‘แม็ก ทะลุฟ้า’ จากหนุ่มโฟร์แมน สู่การใช้ชีวิตในบทบาทนักกิจกรรม และการเข้ามาสังเกตการณ์ “นักโทษ”

17 ส.ค. 2565 เราได้คุยกับ “แม็ก ทะลุฟ้า” หรือสินบุรี แสนกล้า เป็นคราวแรก หลังจากแม็กมามอบตัวตามหมายจับคดีถูกกล่าวหาว่าเผาป้อมจราจร ในการชุมนุมวันที่ 19 ก.ย. 2564 แต่ศาลกลับไม่อนุญาตให้ประกันตัว เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา 

แม็กมาในชุดสีน้ำตาล และตัดผมเกรียน ผิดจากภาพเขานอกเรือนจำ แม็กคุยด้วยท่าทีเป็นกันเองและไม่ได้มีท่าทางวิตกกังวลอะไร คาดว่าจะได้ย้ายแดนในเรือนจำ จากแดนแรกรับไปอยู่แดน 4 ในวันพรุ่งนี้ หลังครบกำหนดกักตัว  เราเลยขอให้เขาช่วยเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง

หนุ่มโฟร์แมน อยากออกมา “ใช้ชีวิต” ในฐานะนักกิจกรรม

“ผมอายุ 26 ปี ก่อนหน้านี้ทำงานคุมงานก่อสร้างเป็นโฟร์แมน ก่อนจะลาออกมาช่วงทะลุฟ้าโดนจับ กรณีรถเครื่องเสียงที่นำไปควบคุมตัวที่ บก.ตชด. (กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1) ลาออกเพราะต้องการมาช่วยเพื่อนพี่น้องในทะลุฟ้า มาแรกๆก็ ช่วยยกของทำงานที่ต้องใช้แรงงาน ใช้แรงเป็นหลัก ผมจบช่างก่อสร้าง ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคโนโลยีหมู่บ้านครู”

“ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำกิจกรรมทางการเมืองหรือยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมาก่อนเลย เริ่มสนใจการเมืองก็ช่วงยุบพรรคอนาคตใหม่ แถวบ้านก็มีกลุ่มกิจกรรมไทอิสระที่สนใจและไปม็อบบ่อยๆ เจอหน้ากันก็ตั้งวงกินเหล้า ผมรู้จักแซม (พรชัย ยวนยี) ตั้งแต่ช่วงปี 59-60 มาก่อนหน้าแล้ว พอสนใจการเมืองก็ถามเขาเรื่องการเมืองอยู่บ่อยๆ พอมีม็อบแซมเป็นพี่คนเดียวที่รู้จักและรู้เรื่องการเมือง เลยวางแซมเป็นที่ปรึกษาในการทำกิจกรรม ว่าควรจะทำกิจกรรมอย่างไร ออกแบบกิจกรรมยังไง คิดบนฐานอะไร”

“ผมรู้จักไผ่ช่วงการชุมนุมของม็อบโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เข้ามาชุมนุมในกรุงเทพฯ ชาติชายก็โทรมาชวนช่วงต้นปี 2563 หลังจากนั้นผมก็หายไปจากการเคลื่อนไหวระยะหนึ่ง กลับไปทำงาน และมาร่วมอีกทีหนึ่งก็ตอนเดินทะลุฟ้าที่มาถึงกรุงเทพแล้ว มาตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้า”

“พออีกวันหนึ่งผมก็ลาออกจากงานเลย เพราะผมเห็นหน้าเพื่อนพี่น้องเหนื่อย ถ้าพี่เคยไปหมู่บ้านทะลุฟ้า มันต้องเดินจากหน้าหมู่บ้านไปหลังหมู่บ้านไกลมาก ผมเห็นว่าถ้าผมออกมาช่วยตรงนี้น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อนๆ ได้แล้ว ก็เบื่องานด้วย พอหมู่บ้านโดนสลาย ผมก็กลับไปสมัครงานใหม่ ไปๆ มาๆ จนมาจริงจังช่วงที่โดนจับจากม็อบเครื่องเสียง”

เราถามถึงเหตุผลจริงที่เขาลาออกจากงานอีกครั้ง เขายืนยันว่าเขาต้องการ “ใช้ชีวิต”

.

