ก่อนวันพิพากษา: สืบพยานคดี ม.116 “เสงี่ยม” ทำคลิปชวนไล่ คสช. ไม่มีพยานโจทก์บอกได้คลิปทำให้เกิดความไม่สงบฯ อย่างไร

ในวันที่ 21 มี.ค. 2565 เวลา 9.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีของ เสงี่ยม สำราญรัตน์ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถูกฟ้องในข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเชิญชวนประชาชนให้ออกมาขับไล่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จำนวน 2 คลิป ลงในยูทูปและเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 15-16 ธ.ค. 2560

คดีนี้น่าจับตาว่า จำเลยเพียงแต่จัดทำคลิปกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ออกมาร่วมกันขับไล่ คสช. โดยกล่าววิเคราะห์อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของ คสช. และเสนอวิธีการชุมนุมบนท้องถนน การนัดหยุดงาน หรือการเรียกให้คณะรัฐประหารไปรายงานตัวกับประชาชนแทน โดยไม่ได้มีการกระทำอื่นใด แต่กลับถูกออกหมายจับ และตั้งข้อหาอาญา “ยุยงปลุกปั่น” ซึ่งอยู่ในหมวดความมั่นคงของรัฐ คดีใช้เวลาตั้งแต่ตำรวจไปแจ้งความกล่าวหากว่า 4 ปีแล้ว และจวนจะครบ 2 ปี หลังเสงี่ยมถูกจับกุม แจ้งข้อหา และศาลจะมีคำพิพากษาในที่สุด

จากการสืบพยานโจทก์ในคดี ยังพบว่าไม่มีพยานบอกได้ว่าคลิปถ้อยคำของจำเลยทำให้เกิดความไม่สงบหรือทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินตามองค์ประกอบของมาตรา 116 อย่างไร ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาเช่นไร คดีนี้จึงนับเป็นอีกหนึ่งบันทึกของการใช้ “กฎหมาย” ในหมวดความมั่นคงของรัฐอย่างพร่ำเพรื่อ และกลายไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามผู้เห็นต่างของคณะรัฐประหาร ซึ่งยังดำรงสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน รวมทั้งสะท้อนปัญหาในกระบวนการยุติธรรม ที่ทำให้คดีเช่นนี้ ดำเนินมาจนถึงมีคำพิพากษาในชั้นศาล

.

ที่มาที่ไปแห่งคดี: เจ้าหน้าที่ ปอท. อ้างคลิปชวนไล่ คสช. อาจก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร

พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ อายุ 69 ปี พื้นเพเป็นคนจังหวัดชุมพรและประกอบอาชีพประมง เขาเคยรับราชการตำรวจก่อนลาออก และได้ร่วมเคลื่อนไหวกับขบวนการคนเสื้อแดงต่อมา หลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 เขาถูกคณะรัฐประหารออกคำสั่งเรียกรายงานตัว แต่เขาปฏิเสธไม่เข้ารายงานตัว เนื่องจากเห็นว่าคำสั่งไม่ชอบธรรมและไม่ใช่กฎหมาย

เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2563 เสงี่ยมถูกเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นำหมายจับออกโดยศาลอาญา ลงวันที่ 4 มี.ค. 2563 เข้าจับกุมไปแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากที่เพิ่งได้รับการประกันตัวจากคดีบุกรุกอาคารรัฐสภา เมื่อเดือนเมษายนปี 2553 ซึ่งอัยการได้สั่งฟ้องต่อศาลก่อนคดีจะหมดอายุความ

