หนึ่งเดือนการถูกคุมขังของป่านและคิม: ชีวิตขึ้นลงราวกับต้องผ่านด่านเกมส์ 

24 สิงหาคม 2565 เราได้เยี่ยม “ป่าน-คิม ทะลุฟ้า” ที่ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง หลังจากนัดตรวจพยานหลักฐานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทั้งสองคนต้องกลับไปกักตัวในแดนแรกรับอีกครั้ง หลังจากถูกนำตัวไปศาล และต้องใช้ชีวิตในแดนแรกรับ 5 วัน จากนั้นจึงจะย้ายไปแดนกันชน และลงแดนอีกครั้งหนึ่ง

ป่านเล่าว่าได้ฟังเพลง “เก็บรัก” ของแอมมี่ The bottom blues ในนี้ แต่ภาพมิวสิควีดีโอเป็นดอกไม้สีม่วง อารมณ์สวัสดีวันเสาร์ ป่านขำ แต่เธอบอกว่า “นานๆ ทีได้ฟังเพลงจากเสียงที่คุ้นเคย ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ไกลบ้านเท่าไหร่”

เราถามถึงพิ้งกี้ และเล่าให้ทั้งสองคนฟังว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงพิ้งกี้บ่อยๆ ทั้งสองคนไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไร แต่ฝากเรามาสื่อสารว่า “ฝากบอกอธิบดีว่า ทุกคนในเรือนจำควรได้รับการดูแลเหมือนพิ้งกี้”

.

เหมือนเล่นเกมที่ต้องผ่านไปให้ได้ในแต่ละด่าน

เราถามทั้งสองคนถึงบรรยากาศในการออกศาลหลังจากคดีที่ทั้งสองคนถูกคุมขังพร้อมเพื่อนในเรือนจำชายรวม 7 คน ทั้งสองคนบอกว่า “วุ่นวายมาก”

คิมเล่าว่า แม่และป้ามาพบเธอที่ศาลด้วย แต่ไม่ทันได้พบกันในห้องพิจารณาเลยต้องคุยผ่านโทรศัพท์ในห้องขังใต้ศาลอาญา 

คิมบอกว่าแม่เข้าใจถึงสถานการณ์ของเธอในระดับหนึ่ง แต่ค่อนข้างที่อธิบายกับคนรอบข้างได้ลำบาก เธอและแม่ต่างให้กำลังใจกันและกัน คิมร้องไห้นิดหน่อยตอนได้คุยกับป้าและฝากให้ดูแลแม่ของเธอ

หลังจากนั้น เราเลยขอให้ป่านและคิมรีวิวชีวิตของพวกเธอในเรือนจำหนึ่งเดือนที่ผ่านมา 

“มันเหมือนใช้ชีวิตเป็นด่านเกมส์ เล่นแต่ละด่านแล้ว พอเหมือนจะผ่านด่าน ปรับตัวได้ก็ต้องเปลี่ยนด่าน กักตัว แดนกันชน และลงแดน ต้องปรับตัวตลอดเวลา ปรับตัวหลายรอบ” คิมเปรียบเทียบให้ฟัง

“ดีใจอย่างหนึ่งที่ยังคุมตัวเองได้ เหมือนเราต้องทิ้งอะไรหลายอย่างไป เพื่อให้อยู่ได้”  

เราถามคิมต่อว่าทิ้งอะไรหลายอย่างนั้นหมายถึงอะไร “พยายามช่างมันในหลายเรื่อง ให้มีสติ พยายามไม่คิดถึงเรื่องข้างนอก ผลักเรื่องข้างนอกเพื่อให้ตัวเองไม่คิดถึง แต่พอออกศาลแล้วกลับมา มันแย่มาก”

“คือดีใจมากที่ได้ออกศาลนะ เจอเพื่อนกลุ่มหนึ่งยืนรอหน้าประตูห้อง มันอบอุ่นแบบแปลกๆ ปกติตอนอยู่ข้างนอกไม่เคยอยากไปศาลเลย แต่พออยู่ในเรือนจำแล้วไปศาล ทำให้อบอุ่น และต้องกลับมากักตัวก็ต้องปรับตัวอีก เป็นหนึ่งเดือนที่ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ”

.

