วันนี้ (5 ก.ย. 2565) เราเยี่ยม “ป่าน-คิม ทะลุฟ้า” ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และได้พูดคุยกันถึงการไต่สวนการประกันตัวในวันพรุ่งนี้ เราประเมินว่าทั้งคู่มีโอกาสได้รับการประกันตัว หากพิจารณาจากคำสั่งศาลที่เรียกไต่สวน และให้เตรียมผู้กำกับดูแลมา รวมถึงนั่งนับกันว่าวันพรุ่งนี้ (6 ก.ย. 2565) จะเป็นวันที่ 50 ของการคุมขัง
.
ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ ถ้าได้ออกก็ได้ออก อยู่ในนี้มันไม่มีอะไรดี
เราสังเกตว่าแม้ทั้งสองคนจะทราบข่าวการนัดไต่สวนของศาลตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว แต่ทั้งสองคนยังไม่สดใส
“อึดอัด เพราะไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ ถ้าได้ออกก็ได้ออก ถ้าไม่ได้ออกก็ไม่รู้ว่าจะยังไง อยู่ในนี้มันไม่รู้อะไร หวังว่าจะได้ออกแต่ก็เผื่อใจ” ป่านบอกเมื่อเราถามถึงความรู้สึกขณะนี้ เราเลยแจ้งว่าหากพรุ่งนี้ศาลไม่ให้ประกัน คงต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่ง
ส่วนคิมบอกว่า “ตอนนี้รู้สึกโล่ง ไม่ได้โล่งแบบสบายใจ แต่คิดอะไรไม่ออก 2-3 วันมานี้นอนไม่ค่อยหลับ ฝนตกที่นี่ หลับไม่เต็มอิ่ม ไม่สบายตัว รู้สึกเวลาผ่านไปช้า เหมือนรอ ลุ้นกับวันพรุ่งนี้”
.
อยู่ในนี้หาข้อดียาก กลัวว่าจะเกิด “คุกในใจ”
เราถามถึงเรื่องดีหรือเรื่องแย่ที่สุดกับการถูกขัง คิมบอกว่า “สำหรับหนูมันไม่ได้ดี ติดคุกหาข้อดียาก แต่ว่าทำให้มีเวลา มีเวลาเหลือเฟือเลย ถ้าจะหาเป็นข้อดีได้ ก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ หนูต้องเรียน สัมภาระหนูครบทุกใบเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก และเรื่องทำงานตรงนี้”
“ส่วนที่แย่มีหลายอย่าง กำลังหาว่าอะไรแย่ที่สุด การอยู่ในนี้มันทำให้หนูเกิดความรู้สึกแย่ๆ เยอะ ที่ต้องเสียความรู้สึกไป กลัวว่าถ้าอยู่ข้างนอกจะเกิด ‘คุกในใจ’ ขึ้น หนูค่อนข้างรักตัวเอง พยายามประคบประหงมความรู้สึกตัวเอง แต่ไม่สามารถดูแลความรู้สึกตัวเองได้”
เราถามถึงความหมาย “คุกในใจ” ของคิม “ถ้าเห็นของบางอย่างที่ใช้ประจำ บางทีการเห็นเค้กบลูเบอรี่ ก็อาจจะทำให้นึกถึงเรือนจำได้ แต่คงไม่ หนูชอบบลูเบอรี่มาก แต่คงห่างไปสักพักหนึ่งก่อน เป็นบางอย่างที่ทำให้นึกถึงเรือนจำ”
.
ถ้าเทียบปลายปีที่แล้ว เรากลับไปอยู่จุดเดิม จุดที่เจ็บมากๆ ช้ำที่สุดแล้ว
ด้านป่านบอกว่า “รู้สึกแย่ทุกอย่างที่ทำให้มาอยู่ในนี้ รู้สึกความใจกว้างของป่านมันหายไป พอเข้ามาในนี้แล้วทบทวนหลายอย่าง ความใจกว้างที่มีมันหายไป ไม่ได้ยอมรับอะไรง่ายๆ ป่านเคยมองอะไรหลายๆ ด้าน พอเข้ามาอยู่ในนี้ก็รู้สึกว่าบางอย่างมองหลายด้านไม่ได้ ทุกวินาทีที่อยู่ในนี้มันแย่จนเรารู้สึกว่าไม่ใจกว้างกับทุกอย่างที่เข้ามาอีกแล้ว”
“ถ้าเกินกว่าจากอังคารนี้ไป ป่านคิดว่าไม่น่าไหว ความรู้สึกที่เข้ามาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ความรู้สึกลบมันเต็มแล้ว มันไปกดทับความรู้สึกบวกที่มีแล้ว ตอนนี้เลยไม่ได้ดีใจขนาดนั้น คิดว่าถ้าเกินกว่านี้จะไม่ไหว คงพยายามทำอะไรให้ตนเองไม่รู้สึกแบกรับ ไม่ไหวจริง”
“(ก่อนเข้าเรือนจำ) ป่านกำลังทรงตัวได้กับทุกเรื่อง กำลังบรรเทาความเจ็บปวดตัวเอง ไม่เจ็บปวดอีกแล้ว พอเข้ามาหลายๆ อย่างในนี้ทำให้ก่อนหน้าที่กำลังดี มันค่อยๆ พัง พังไปเรื่อยๆ ถ้ารอบนี้ไม่ได้ (ประกัน) ก็คงแย่ 49 วันที่ผ่านมา มันเต็มแล้วทุกเรื่อง”
“ถ้าเทียบปลายปีที่แล้ว เรากลับไปอยู่จุดเดิม จุดที่เจ็บมากๆ ช้ำที่สุดแล้ว เหมือนเราปิดแผลตอนปลายปีที่แล้วได้แล้ว แล้วมันกรีดขึ้นมาใหม่ แล้วมันลึกกว่าเดิม ปีที่แล้วมันแย่มากแล้วค่อยๆ ดีขึ้น จนกลางปีนี้เรานิ่ง ทรงตัวเองได้ ฮีลตัวเองได้ แต่ตอนนี้กลับมาทุกอย่าง 49 วันมันเต็มหมดแล้ว อดทนมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ในนี้ไม่มีพื้นที่ให้ป่านได้พูด ครั้งเดียวที่ป่านได้พูดคือจดหมายที่เขียนถึงเพื่อน”
.
49 วันในเรือนจำของพวกเธอมันไม่ง่ายและสูญเสียหลายอย่างจริงๆ ต่อให้พรุ่งนี้ทั้งสอง หรือทั้งเจ็ดคนรวมทะลุฟ้าฝั่งชายในคดีสาดสีพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกันตัว แต่สุดท้ายหากศาลตัดสินยกฟ้องพวกเขาทั้งหมดหรือบางคน ถามว่าเวลา 49 วัน และตัวตนที่หายไประหว่างนั้น กระบวนการยุติธรรมจะรับผิดชอบต่อประชาชนที่ออกมาทวงถามจากพรรคการเมืองได้หรือ?
.