ฟ้อง! 8 ราษฎร ‘โขงชีมูล’ ชุมนุมไม่ให้รัฐใช้ ‘112’ อีก 2 รายไม่ร่วมกระบวนการ หวัง จนท.หยุดใช้ กม.กลั่นแกล้งประชาชน

16 มี.ค. 2565 พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่นเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนักศึกษาและนักกิจกรรม “ราษฎรโขงชีมูล” รวม 8 ราย ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อหาชุมนุมอื่นๆ จากกิจกรรมชุมนุม บริเวณสวนเรืองแสง และหน้า สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2564 ก่อนที่ศาลแขวงขอนแก่นจะรับฟ้องและให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยกำหนดเงื่อนไขหากไม่มาตามนัดศาลปรับคนละ 10,000 บาท

สำหรับคดีนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีถึง 10 ราย เฉพาะที่มาในนัดฟังคำสั่งฟ้องในครั้งนี้ได้แก่ อรรถพล บัวพัฒน์, วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง, ศิวกร นามนวด, พชร สารธิยากุล, นิติกร ค้ำชู, ธนศักดิ์ โพธิเตมีย์, เจตสฤษฎ์ นามโคตร และอิศเรษฐ์ เจริญคง อีก 2 รายคือ กรชนก แสนประเสริฐ และภานุพงษ์ ศรีธนานุวัฒน์ 2 นักกิจกรรมจากกลุ่มดาวดิน ตัดสินใจไม่เข้าร่วมกระบวนการในคดี เนื่องจากเห็นว่าถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม 

นักกิจกรรม 8 ราย ไปถึงศาลแขวงขอนแก่นในช่วง 13.30 น. แต่ต้องรอทางอัยการแก้ไขคำฟ้องซึ่งเตรียมไว้สำหรับฟ้องจำเลย 10 ราย กระทั่งเวลา 15.30 น. เจ้าหน้าที่จากสำนักงานอัยการนำคำฟ้องมายื่นต่อศาล โดยในระหว่างที่รอศาลสอบถามจำเลยและพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนั้น เจ้าหน้าที่ศาลจำเลยทั้งหมดขึ้นไปอยู่ในห้องพิจารณาคดีบนชั้น 2 เนื่องจากวันนี้มีประชาชนถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องควบคุมตัวด้านหลังศาลจำนวนมากแล้ว 

สำหรับคำฟ้องที่ ราเชนทร์ วิทยาบํารุง รองอัยการจังหวัดคดีศาลแขวงขอนแก่น บรรยายฟ้องจำเลยทั้ง 8 ราย ระบุว่า

จําเลยทั้งแปดกับพวกอีกสองคน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมชุมนุมโดยประกาศเชิญชวนนัดหมายประชาชนทั่วไปให้เข้าร่วมกิจกรรม มีการจัดเวทีอภิปราย ติดตั้งเครื่องขยายเสียง ไฟส่องสว่าง แผ่นป้ายและป้ายชื่อกิจกรรม ราษฎรโขง ชี มูล ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น, บริเวณสวนสาธารณะประตูเมืองขอนแก่น (สวนเรืองแสง) และ หน้า สภ.เมืองขอนแก่น ซึ่งมีประกาศให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง มีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากในลักษณะแออัดมั่วสุมกัน โดยจำเลยไม่จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคโควิด-19 

ทั้งนี้เมื่อ 22 มี.ค. 2564 จำเลยทั้งหมดเข้าพบพนักงานสอบสวนแล้วโดยให้การปฏิเสธ โดยพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอผัดฟ้องจำเลยไว้ต่อศาลแขวงขอนแก่น ต่อมาการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น อัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม จึงไม่ได้ฟ้องจำเลยภายในกำหนดฟ้อง คดีจึงขาดฟ้อง ก่อนที่อธิบดีอัยการภาค 4 ซึ่งอัยการสูงสุดมอบหมายได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องเป็นคดีแล้ว 

