ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกาศหรือคำสั่ง คสช.
ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ยึดอำนาจการปกครอง และได้ออกประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนำความสงบสุขกลับคือนสู่ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายโดยเร็ว โดยให้มีผลนับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป (ประกาศ 2/57)
กฎอัยการศึกมี 17 มาตรา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- เมื่อประกาศใช้กฎอัยการศึก ให้เจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจเหนือพลเรือนในเรื่องการยุทธ การระงับปราบปรามหรือการรักษาความสงบเรียบร้อย (ม.6)
- ศาลพลเรือนมีอำนาจพิจารณาคดีตามปกติ และฝ่ายทหารมีอำนาจประกาศให้คดีอาญาใดที่เกิดขึ้นในเขตที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกมีเหตุเกี่ยวกับความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย จะสั่งให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในศาลทหารก็ได้ (ม.7)
- ทหารมีอำนาจที่จะตรวจค้น เกณฑ์ ห้าม ยึด เข้าอาศัย ทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ ขับไล่ (ม.8)
- มีอำนาจตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะ เคหะสถาน สิ่งปลูกสร้าง หรือที่ใดๆ และไม่ว่าเวลาใดๆ ก็ได้ นอกจากนี้ยังอาจตรวจข่าวสาร จดหมาย สิ่งของ หนังสือ สิ่งพิมพ์ ภาพโฆษณา บทหรือคำประพันธ์ (ม.9)
- การห้าม มีอำนาจจะห้ามได้ (1) ห้ามมั่วสุมประชุมกัน (2) ห้ามออก จำหน่าย จ่ายแจกหนังสือ สิ่งพิมพ์ (3) ห้ามโฆษณา แสดงมหรสพ รับหรือส่งวิทยุ วิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ (4) ห้ามใช้ทางสาธารณะเพื่อการจราจร (5) ห้ามใช้เครื่องมือสื่อสาร อาวุธ เคมีภัณฑ์ (6) ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน (7) ห้ามเข้าไปอาศัย (8) อื่นๆ ตามที่รมต.กลาโหมกำหนด (ม.11)
- การยึด มีอำนาจยึดส่งของที่เห็นว่าจำเป็น ไว้ชั่วคราวได้ เพื่อไม่ให้เป็นประโยชน์แก่ราชศัตรูหรือเพื่อประโยชน์แก่ราชการทหาร (ม.12)
- มีอำนาจกักตัวบุคคลที่สงสัยว่า ) เป็นราชศัตรู หรือ 2.) ฝ่าฝืนกฎอัยการศึก หรือ 3.)ฝ่าฝืนคำสั่งของทหาร ได้ไม่เกิน 7 วัน โดยไม่ต้องมีหมายจับและหมายขังจากศาล และอาจควบคุมตัวไว้ที่ใดก็ได้ (ม.15 ทวิ)
- ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายในระหว่างที่ทหารใช้อำนาจตามกอัยการศึก บุคคลจะเรียกร้องค่าเสียหายจากทหารไม่ได้ (ม.16)
ในการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกดังกล่าว อาจไม่มีการประกาศกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้อำนาจก็ได้ เช่น แม้ไม่มีประกาศเรื่องการค้น หรือการจับและกักตัว 7 วัน เจ้าหน้าที่ทหารก็มีอำนาจค้นหรือกักตัวบุคคลได้ไม่เกิน 7 วัน ตามกฎอัยการศึกหรืออาจมีการประกาศกำหนดข้อห้ามหรือคำสั่ง เพื่อให้มีความชัดเจนก็ได้ แต่หากเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นเสียหาย หรือเป็นการกระทำที่นอกเหนือจากการใช้อำนาจหรือเกินขอบเขตของอำนาจตามกฎหมายแล้ว ผู้เสียหายก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากฝ่ายทหารได้
ทหารจะใช้อำนาจกักบุคคลเพื่อซักถามหรือเมื่อมีความจำเป็นได้ไม่เกิน 7 วัน หากเมื่อหมดความจำเป็นแล้วก็จะปล่อยตัวไป หากพบว่าผู้ถูกกักนั้นเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายก็จะส่งตัวให้กับเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป กรณีการดำเนินการต่อประชาชนที่ไม่ปฏิบัติตามประกาศ หรือขัดต่อคำสั่งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร เจ้าหน้าที่สามารถกระทำได้เพียงกักตัวไว้เพื่อไม่เกิน 7 วันเท่านั้น จึงต้องพิจารณาว่าจะเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายอื่นใดหรือไม่ ซึ่งหากกระทำผิดอาจถูกดำเนินคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาก็ได้[1]
แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกักตัวซึ่งรวบรวมโดย กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังได้กำหนดหลักการเกี่ยวกับการกักตัวว่า เมื่อมีการตรวจค้นหรือเชิญตัวบุคคลไปซักถามข่าวสาร “ให้เจ้าหน้าที่จัดทำบันทึกเชิญตัวเพื่อซักถามข่าวสาร” โดยบันทึกดังกล่าวให้ทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร และตัวแทนของผู้ถูกเชิญตัว แต่การตรวจค้นที่เป็นส่วนรวม (ปิดล้อมตรวจค้น) ไม่ต้องจัดทำบันทึกนี้ ยกเว้นการตรวจค้นเพื่อนำตัวบุคคลใดไปสอบถามงานการข่าวในสถานที่ที่ทางราชการฝ่ายทหารกำหนด การเชิญตัวหรือกักตัวบุคคลดังกล่าวนี้ มิใช่การควบคุมตัวหรือการขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้นจึงไม่ต้องขอหมายศาล ทั้งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดี และกักตัวได้ไม่เกิน 7 วัน โดยนับตั้งแต่นำตัวมากักไว้ที่หน่วย (ของฝ่ายทหาร) ส่วนระยะเวลาการเดินทางมาที่หน่วยไม่นับรวมไว้ด้วย[2]
ปัจจุบัน คสช. ได้ออกประกาศกว่า 50 ฉบับ และออกคำสั่งอีกกว่า 40 ฉบับ ในการออกประกาศและคำสั่งของคสช.ดังกล่าว บางประกาศเป็นการประกาศห้ามหรือขอความร่วมมือ โดยไม่ได้กำหนดโทษไว้ เช่น ประกาศห้ามออกนอกเคหะสถาน แต่บางประกาศจะมีการกำหนดโทษไว้ด้วย ซึ่งหากมีการฝ่าฝืน ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เช่น ประกาศฉบับที่ เรื่องการห้ามชุมนุมหรือมั่วสุมเกินกว่า 5 คน หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ หรือหากฝ่าฝืนคำสั่งให้ไปรายงานตัว หรือฝ่าฝืนเงื่อนไขเมื่อได้รับการปล่อยตัว มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ทั้งนี้ ซึ่งหากฝ่าฝืนประกาศแบบไม่มีการกำหนดโทษนั้น แม้บุคคลจะไม่ถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนประกาศ แต่ก็อาจถูกจับกุมและกักตัวได้ตามความจำเป็นไม่เกิน 7 วัน ตามกฎอัยการศึกม. 15 ทวิ
บุคคลอาจถูกจับและกักตัว ได้หลายกรณี ดังนี้
- กรณีถูกเรียกให้ไปรายงานตัว
- ไปรายงานตัวตามคำสั่ง เมื่อบุคคลใดมีรายชื่อตามคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัวของคสช. และไปรายงานตัวตามวันและเวลาที่กำหนดในคำสั่ง บุคคลนั้นอาจได้รับการปล่อยตัวในวันเดียวกันนั้น หรืออาจถูกกักตัวไว้ที่ค่ายทหารที่ใดที่หนึ่ง แต่ถูกกักตัวได้ตามความจำเป็นไม่เกิน 7 วัน แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้ว ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศคสช. 39/57 อย่างเคร่งครัด คือ ห้ามออกนอกราชอาณาจักร และละเว้นการเคลื่อนไหวและการประชุมทางการเมือง หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง เมื่อบุคคลใดมีรายชื่อตามคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัวของคสช. แล้วไม่ไปรายงานตัวตามวันและเวลาที่กำหนดในคำสั่ง บุคคลนั้นอาจถูกจับและกักตัวไว้ที่ค่ายทหารที่ใดที่หนึ่งได้ตามความจำเป็นไม่เกิน 7 วัน (อาจถูกกักครบ 7 วัน หรือไม่ถึง 7 วันก็ได้) และจะถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งให้มารายงานตัว มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- กรณีกระทำการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งคสช.