เรารู้สึกว่าเรามีพลัง ถ้าเรามีพลังมากพอก็จะเปลี่ยนประเทศได้จริงๆ

“ผมรู้สึกว่ามันคือการใช้ชีวิตจริงๆ และอยากทำ (กิจกรรมทางการเมือง) ด้วย  ความอยากใช้ชีวิตตัวเองมากกว่า แต่สิ่งที่ผมอยากทำและได้ใช้ชีวิตด้วย พออยู่ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีความคิดทางการเมือง ว่าถ้าเราอยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำอะไร ลูกหลานของเราก็ต้องออกมาต่อสู้แบบนี้อีก เรารู้สึกว่าเรามีพลัง ถ้าเรามีพลังมากพอ ก็จะเปลี่ยนประเทศได้จริงๆ”

“ก่อนหน้านี้ เข้ามาเพราะตามเพื่อนมากกว่า แต่ลาออกรอบสองเพราะว่าต้องการใช้ชีวิตจริงๆ พอลาออกก็ได้ใช้ชีวิตจริง อดข้าวก็อดด้วยกัน ได้เรียนรู้ชีวิต ดีกว่าชีวิตที่ตื่นเช้าทำงาน ตกเย็นกินเหล้า เรียกว่าออกมาม็อบได้ใช้ชีวิตถึงแม้ไม่มีเงินเดือน แต่เราได้ไปเรียนรู้ในที่ต่างๆ ทั้งภาคเหนือ อีสาน ภาคใต้ เรามีความเป็นอิสระ อยากทำอะไรก็ได้ ทำที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น มันจะมีคนที่เลื่อนโทรศัพท์ดูที่เที่ยวที่อยากไป แต่ไม่ได้ไป เพราะว่าติดทำงาน เหมือนมีโซ่มาล่ามติดงานต้องเคลียร์งาน แต่อยู่ตรงนี้ได้ไปตลอด”

เราขอขยายความที่บอกว่าอยากให้ประเทศดีขึ้น ว่าดีขึ้นอย่างไร

“มันต้องดีกว่านี้ ให้ประเทศดีขึ้น เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เรื่องที่ไม่ชอบธรรมต่างๆ ต้องจัดการ หรืออย่างเรื่องรัฐสวัสดิการทำให้คนในประเทศมีมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้น ผมชอบที่เพื่อนในทะลุฟ้าพูดว่า เราอยู่ตรงนี้ เราสู้เพื่อครอบครัวเราแต่ถ้าเราชนะ จะมีอีกหลายครอบครัวที่ได้ประโยชน์ด้วย ผมจึงเลือกที่จะสู้อยู่ตรงนี้”

ผมมองว่าเราเข้ามาศึกษาหาความรู้ชีวิตในเรือนจำ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นนักโทษ

เราถามถึงความรู้สึกของเขาที่ออกมาทำกิจกรรมและถูกดำเนินคดี จนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ว่าเขารู้สึกอย่างไร

“เราเตรียมใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าหากมาทำกิจกรรมทางการเมืองก็อาจถูกดำเนินคดีได้ เป็นสิ่งที่รัฐอาจกระทำกับเรา ผมเลยไม่ได้ฟูมฟาย แต่แค่รู้สึกว่าบางอย่าง ให้เขาทำตามกฎหมายได้ไหม ไม่อยากให้ใช้กฎหมายอย่างบิดเบี้ยว รู้สึกว่าถ้าเป็นคดีทางการเมืองจะได้ประกันยาก แต่ไม่เป็นไร บรรทัดฐานของเรากับของเค้ามันไม่เท่ากัน

“อยู่ในนี้เหมือนเข้ามาเรียนรู้การใช้ชีวิตในเรือนจำ เหมือนกับถ้าเราอยากเรียนรู้ชีวิตของคนไร้บ้าน ก็ต้องไปใช้ชีวิตเหมือนคนไร้บ้าน ผมมองว่าเราเข้ามาศึกษาหาความรู้ชีวิตในเรือนจำ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นนักโทษ มาเรียนรู้เพื่อที่จะไปบอกคนข้างนอกได้ว่าชีวิตในเรือนจำเป็นยังไง ดีกว่ามาร้องไห้ฟูมฟายว่าทำไมต้องเข้ามา เพื่อนเราหลายคนก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้ประกันเหมือนกัน อย่างพี่แซมควรได้ออกไป”

ความจริงเราอยากให้แม็กเล่าต่อว่าการเข้าไปสังเกตการณ์ในฐานะคนในเช่นนี้ เขาได้เจออะไรบ้างในเรือนจำ เรารู้สึกแปลกใจที่แม็กจบก่อสร้าง แต่เขาพูดเหมือนเรียนมาทางสายสังคม แต่เนื่องจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เดินมาขอให้รีบพูดคุย เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้คุยกัน มีเพียงเครื่องเดียวต่อหนึ่งแดน บทสนทนาจึงจบเพียงเท่านี้ ก่อนเราจะถามถึงสิ่งที่เขาอยากสื่อสารกับคนข้างนอก

“ผมไม่รู้จะบอกอะไร พูดไม่เก่ง ฝากบอกทะลุฟ้าแล้วกัน อยากฝากถึงทะลุฟ้า ถ้าเชื่อในสิ่งนี้ก็ทำให้มันเต็มที่ ทำให้สำเร็จในสิ่งที่เชื่อ ไม่งั้นจะเป็นแค่ความเชื่อ ไม่ใช่ความจริง เปลี่ยนจากความเชื่อมาเป็นความจริง คนจะได้เท่ากัน

.

X