โดยอัยการฟ้องนักกิจกรรมทั้ง 8 คน ในฐานความผิด “ร่วมกันจัดกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากในลักษณะติดต่อสัมผัสกันได้ง่ายในสถานที่แออัด หรือกระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค และร่วมกันจัดกิจกรรมในพื้นที่เฝ้าระวัง โดยไม่จัดให้มีมาตรการตามข้อกำหนด” อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดและประกาศออกตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ ในชั้นสอบสวนนักกิจกรรมทั้ง 8 ราย ถูกแจ้งอีก 2 ข้อหา ได้แก่ กีดขวางจราจรและใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เนื่องด้วยทั้ง 2 ข้อหา มีเพียงโทษปรับ และอัยการไม่ได้ฟ้องภายในระยะเวลา 1 ปี ทำให้หมดอายุความไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 

ท้ายคำฟ้องอัยการไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งแปดในระหว่างพิจารณาคดี แต่ขอให้ศาลนับโทษจําคุกของอรรถพลในคดีนี้ต่อกับโทษจําคุกในคดีชุมนุม “19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร” ของศาลอาญา และนับโทษจำคุกของวชิรวิทย์ต่อกับโทษจำคุกในคดีชุมนุม “อีสานบ่ย่านเด้อ” ของศาลนี้ 

ก่อนที่ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจะยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน ระบุว่า จำเลยทั้ง 8 คน ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ในคดีนี้ได้ให้ความร่วมมือมาพบพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการตลอดกระบวนการสอบสวน อีกทั้งคดีมีอัตราโทษไม่สูง โดยจําเลยทั้งหมดขอยืนยันว่าจะมาศาลตามนัดทุกครั้ง ทั้งนี้ จำเลยประกอบอาชีพสุจริตและเป็นนักศึกษา ทั้งยังคงเป็นเพียงผู้ถูกฟ้องคดี ศาลยังไม่พิพากษาว่ามีความผิด จะปฏิบัติกับจำเลยเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดแล้วไม่ได้ 

กระทั่งเวลา 16.35 น. ณัฏฐ์นิชา สุวรรณพงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลแขวงขอนแก่นจึงออกพิจารณา โดยเรียกชื่อยืนยันตัวจำเลยทีละคน สอบถามว่ามีทนายความแล้วหรือไม่ จากนั้นมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 ราย โดยแจ้งว่าครั้งนี้จะปล่อยตัวชั่วคราวโดยให้ทำสัญญาประกัน มีเงื่อนไขให้จำเลยมาตามนัดศาล หากผิดเงื่อนไขปรับ 10,000 บาท นัดพร้อมถามคำให้การในวันที่ 7 เม.ย. 2565

หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว วชิรวิทย์ หรือ ‘เซฟ’ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนักกิจกรรมกลุ่มขอนแก่นพอกันที ซึ่งถูกฟ้องคดีจากการชุมนุมและทำกิจกรรมแสดงออกทางการเมืองคดีนี้เป็นคดีที่ 4 แล้ว กล่าวว่า  ผมรู้สึกว่า 1 ปีผ่านไป นักกิจกรรมหลายคนต่างถูกดำเนินคดีมากมาย พร้อมทั้งไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐไทยเช่นเดิม  เป็น 1 ปีกว่าที่ผมรู้สึกว่าการชุมนุมในวันนั้นมันไม่ได้สูญเปล่าแต่อย่างใด แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นในการเรียกร้องในพื้นที่ของจังหวัดขอนแก่น ในฐานะที่เป็นผู้ที่ถูกฟ้องในคดีดังกล่าวนี้ผมอยากจะยืนหยัดและแสดงเจตจำนงว่าผมใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นการชุมนุมที่เกิดความเสียหายเลย ฉะนั้นผมยืนยันว่าประชาชนที่ชุมนุมในวันดังกล่าวไม่ควรถูกส่งฟ้องในวันนี้

