วานนี้ (9 มิ.ย. 64) เวลา 10.30 น. ที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ นักกิจกรรม 6 ราย ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน หลังได้รับหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ในความผิดฐานมาตรา 140 “ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย โดยมีผู้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป” เหตุจากการชุมนุม #ม็อบ13ตุลา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
นักกิจกรรมที่เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมครั้งนี้ ได้แก่ วชิรวิชญ์ ลิมป์ธนวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 2, ปวริศ แย้มยิ่ง ผู้ต้องหาที่ 4, ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ ผู้ต้องหาที่ 6, เมยาวัฒน์ บึงมุม ผู้ต้องหาที่ 11, นวพล ต้นงาม ผู้ต้องหาที่ 17 และ ทรงพล สนธิรักษ์ ผู้ต้องหาที่ 19
ในเหตุการณ์นี้ มีผู้ถูกจับกุมทั้งหมด 21 ราย ในช่วงเย็น ระหว่างที่ #คณะราษฎรอีสาน จัดการชุมนุม ‘นอนรอม็อบ’ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 63 ทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด. ภาค 1) โดยมีสองราย ได้แก่ “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ถูกดำเนินคดีแยกไปในฐานะแกนนำ และมี “ภูมิ” ถูกดำเนินคดีในฐานะเยาวชน ทำให้รวมมีอีก 19 ราย ที่เป็นผู้ชุมนุมที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ โดยที่ต่อมา “หัวหน้าเบน” ฐิติสรรค์ ญาณวิกร คนไร้บ้าน ได้เสียชีวิตลง ทำให้เหลือผู้ต้องหา 18 ราย
>> คุมตัว #คณะราษฎรภาคอีสาน 21 ราย พาตัวไป ตชด.ภาค 1 ก่อนส่งศาลฝากขัง ไม่ให้ประกัน
ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหา 11 ข้อหาด้วยกัน มีข้อกล่าวหาหลัก ได้แก่ ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215, ร่วมกันทําให้เสียทรัพย์ และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และต่อมา พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้ทั้ง 18 คน มารับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 เพิ่มเติม โดยผู้ต้องหา 12 ราย ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้วเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 64 และอีก 6 ราย ได้เข้ารับทราบข้อหาในวานนี้
แจ้ง ม.140 เพิ่ม อัยการชี้ ผู้ต้องหา “ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยมีผู้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป”
เวลา 10.30 น. ผู้ต้องหา 6 ราย พร้อมทนายความ ได้เดินทางรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม โดย ร.ต.อ.เลิศชาย ผือลองชัย รองสารวัตร (สอบสวน) สน.สำราญราษฎร์ ได้เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาดังต่อไปนี้
เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 63 เวลาประมาณ 08.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้มารวมตัวกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เป็นหัวหน้าและเป็นผู้จัด ให้มีการชุมนุม
ต่อมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมปฏิบัติหน้าที่อํานวยความสะดวกด้านการจราจรและรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ถูกจับกุมได้มาจัดการชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการตั้งเต็นท์การชุมนุมในที่สาธารณะ จอดรถบริเวณที่เกิดเหตุ และมีการปิดเส้นทางการจราจรโดยไม่ได้รับอนุญาต
อีกทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ถูกจับกุมได้มีการมั่วสุมกัน มีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้ทําการก่อความวุ่นวายต่างๆ โดยสาดสีน้ำอะครีลิค และขว้างปาสิ่งของเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตํารวจที่ปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงพื้นถนนทําให้เกิดสิ่งปฏิกูลบนพื้นถนน เป็นการทําให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง รวมถึงมีการตั้งสิ่งของต่างๆ และจอดรถยนต์บรรทุกเครื่องเสียง ลักษณะเป็นการกีดขวางการจราจร
เจ้าหน้าที่ตํารวจได้พยายามแจ้งและประกาศเตือนให้เลิกกระทํา แต่กลุ่มผู้ถูกจับกุมไม่ยอม เลิกกระทําการดังกล่าวและยังสาดสี ขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทําให้ได้รับความเสียหาย
อีกทั้งในการชุมนุมดังกล่าวมีประชาชนจํานวนมากที่มาร่วมชุมนุมจะยืนอยู่บริเวณใกล้กับจุดปราศรัย ซึ่งเป็นการแออัด ก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคแพร่ระบาด โดยมิได้แจ้งหรือขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันโรคติดต่อ การชุมนุมดังกล่าวก่อให้เกิดความวุ่นวายเป็นเหตุ ให้ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเดินทางสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก และเมื่อเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะประกาศให้เลิกการชุมนุม ผู้ต้องหากับพวกไม่ยอมปฏิบัติตามคําสั่งของเจ้าพนักงาน
ระหว่างการเข้าจับกุมผู้ต้องหานั้น ผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางและใช้กําลังทําร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตํารวจ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตํารวจได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทําผิดกฎหมาย และเป็นความผิดซึ่งหน้า เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงเข้าทําการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 21 คน นําตัวส่งพนักงานสอบสวน ดําเนินคดีตามกฎหมาย
ต่อมา พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 3 ได้พิจารณาสํานวนดังกล่าวแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ร่วมกันกระทําความผิด จึงให้พนักงานสอบสวนทําการสอบสวนในความผิดดังกล่าว แล้วส่งสํานวนการสอบสวนไปยังสํานักงานอัยการประจําศาลที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป
ดังนั้นพนักงานสอบสวน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย โดยมีผู้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก เพิ่มแก่ผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย
หลังรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ทั้ง 6 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายในวันที่ 22 มิ.ย. 64 ทั้งนี้ทั้งหมดไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ข้อกล่าวหาที่พนักงานสอบสวนแจ้งเพิ่มเติมดังกล่าว มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับการชุมนุม #คณะราษฎรอีสาน เป็นการชุมนุม ‘นอนรอม็อบ’ ของกลุ่ม “ราษฎร” ซึ่งนัดหมายชุมนุมใหญ่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันที่ 14 ต.ค. 63 แต่ถูกเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม และจับกุมผู้ร่วมชุมนุมรวม 21 คน ไปที่ บก.ตชด. ภาค 1 หลังจากนั้นยังมีการออกหมายเรียกนักกิจกรรมที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวเข้ารับทราบข้อหาอีกจำนวน 6 รายด้วย
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค 63 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีผู้ถูกจับกุมอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ถูกนำตัวไปควบคุมและสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด. ภาค 1) และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัวที่มิชอบด้วยกฏหมาย แล้วทั้งสิ้นอย่างน้อย 278 ราย
>>>เปิดสถิติผู้ถูกควบคุมตัวไป บก.ตชด. ภาค 1 – บช.ปส. จากการชุมนุมทางการเมือง