เนื้อหาคลิปที่เสงี่ยมถูกกล่าวหา ระบุว่าเผยแพร่ลงในเพจ “กะลาแลนด์ แดนสนธยา” และยูทูปชื่อ “sangiam abc” มีความยาวประมาณ 6.20 นาที โดยทั้งสองคลิปมีเนื้อหาเช่นเดียวกัน โดยสรุปเสงี่ยมได้กล่าวเชิญชวนให้ประชาชนออกมาขับไล่เรียกร้อง คสช. เนื่องจาก คสช. ไม่มีท่าทีจะจัดการเลือกตั้งเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน ทั้งยังมีการออกแบบกลไกสืบทอดอำนาจ เสงี่ยมจึงต้องการพลังมวลชนเพื่อขับไล่ คสช. เชิญชวนให้ประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ออกมาบนท้องถนน หรือนัดหยุดงานสักสองสามวัน พร้อมกับเรียกให้ คสช. มารายงานตัวกับกองกำลังของประชาชน อย่าปล่อยให้ “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ และนักศึกษาออกมาเรียกร้องกันอย่างโดดเดี่ยว อีกทั้งยังขอให้ตำรวจและทหารออกมาเรียกร้องเช่นกัน เพราะ คสช. ละเมิดทั้งกฎหมายไทยและสนธิสัญญาสากล ถือว่ามีความผิดเป็นกบฏ

พ.ต.ท.กังวาล ศรีวิไล ผู้กล่าวหาในคดีนี้ ได้เข้าแจ้งความไว้ที่ บก.ปอท. เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2561 อ้างว่าคลิปดังกล่าวมีเจตนาไม่ให้ คสช. หรือคณะรัฐบาลได้ดำเนินการบริหารประเทศตามอำนาจหน้าที่ มีวัตถุประสงค์ให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและให้ประชาชนออกมาชุมนุมอันเป็นการละเมิดกฎหมายและอาจถึงขั้นก่อให้เกิดความไม่สงบภายในราชอาณาจักร

ก่อนวันที่ 8 เม.ย. 2563 พนักงานสอบสวนได้ยื่นขอฝากขังผู้ต้องหาศาลอาญา และเสงี่ยมได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดี โดยต้องวางหลักทรัพย์ 2 แสนบาท และอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 ใช้เวลาระยะพิจารณาในชั้นสอบสวนเพียง 1 เดือนเศษ

ในชั้นศาล คดีถูกเลื่อนนัดสืบพยานออกมาเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงปี 2564 กระทั่งได้มีการนัดสืบพยานใหม่จนเสร็จสิ้นในช่วงวันที่ 1-2 มี.ค. 2565

เสงี่ยมยังถูกตำรวจออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรียกบุคคลให้ไปรายงานตัวกับ คสช.  ต่อมา คดีนี้เขาถูกสั่งฟ้องที่ศาลแขวงดุสิต ต่อมาหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าประกาศเรียกรายงานตัวดังกล่าว ในส่วนของโทษขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ในคดีของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ทำให้พนักงานอัยการในคดีของเสงี่ยมได้ยื่นขอถอนฟ้องคดี จนกระบวนถอนฟ้องคดีเพิ่งสิ้นสุดในช่วงเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา

.

ภาพคลิปต้นเหตุที่เสงี่ยมกล่าวข้อความที่ถูกฟ้องร้อง

.

ภาพรวมการสืบพยาน: ตัดพยานโจทก์เหลือ 2 ปาก จำเลยรับว่ากล่าวข้อความจริง แต่ไม่ผิดตามข้อหา

จากเดิมคดีนี้ ฝ่ายโจทก์ได้ขอสืบพยานจำนวน 7 ปาก แต่เมื่อถึงวันนัดสืบพยาน ศาลได้สอบถามจำเลยว่าโพสต์คลิปวิดีโอตามฟ้องจริงหรือไม่ ถ้ารับในเรื่องนี้ จึงจะได้ตัดลดการสืบพยานลง และให้จำเลยยื่นคำให้การเข้ามาใหม่ ในเรื่องเนื้อหาของคลิปวิดีโอว่าเข้าข่ายความผิดตามฟ้องหรือไม่