- ประกาศที่ไม่กำหนดโทษเช่นหากบุคคลฝ่าฝืนประกาศห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน บุคคลนั้นอาจถูกจับและได้รับการปล่อยตัวในวันเดียวกันนั้น หรืออาจถูกกักตัวไว้ที่ค่ายทหารที่ใดที่หนึ่ง แต่ถูกกักได้ตามความจำเป็นไม่เกิน 7 วัน แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศคสช. 40/57 อย่างเคร่งครัด คือ ห้ามออกนอกราชอาณาจักร และละเว้นการเคลื่อนไหวและการประชุมทางการเมือง หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ประกาศหรือคำสั่งที่กำหนดโทษ เช่น ประกาศห้ามชุมนุมทางการเมือง หากบุคคลใดฝ่าฝืน บุคคลนั้นอาจถูกจับ หรืออาจถูกกักตัวไว้ที่ใดที่หนึ่ง ได้ตามความจำเป็นไม่เกิน 7 วัน และอาจถูกดำเนินคดีตามประกาศฉบับที่ 7 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในทางปฏิบัติอาจมีกรณีเจ้าหน้าที่พิจารณาปล่อยตัวก่อนครบกำหนด 7 วันโดยมิได้ดำเนินคดี ก็ได้ แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศคสช. 40/57 อย่างเคร่งครัด คือ ห้ามออกนอกราชอาณาจักร และละเว้นการเคลื่อนไหวและการประชุมทางการเมือง หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- กรณีถูกจับเนื่องจากเหตุอื่นๆ
แม้ไม่ได้มีคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัวหรือไม่ได้กระทำการฝ่าฝืนประกาศคสช. บุคคลก็อาจถูกจับและกักตัวตามกฎอัยการศึกได้ เช่น การเชิญตัวบุคคลโดยไม่มีคำสั่งหรือประกาศเรียกอย่างเป็นทางการ กรณีเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นบ้าน ทั้งสองกรณีอาจมีการจับตัวและนำมากักตัวไว้ที่ค่ายทหาร ซึ่งบุคคลดังกล่าวอาจได้รับการปล่อยตัวภายใน 7 วัน แต่เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศคสช. 40/57 อย่างเคร่งครัด คือ ห้ามออกนอกราชอาณาจักร และละเว้นการเคลื่อนไหวและการประชุมทางการเมือง หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ในระหว่างการควบคุมตัวอาจมีการสอบประวัติเพื่อดูพฤติการณ์ที่ผ่านมาและออกมาตรการในการดำเนินการต่อไปก็ได้
ข้อสังเกต
- พ.ร.บ. กฎอัยการศึก มาตรา ๑๕ ทวิ เมื่อเทียบกับ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๑๑ (๑) และมาตรา ๑๒ จะเห็นว่าไม่มีหลักเกณฑ์เป็นกรอบในการใช้อำนาจที่ชัดเจน นักกฎหมายจึงควรพยามตีความการใช้อำนาจตามมาตร ๑๕ ทวิ ให้มีหลักเกณฑ์การใช้อำนาจโดยเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่อ้างถึงและให้เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน
[1]การใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แผนกบังคับใช้กฎหมาย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ส่วนหน้า
[2]แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการกักตัว แผนกบังคับใช้กฎหมาย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ส่วนหน้า