บันทึกเยี่ยมมานี-จินนี่: “เรามาร่วมกิจกรรมเพราะไม่สามารถนิ่งดูดาย เพื่อลูกหลาน อุดมการณ์ของเราไม่เปลี่ยนแปลง”

29 ส.ค. 2565 ทั้งสองคนยกมือไหว้เราดีใจที่ได้พบทนาย เรายกมือไหว้กลับแทบไม่ทัน พี่มานีบอกว่าดีใจที่ได้พบ ความจริงเราไม่เคยพบพี่มานีมาก่อน แต่เคยเห็นหน้าตากันอยู่บ้างผ่านโซเชียลมีเดีย จะว่าไปเราจำรองเท้าพี่มานีก่อนจำหน้าพี่มานีได้ด้วยซ้ำ รองเท้าสีชมพูที่ลอยกลางอากาศตามหลัง “เค ร้อยล้าน” ในภาพถ่ายวันที่ทานตะวันได้รับการปล่อยตัวที่หน้าทัณฑสถานหญิงกลาง

ทั้งพี่มานีและพี่จินนี่ต่างอยู่ในภาวะเครียด นอนไม่หลับ หลังจากต้องเข้าเรือนจำ โดยเฉพาะต้องนอนในห้องที่มีไฟเปิดสว่างตลอดเวลา พี่จินนี่เล่าว่าเมื่อคืนวันอาทิตย์เธออ้วกไปสี่รอบเพราะเป็นกรดไหลย้อน ต้องเรียกเจ้าหน้าที่เพื่อขอยามากิน ทานอาหารไม่ค่อยได้และแทบไม่ขับถ่าย หลังจากนั้นเราได้อ่านจดหมายฝากกำลังใจ และพูดคุยถึงขั้นตอนในคดีว่าจะประกันตัวต่อไป

มานี: มวลชนคนเสื้อแดงสู่มวลชนอิสระในปี 2563

มานี เป็นสาวยโสธรวัย 43 ปี เล่าว่า เธอย้ายมาอยู่กรุงเทพได้ราวๆ 20 ปีแล้ว เธอเป็นคนเสื้อแดงตั้งแต่ปี 2553 แต่หลังจากปี 2553 ก็ได้หยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองไป เธอค้าขายอยู่แถวแฟลตคลองจั่น โดยทำอาชีพค้าขายมาตลอด แต่เธอบอกว่า “ค้าขายยุคประยุทธ์ลำบากสุด ใช้ได้แป๊บเดียว ชักหน้าไม่ถึงหลัง” แต่เธอก็หยุดขายของไปได้ราวสองปีแล้ว เพราะต้องช่วยเลี้ยงหลานสองคน หลานคนแรกคลอดก่อนกำหนด เดินเองไม่ได้ นอกจากพี่มานีจะช่วยเลี้ยงแล้วยังต้องช่วยพาหลานไปทำกายภาพบำบัดด้วย ตัวพี่มานีเองยังเป็นโรคซึมเศร้าที่ต้องรักษาตัวมาได้ปีกว่าแล้ว และยังต้องทานยาอยู่

จนมาปี 2563 มานีเห็นการเคลื่อนไหวของราษฎร จึงเข้าร่วมการเคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล ในฐานะเป็น “มวลชนอิสระ” เธอเข้าร่วมกับกิจกรรมกับทุกกลุ่มที่เรียกร้องเรื่องความเป็นอยู่ เรื่องความเท่าเทียม เรื่องสาธารณสุข ตลอดสองปีที่ผ่านมา 

เมื่อมีคนถูกจับ มานีเป็นคนหนึ่งที่คอยเฝ้าให้กำลังใจนักกิจกรรมที่ถูกจับอยู่เสมอ รวมถึงร่วมกิจกรรมเรียกร้องสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว มานีเป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวทานตะวัน ตัวตุลานนท์  และไปรับตัวตะวันออกจากเรือนจำ จนเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายหน้าเรือนจำเนื่องจาก “เค ร้อยล้าน” ไปที่หน้าเรือนจำในวันนั้นด้วย 

“โมโห น้องกำลังจะออกมา แล้วเขาถือรูปมาต้องการมาป่วน กลัวเขามาตบใครแบบตบป้าเป้า” เป็นคำอธิบายส่วนหนึ่งของความวุ่นวายในวันนั้น รวมถึงคดีที่เธอถูกคุมขังขณะนี้ ก็เกิดจากการเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวให้บุ้ง และใบปอ ซึ่งขณะนั้นถูกคุมขังด้วยคดีมาตรา 112 จากกรณีทำโพลขบวนเสด็จ

.