ทางจำเลยได้ยอมรับว่าเป็นผู้กล่าวถ้อยคำในคลิปจริง แต่ไม่ใช่คนเผยแพร่คลิปดังกล่าวลงในเพจเฟซบุ๊กและยูทูปตามฟ้อง รวมทั้งเนื้อหาในคลิปก็ไม่ได้เข้าข่ายความผิดตามข้อกล่าวหามาตรา 116 ฝ่ายจำเลยจึงได้รับพยานโจทก์ปากที่จะมาเบิกความยืนยันตัวจำเลยในคลิปวิดีโอ

ในที่สุด ทำให้ฝ่ายโจทก์ได้นำพยานเข้าเบิกความในศาลเหลือจำนวน 2 ปาก ได้แก่ พ.ต.ท.กังวาล ศรีวิไล ผู้กล่าวหาในคดีนี้ และ ร.ต.อ.หญิง ณัฐชยา วงศ์รุจิไพโรจน์ พนักงานสอบสวนกองกำกับการ 3 บก.ปอท. ผู้รวบรวมสำนวนคดี

.

ผู้กล่าวหารับไม่ทราบว่าถ้อยคำของจำเลยก่อให้เกิดจลาจล หรือความไม่สงบหรือไม่

พ.ต.ท.กังวาล ศรีวิไล รองผู้กำกับปราบปราม สภ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ เป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้ เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุช่วงเดือนธันวาคม 2560 พยานปฏิบัติหน้าที่เป็นสารวัตรกองกำกับการ 3 บก.ปอท. และได้รับการสั่งการจาก พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 บก.ปอท. ให้ทำการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊ก “กะลาแลนด์ แดนสนธยา” และยูทูปชื่อ “sangiam abc” ที่มีการโพสต์คลิปวิดีโอเชิญชวนประชาชนนักศึกษาให้ไปร่วมต่อต้าน คสช.

พยานได้เป็นผู้ตรวจสอบตัวบุคคลผู้กล่าวถ้อยคำในคลิป และได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีนี้กับพนักงานสอบสวน เนื่องจากเห็นว่าเป็นความผิดต่อกฎหมาย

พ.ต.ท.กังวาล ตอบทนายจำเลยยอมรับว่า หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 จนถึงปี 2562 ที่มีการจัดการเลือกตั้งนั้น มีบุคคลหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจในครั้งนี้ และได้ออกมาต่อต้านและเรียกร้องกับ คสช. มาโดยตลอด แต่ในหลายการชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าเกี่ยวข้องกับจำเลยโดยตรงหรือไม่ โดยพยานจำไม่ได้ว่าในช่วงเกิดเหตุในคดีนี้ คสช. ได้จัดให้มีการเลือกตั้งหรือยัง

พ.ต.ท.กังวาล ตอบคำถามรับว่า หลังจากที่คลิปของจำเลยเผยแพร่ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2560 คสช. ก็ยังคงบริหารประเทศต่อไปได้ ถึงแม้จะมีการชุมนุมทางการเมืองหลังจากนั้น พยานก็ไม่ทราบว่าการชุมนุมนั้นเกิดจากการเชิญชวนของจำเลยจริงหรือไม่ และทาง บก.ปอท. ที่เป็นหน่วยงานของพยาน ก็ไม่ได้บอกว่ามีผู้กระทำความผิดจากคำพูดของจำเลยด้วยเช่นกัน พยานยังอ้างว่าในช่วงที่ผ่านมามีการก่อจลาจลเกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวข้องกับจำเลยโดยตรงหรือไม่

พยานรับว่าตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้รับรองเสรีภาพในการชุมนุมได้โดยสงบและปราศจากอาวุธ ถ้าไม่มีการใช้ความรุนแรงล้มล้างรัฐบาลก็สามารถกระทำได้ แต่พยานเห็นว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวในคลิป มีเจตนาชักชวนประชาชนให้ออกมาลงถนนขับไล่ คสช. และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ออกจากอำนาจ และให้มารายงานตัวต่อกองกำลังของประชาชน แต่พยานจำไม่ได้ว่า ในช่วงนั้นมีกองกำลังของประชาชนตามที่จำเลยพูดจริงหรือไม่ เนื่องจากมีหลายกลุ่มเคลื่อนไหว

.