ถ้าต้องอยู่ในนี้หนึ่งปี หนูเสียเรื่องการเรียนแน่

เราคุยกันถึงขั้นตอนในคดีที่ทั้งสองคนถูกคุมขังว่ามีนัดสืบพยานในเดือนพฤษภาคมปี 2566 นั่นหมายความว่าหากทั้งสองไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ทั้งสองคนต้องอยู่ในเรือนจำยาวจนถึงปีหน้า ก่อนที่จะมีการเริ่มสืบพยานจริงๆ ด้วยซ้ำ

“ถ้าต้องอยู่ในนี้หนึ่งปี หนูเสียเรื่องการเรียนแน่ มันไม่แฟร์กับครอบครัวกับคนรอบข้าง หนูไม่ได้ร่ำลาพวกเขาว่าหนูต้องอยู่ตรงนี้ พวกเขาต้องทำตัวอย่างไร ถ้าหนูต้องเสียเวลาหนึ่งปีของคนอายุ 21 ปี ไปเป็น 22 ปี… มันก็เคยคิดเรื่องติดคุก แต่ไม่เคยคิดว่าจะติดคุกเร็ว หรือติดนาน ไม่เคยคิดเรื่องนี้จริงจังเลย”

เราถามถึงความเห็นของคิมต่อศาล “ศาลต้องใส่ความเป็นมนุษย์ลงไป ไม่ใช่แค่ว่าเป็นผู้พิพากษาที่ทำงานมานานแล้วฟังคนอื่น อยากให้เขาพิจารณาจากความจริง จากสำนวนไม่ใช่ความเห็นของใครคนหนึ่งที่อยู่ข้างบน”

“อยากให้ผู้พิพากษามีความเป็นมนุษย์อยู่นั่นล่ะ” คิมทิ้งท้าย

.

เราเป็นคนทำงาน พอต้องอยู่ในนี้ waste money คนอื่นไปเรื่อยๆ ไร้ประโยชน์มาก

ด้านป่าน เล่าถึงเดือนแรกในเรือนจำของเธอ “อาทิตย์แรกมันแปลกใหม่ เจออะไรใหม่ๆ เพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ ยังไม่มีอะไร อาทิตย์ที่สอง ย้ายไปแดนกันชนก็ได้เพื่อนใหม่อีก 

“อาทิตย์ที่สาม ย้ายลงมาด้านล่างเริ่มต้องปรับตัวกับคนจำนวนมาก อย่างป่านเป็นคนไม่ค่อยทำความรู้จักคนใหม่ก็จะยาก แต่พอเริ่มชินกับชีวิตด้านล่างก็ต้องออกศาลและกลับไปกักตัวใหม่ คนใหม่ก็มีเขม่นกันเลยรู้สึกแย่ ไม่มีความไว้วางใจ จริงๆ ก่อนขึ้นมากักตัวรู้สึกโอเค มีเพื่อนอยู่ได้สบายใจ จนต้องมากักอีกรอบ”

ถ้าต้องอยู่ในนี้ไปจนสืบพยานในปีหน้า ป่านบอกว่า “เราเป็นคนทำงาน พอต้องอยู่ในนี้ waste money คนอื่นไปเรื่อยๆ ไร้ประโยชน์มาก หากต้องอยู่ในนี้เป็นปี คิดว่าคงเสียงาน เขาคงไม่จ้างหนูไปหนึ่งปี โดยที่หนูอยู่ในนี้ เพราะมันก็เสียเวลา อาจเสียตัวตน ถ้าแย่ที่สุดอาจเสียจุดยืนของตัวเองไปด้วย”

เราถามถึงสิ่งที่อยากสื่อสารกับศาล “ถ้าศาลได้เห็นพยานหลักฐาน ก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรบ่งชี้ถึงพวกเราได้เลยไม่มี DNA ไม่มีรอยนิ้วมือ มีเพียงภาพถ่ายเราในที่เกิดเหตุ แต่เราต้องถูกพรากเสรีภาพ อยากให้ศาลทำหน้าที่ของตนเอง ไม่รับฟังคำสั่งจากใคร”

ก่อนจากกัน ป่านถามเราว่า “ถ้าต้องติดยาว อยากให้บอก จะได้ทำใจ” เราบอกว่าเป็นเพียงการชี้แจงว่าภายหลังจากนี้คือนัดสืบพยาน ซึ่งหากไม่ได้ประกันตัวระหว่างนี้เธออาจจะถูกขังได้ยาว 

ป่านบอกว่า “นึกถึงตอนที่ให้สัมภาษณ์พี่หนึ่ง (วรพจน์ พันธ์ุพงศ์ นักเขียนและนักสัมภาษณ์ผู้บุกเบิกสื่อ nan dialogue) ปีที่แล้ว ว่าวันเกิดปีหน้าจะได้กลับมาที่บ้าน (จังหวัดน่าน) อีกไหม หนูจำคำตอบไม่ได้ แต่จำได้ว่าร้องไห้หนักมาก”  

เราย้อนถามวันเกิดของเธอ ป่านบอกว่าเธอเกิดเดือนธันวาคม เราเลยพูดเพียงว่าบุ้งเองก็คอยถามว่าเธอจะได้ออกไปก่อนวันเกิดหรือเปล่า และบุ้งก็ได้ออกไปฉลองวันเกิดข้างนอก แต่สำหรับป่านและคิม เราไม่ได้รับปากป่านว่าเธอจะได้ปล่อยตัวภายในเดือนธันวาคมหรือไม่ 

คนที่จะตอบได้…คงมีแต่ศาลเท่านั้น

.

X