สำหรับการชุมนุมของราษฎรโขงชีมูลและราษฎรขอนแก่นจัดการชุมนุมวันที่ 20 ก.พ. 2564 มีขึ้นเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้รับฟังข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ รวมถึงเรียกร้องให้มีการถอนแจ้งข้อกล่าวหาและถอนฟ้องพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการเป็นแกนนำกล่าวปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่น ก่อนเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขอนแก่นเดินไปยังสวนสาธารณะประตูเมือง และหน้า สภ.เมืองขอนแก่น

วันเดียวกันนี้ พนักงานอัยการคดีศาลแขวงขอนแก่นยังยื่นฟ้อง วิศัลยา งามนา และศรายุทธ นาคมณี 2 นักกิจกรรม ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ จากการชุมนุม “ผู้พิทักษ์ทรราช ผู้พิฆาตประชาชน” ที่หน้าคอมเพล็กซ์ และหน้า สภ.ย่อย มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2564 หลังในนัดส่งฟ้องเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ทั้งสองติดภารกิจไม่สะดวกมาตามหมาย ก่อนที่ศาลแขวงขอนแก่นจะรับฟ้องและให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยให้สาบานตนแทนการใช้หลักทรัพย์เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ถูกฟ้องไปก่อนหน้านี้ 

>>>ฟ้องแล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ! 7 นักกิจกรรมอีสานชุมนุม ‘ผู้พิทักษ์ทรราช ผู้พิฆาตประชาชน’ 1 มี.ค. 64 หวังเรียกร้องรัฐหยุดใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม

2 นักกิจกรรมดาวดิน ทำอารยะขัดขืน ‘ไม่ไป และไม่ยอมรับ จะออกหมายจับก็ออกมา’

ด้าน 2 นักกิจกรรมดาวดิน ที่อัยการนัดไปส่งฟ้องพร้อมเพื่อนนักกิจกรรมทั้งแปด แต่ทั้งสองตัดสินใจ “อารยะขัดขืน” ไม่เข้าร่วมกระบวนการที่เขาคิดว่าไม่ยุติธรรมนี้ โดยทั้งสองประกาศเจตจำนงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 1 วัน ก่อนวันนัดส่งฟ้อง สำหรับ ภานุพงษ์ ศรีธนานุวัฒน์ หรือ ‘ไนซ์ ดาวดิน’ โพสต์ว่า ผมไม่ไปและไม่ยอมรับกับกระบวนการการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจัดการผู้เห็นต่างทางการเมือง  แม้ผลที่ตามมาจะต้องมีการออกหมายจับก็ตาม ขอยืนยันว่าการคิดต่างทางการเมืองคือความเป็นมนุษย์ที่มีความคิด  และคือการสร้างสรรค์สังคมอีกอย่างหนึ่ง

ส่วน กรชนก แสนประเสริฐ หรือ ‘พบ ดาวดิน’ โพสต์ว่า ในสถานะจำเลยอีก 1 คดี ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำยุยงปลุกปั่นให้เกิดการชุมนุมทางการเมือง โดยปราศจากมาตรการป้องกันโรคระบาด ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินตั้งแต่ปีที่แล้วนั้น ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่านี่คือ กระบวนการกลั่นแกล้งทางการเมืองของตำรวจ โดยการใช้กฎหมาย (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) และกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือ เนื่องจากเป็นการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ตรงตามเจตนารมณ์ อีกทั้งดำเนินการขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการสร้างภาระเกินความจำเป็นให้แก่ประชาชนหลายต่อหลายครั้ง

ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผมจึงขอใช้สิทธิในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ที่จะปฏิเสธไม่เข้าร่วมกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรมในครั้งนี้ เพื่อเรียกร้องไม่ให้เกิดการนำกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองอีก และยินดีรับผลของการกระทำครั้งนี้ในทุกด้าน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ราษฎรอีสาน’ 16 ราย เจอ 3 คดี ชุมนุม #ปล่อยหมู่เฮา – ชักธง ‘ปฏิรูปกษัตริย์’ นักศึกษาชี้ รัฐใช้กฎหมายปิดปาก

X