ภาพเสงี่ยมถูกจับกุมมาสั่งฟ้องคดีบุกรุกรัฐสภา จากเหตุการณ์ชุมนุมปี 2553 (ภาพจากผู้จัดการออนไลน์)

.

พนักงานสอบสวนรับไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กและยูทูป ทั้งรัฐบาลยังบริหารประเทศต่อได้หลังมีคลิปจำเลย

พยานโจทก์คนต่อมา ร.ต.อ.หญิง ณัฐชยา วงศ์รุจิไพโรจน์ พนักงานสอบสวนที่ บก.ปอท. และเป็นพนักงานสอบสวนในคดี เบิกความว่าในคดีนี้ ตนได้รับสำนวนมาจากพนักงานสอบสวนอีกท่านหนึ่ง ให้สอบสวนเพิ่มเติม พบว่าคลิปตามข้อกล่าวหาเป็นคลิปที่จำเลยเป็นผู้พูด แต่ไม่พบว่าใครเป็นเจ้าของหรือเป็นแอดมินเพจ “กะลาแลนด์ แดนสนธยา” ซึ่งเผยแพร่คลิป อีกทั้งไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยนั้นเป็นแอดมินหรือไม่ ส่วนบัญชียูทูป “sangiam abc” นั้น ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครเป็นเจ้าของบัญชี แต่พบว่าจำเลยกับบุคคลที่กล่าวในคลิปวิดีโอเป็นคนเดียวกัน จึงสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นเจ้าของบัญชีดังกล่าว

พยานเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด จึงได้ร้องขอศาลออกหมายจับ หลังการจับกุม พยานได้แจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิในคดีกับจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา  

ร.ต.อ.หญิง ณัฐชยา ตอบคำถามทนายจำเลยถามค้านว่า ในคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย ยืนยันให้การปฏิเสธ โดยยืนยันว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในการเรียกร้องให้ คสช. คืนอำนาจให้ประชาชนโดยการจัดการเลือกตั้ง เนื่องจาก คสช. ได้อำนาจมาโดยมิชอบ และจำเลยเองนั้นพูดโดยสุจริตใจ ซึ่งเห็นว่ามีกฎหมายรองรับการกระทำนั้น

พยานรับว่าพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ตรวจสอบบัญชีและผู้จับกุมจำเลย แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดบอกว่าคำพูดของจำเลยเป็นเหตุให้ก่อจลาจลและความไม่สงบภายในบ้านเมือง หรือแม้แต่ทำร้ายเจ้าหน้าที่

ร.ต.อ.หญิง ณัฐชยา รับว่าในช่วงวันเกิดเหตุได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 แล้ว และในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญได้รับรองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลจัดให้มีการเลือกตั้งสามารถกระทำได้ แต่ก็ต้องดูเงื่อนไขอื่นๆ และไม่กระทบสิทธิของผู้อื่น

ในส่วนภายหลังการกล่าวถ้อยคำในคลิปของจำเลยแล้ว พยานยอมรับว่ารัฐบาลชุดเดิมก็ยังบริหารประเทศต่อไปได้ และไม่ได้มีกฎหมายของบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

.

.