จินนี่: ผู้ไม่ก้มหัวให้เผด็จการ 

ด้านจินนี่ เธอเล่าว่าตัวเองอาศัยอยู่เพียงลำพัง เลี้ยงชีพด้วยการเก็บค่าเช่าจากห้องพักราคาประหยัด ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงาน ด้วยวัย 54 ปี เธอมีโรคประจำตัวทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด ยิ่งหลังถูกจับกุมตอนนี้เธอจึงอยู่ในภาวะเครียด และคิดมาก เพราะไม่ทันตั้งตัว เป็นห่วงทุกอย่างทั้งห้องเช่า หมา แมว

จินนี่เล่าว่า เธอต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และเลือกข้างประชาธิปไตย เธอเข้าร่วมกับทุกกลุ่ม ทั้งชุมนุมของราษฎร ชุมนุมขับไล่ประยุทธ์ เธอไปหมด ไม่ว่าจะชุมนุมที่ราชประสงค์ หรือชุมนุมที่ดินแดง 

เธอเล่าว่าในวันที่ลูกนัทไปที่ดินแดงและถูกยิงด้วยกระสุนยางนั้น เธอเองเป็นคนหนึ่งที่ถูกยิงด้วยกระสุนยางบริเวณหน้าอกด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เวลาไปไหนเธอมักจะไลฟ์สดในช่องทางของเธอเอง คือช่องทาง “จินนี่ ผู้ไม่ก้มหัวให้เผด็จการ” เพราะเธอต้องการเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชน

.

ฝากขอบคุณกำลังใจจากภายนอก ฝากบอกคนข้างนอกอย่าลืมพวกเรา

31 ส.ค. 2565 เราเข้าเยี่ยมทั้งสองคนอีกครั้งและแจ้งว่าทีมทนายความจะยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่ให้ประกันทั้งสองคนต่อศาลอุทธรณ์ ทั้งสองคนยังมีภาวะเครียดเหมือนเดิม 

จินนี่เล่าว่า มานีเดินมาถามเธอทุกวันว่าจะได้ประกันตัวหรือเปล่า คิดถึงบ้าน คิดถึงหลาน คิดถึงครอบครัว และรอทนายความมาเยี่ยม แต่ทั้งสองคนเล่าว่า พวกเธอประทับใจผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ ที่ให้ความช่วยเหลือและดูแลพวกเธออย่างดี แต่ถึงกระนั้นพวกเธอก็อยากออกไปจากการคุมขัง 

แม้ทั้งสองคนจะถูกคุมขังจากการเรียกร้องสิทธิประกันตัวในคนอื่น แต่ทั้งสองคนยืนยันว่าเธอ “เต็มใจ แม้พวกหนูไม่ใช่ลูกหลานก็เต็มใจ” 

“เรามาร่วมกิจกรรมเพราะไม่สามารถนิ่งดูดาย การชุมนุมเป็นสิทธิตามประชาธิปไตย เรายังมีอีกหลายผลกระทบที่ได้รับจากศาล ทำไมคนที่ทำเลวกับประชาชนถึงยังอยู่  พวกเราแค่ทำกิจกรรม อาวุธของเราคือปาก ทำไมถึงไม่ให้ประกันตัวบุ้ง-ใบปอ ไม่ให้ประกันลูกหลานคนอื่น เราต้องมานั่งโดนแดด โดนฝน เพื่อลูกหลานเรา อุดมการณ์ของเราไม่เปลี่ยนแปลง”

ทั้งสองคนยังฝากขอบคุณกำลังใจจากหลายๆ คน มาหลายรอบที่พูดคุยกัน

“ขอบคุณที่มาให้กำลังใจ ที่กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ และที่เรือนจำ รู้สึกอบอุ่นที่ไม่ทิ้งกัน”

“ขอบคุณคนข้างนอก ขอบคุณน้องแก็ป 14 ขุนพล ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณเด็กๆ แม่สาคร น้องนัท ลุงดร พี่เบนนี่ พี่อ๊อด แม่จอย ขอบคุณมวลชน ขอบคุณบุ้ง ใบปอ ตะวัน ฝากบอกคนข้างนอกอย่าลืมพวกเรา”

.

X