ “We Volunteer” เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมรวมกลุ่ม แม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ดูแลเฟซบุ๊กชื่อ “We Volunteer” แต่จำเลยได้แชร์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวและลงข้อความ ซึ่งผู้เห็นภาพและข้อความเข้าใจได้ว่าเป็นการเชิญชวน เป็นการกระทำด้วยวิธีใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม ดังนั้นจำเลยจึงถือเป็นผู้จัดการชุมนุม มีหน้าที่แจ้งการชุมนุมตามมาตรา 10 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ เมื่อจำเลยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้ง จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 เรื่องการจัดกิจกรรม

.

3.ข้อหาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยการใช้เครื่องขยายเสียงฯ ในประเด็นใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้อนุญาต 

ศาลชี้ว่า โจทก์ไม่ได้นำเจ้าพนักงานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มานำสืบว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องขยายเสียง พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่เพียงพอที่จะรับฟังและลงโทษจำเลยในฐานความผิดนี้

.

4.ข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรฯ ในประเด็นวาง ตั้ง ยื่นหรือแขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในลักษณะเป็นการกีดขวางการจราจร

ศาลชี้ว่า พยานโจทก์ที่มีหน้าที่กวดขันดูแลการจราจร และได้รับคำสั่งให้ไปสังเกตการณ์ เบิกความว่า กลุ่มผู้ชุมนุมเอาแผงเหล็กไปกั้นช่องทางจราจร 2 ช่องทาง พยานโจทก์เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมแต่ไม่เห็นจำเลย ส่วนเวทีปราศรัยตั้งอยู่บนถนนส่วนที่เว้าเข้ามาในพื้นที่ สน.ยานนาวา และมีพยานเบิกความว่า กลุ่มผู้ชุมนุมล้ำลงไปบนพื้นที่การจราจรบนถนน ตำรวจจึงนำแผงเหล็กไปกั้นพื้นที่จราจร 2 ช่องทางเดินรถเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุม 

เมื่อพยานโจทก์เบิกความขัดแย้งกัน ศาลจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกนำแผงเหล็กไปกั้นการจราจร 2 ช่องทางเดินรถ

.

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 และมาตรา 18, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10 และมาตรา 28 ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง เนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษบทหนักสุด คือ ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับ 3,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษลง 1 ใน 3 คงปรับ 2,000 บาท

.

ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 3 (6) กำหนดให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สามารถใช้บังคับกับการชุมนุมสาธารณะในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ แต่ในข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ฉบับที่ 13 ข้อ 1 เรื่องการจัดกิจกรรมรวมกลุ่ม กลับกำหนดให้การชุมนุมภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสามารถกระทำได้ภายใต้ขอบเขตรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ดังนั้นข้อกำหนดดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับศักดิ์สูงกว่า แต่ในทางข้อเท็จจริงก็มีการนำ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มาใช้ดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมควบคู่ไปกับการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดังเช่นในคดีนี้

X