เสงี่ยมยืนยันตนใช้สิทธิแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพในการแสดงออก ไม่เข้าข่าย ม.116

หลังการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น วันที่ 2 มี.ค. 2565 เสงี่ยมได้อ้างตนเองขึ้นเบิกความเป็นพยานจำเลย โดยได้ยื่นคำเบิกความเป็นหนังสือต่อศาล

เนื้อหาโดยสรุปยืนยันว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นผู้กล่าวเนื้อหาในคลิปวิดีโอตามฟ้อง แต่เนื้อหาที่จำเลยกล่าวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 34 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และมาตรา 44 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ รวมทั้งเป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี

มูลเหตุแห่งการกล่าวถ้อยคำดังกล่าว เนื่องจากจำเลยไม่ยอมรับการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ซึ่งเป็นความผิดฐานกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ทั้งคณะรัฐประหารยังได้ออกคำสั่งเรียกรายงานตัว และให้ทหารเข้าติดตามตัวจำเลยให้ไปรายงานตัว  และหลังจากที่มีการยึดอำนาจมาเป็นเวลาหลายปี คสช. ไม่มีแนวโน้มที่จะคืนอำนาจโดยจัดให้มีการเลือกตั้ง อีกทั้งมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ให้มีวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช. ซึ่งถือเป็นการสืบทอดอำนาจ คสช. ต่อไป

ทั้งเมื่อมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ฝ่ายที่ไม่ให้รับร่างฉบับนี้ได้เผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชน คสช. ก็ได้ตั้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีอาญาข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ซึ่งขัดกับระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้มีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ ออกมาเรียกร้องให้ คสช. ลาออก และคืนอำนาจโดยจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว กลับถูกข่มขู่ คุกคามทำร้ายร่างกาย และถูกเฝ้าติดตาม แต่ไม่มีใครจับกุมบุคคลเหล่านี้มาดำเนินคดีได้ โดยเฉพาะกรณีของ “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ที่ถูกลอบทำร้ายร่างกายหลายครั้ง ซึ่งเป็นการกระทำที่รับไม่ได้

จำเลยจึงได้ออกมาอัดคลิปวิดีโอเพื่อพูดถึงสถานการณ์การบริหารของ คสช. ในตอนนั้น ปรามไม่ให้ตำรวจและทหารทำร้ายประชาชนที่ออกมาต่อต้าน คสช. เนื้อหาที่จำเลยพูดนั้นเป็นการเชิญชวนให้ประชาชนออกมาเรียกร้องให้ คสช. คืนอำนาจให้กับประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

การที่จำเลยออกมาพูดเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว เชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมเพื่อต่อต้าน คสช. และหยุดการสืบทอดอำนาจ จึงไม่ได้มีเจตนาเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบเกิดขึ้นในราชอาณาจักรหรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินแต่อย่างใด

จากนั้น อัยการได้ถามค้านจำเลย โดยจำเลยยืนยันว่าหลังการกล่าวถ้อยคำในคลิป ก็ไม่ได้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในบ้านเมือง ไม่ได้มีประชาชนออกชุมนุมทางการเมืองมากขึ้นเนื่องจากคลิปวิดีโอ อาจจะมีนักศึกษาออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่เข้าใจว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่จำเลยออกมาพูดแต่อย่างใด

หลังเสร็จสิ้นการเบิกความของเสงี่ยม ฝ่ายจำเลยได้แถลงหมดพยาน โดยไม่นำพยานนักวิชาการที่ยื่นในบัญชีพยานไว้เดิมขึ้นสืบ ศาลจึงได้กำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 มี.ค. 2565 นี้ เวลา 9.00 น.

ข้อสังเกตในการพิจารณาคดีครั้งนี้ คือศาลได้ให้จำเลยแถลงเหตุการณ์ของคดีก่อนที่จะเริ่มการสืบพยาน และให้ฝ่ายจำเลยจัดทำคำเบิกความมายื่นเพื่อพิจารณา ก่อนให้ฝ่ายโจทก์ถามค้านต่อไป รวมทั้งยังตัดพยานฝ่ายโจทก์ให้เหลือพยานปากผู้กล่าวหาและพนักงานสอบสวน รวม 2 ปาก ทำให้การสืบพยานเป็นไปอย่างรวดเร็วด้วย

.

X