วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 กุ่ย (นามสมมติ) ผู้ป่วยจิตเวช อายุ 24 ปี เดินทางจากบ้านที่จังหวัดปทุมธานีพร้อมพ่อและแม่ไปที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ เพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวนหลังถูกศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้ทิวา การกระสัง เข้าแจ้งความข้อหา ดูหมิ่นด้วยการโฆษณา กุ่ยถูกกล่าวหาว่าใช้เฟซบุ๊กคอมเม้นท์ภาพในเฟซบุ๊ก ทำให้ศักดิ์สยามได้รับความเสียหาย
เวลา 11.00 น. ร.ต.อ.อนุเปรม ทุมนานอก พนักงานสอบสวนแจ้งพฤติการณ์ว่า 22 กันยายน 2564 เวลาประมาณ 22.00 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นในโพสต์ของบัญชีเฟซบุ๊ก “XXXX” ที่โพสต์ข้อความว่า ฝากจับศักดิ์สยาม ชิดชอบ ด้วย ใต้ข้อความมีภาพอยู่ 2 ภาพ โดยภาพทางด้านขวาเป็นภาพของชายคนหนึ่งนั่งอยู่โดยไม่สวมเสื้อ และน่าจะมีผู้หญิงอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะไม่สวมเสื้อผ้าเช่นกัน ภาพที่โพสต์นั้นชี้นําคนอื่นว่าชายที่อยู่ในภาพคือศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคมนาคม ไปเที่ยวสถานบันเทิง แล้วถอดเสื้อผ้าอยู่กับผู้หญิงที่ถอดเสื้อผ้าเช่นกัน ทําให้ศักดิ์สยามได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย
โพสต์ดังกล่าวมีบุคคลแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคําหยาบคาย ดูหมิ่นศักดิ์สยาม จํานวนหลายคน ซึ่งหนึ่งในจํานวนนั้นแสดงความคิดเห็นข้อความว่า “หน้ามีความสุขมากเลยนะไอ้สัส” ซึ่งเป็นถ้อยคําที่ดูหมิ่น คําว่า “สัส” เป็นคําพ้องเสียง กับคําว่า “สัตว์” เป็นการเปรียบเทียบศักดิ์สยามว่าเป็นสัตว์ เป็นการดูหมิ่นศักดิ์สยาม ที่อยู่ในคณะรัฐมนตรี ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง
พนักงานสอบสวนแจ้งว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ หรือความผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่มีโทษเบาหรือโทษที่ไม่ร้ายแรง แม้ว่าบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้ระบุว่า มีการสืบสวนสอบสวนแล้วพบว่า บัญชีเฟซบุ๊กที่แสดงความเห็นต่อรูปภาพดังกล่าวเป็นเฟซบุ๊กของกุ่ย
อย่างไรก็ตาม กุ่ยให้การสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เนื่องจากตัดสินใจมาจากบ้านแล้วว่า หากต่อสู้คดีจะต้องเสียเวลาในการเดินทางจากบ้านที่อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี มาที่จังหวัดบุรีรัมย์ ในระยะทางไปกลับกว่า 760 กิโลเมตร อยู่อีกหลายครั้ง ทำให้เสียค่าใช้จ่าย และครอบครัวก็เห็นว่าด้วยกุ่ยเป็นผู้ป่วยทางจิตเวช มีลักษณะอาการสมาธิสั้น ไม่สะดวกในการเดินทางที่ต้องใช้ระยะเวลานานหลายชั่วโมงต่อครั้ง จึงปรึกษากันว่าให้กุ่ยรับสารภาพน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หลังกุ่ยเซ็นเอกสารรับทราบข้อหาและพิมพ์ลายนิ้วมือ พนักงานสอบสวนส่งตัวไปที่สำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ในช่วง 13.00 น. จากนั้นเดินทางต่อไปที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างที่รอกระบวนการที่อัยการฟ้องด้วยวาจาและศาลมีคำพิพากษา กุ่ยต้องไปอยู่ในห้องคุมขังใต้ถุนศาล แม้ทนายความจะชี้แจงขออนุญาตตำรวจศาลให้กุ่ยนั่งอยู่บริเวณด้านนอกห้องคุมขังกับครอบครัว แต่ก็ไม่เป็นผล ตำรวจแจ้งว่าคดีนี้เป็น ‘คดีบ้านใหญ่’ จึงไม่สามารถผ่อนปรนให้ได้
กระทั่งเวลา 15.30 น. ผู้พิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์จึงอ่านคำพิพากษาผ่านคอนเฟอเรนซ์ว่า พิพากษาลงโทษปรับ 8,000 บาท จำคุก 30 วัน รับสารภาพลดโทษครึ่งหนึ่ง เหลือปรับ 4,000 บาท จำคุก 15 วัน โทษจำคุกให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี
หลังฟังคำพิพากษา ภัทรพงษ์ วรรณพงษ์ ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ศาลพิพากษาปรับในอัตราที่สูงถึง 8,000 บาท และมีโทษจำคุกด้วย เพราะดูจากพฤติการณ์ของกุ่ย และภาพหลักฐานที่พนักงานสอบสวนนำมาแสดงต่อกุ่ยและทนายนั้น ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นภาพศักดิ์สยาม ชิดชอบ และภาพดังกล่าวนั้นเป็นที่สงสัยว่า ทำให้ศักดิ์สยามเสียหายได้อย่างไร อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับคดีดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณาในกรณีใกล้เคียงกัน ศาลพิพากษาปรับ 5,000 บาท และไม่มีโทษจำคุก การที่ศาลลงโทษปรับถึง 8,000 บาท และจำคุก 30 วัน จึงเป็นที่สงสัยว่า ศาลใช้บรรทัดฐานใดในการพิพากษาคดี
ทนายความกล่าวด้วยว่าหากจำเลยไม่พอใจต่อคำตัดสิน ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน โดยทางครอบครัวกุ่ยแจ้งว่าจะนำเรื่องไปปรึกษากันก่อน เพราะแม้จะอยากสู้คดีต่อแค่ไหน ก็ต้องประเมินอาการโรคทางประสาทของกุ่ยด้วย หากจะต้องเดินทางมาฟังคำพิพากษาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม กุ่ยเสียค่าปรับ 4,000 บาท โดยใช้เงินจากกองทุนราษฎรประสงค์ในการชำระค่าปรับต่อศาล เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมด ครอบครัวกุ่ยจึงเดินทางด้วยรถไฟจากบุรีรัมย์กลับจังหวัดปทุมธานีในช่วงเวลา 17.00 น.
สำหรับกุ่ยปัจจุบันอายุ 24 ปี เรียนจบชั้น ปวช. ด้านการก่อสร้าง อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่คอยดูแลอาการป่วยจิตเวช กุ่ยมีบัตรประจำตัวคนพิการที่ระบุประเภท 4 พิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม ตลอดทั้งวันที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ที่สำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ จนถึงศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างรอการพิจารณาคดี กุ่ยมักขอตัวออกไปทำสมาธิเงียบๆ คนเดียว
พ่อของกุ่ยเล่าว่าเขาเริ่มมีอาการทางจิตตั้งแต่ปี 2562 ในระหว่างที่สมัครไปเป็นทหารเกณฑ์ในค่ายแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยกุ่ยเล่าให้ครอบครัวฟังว่า เขาเคยถูกครูฝึกและรุ่นพี่ทหารเกณฑ์ซ้อมอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งทหารเคยเอากุ่ยไปติดคุกในค่ายทหารแบบไม่มีกำหนด โดยไม่ทราบสาเหตุว่าทำความผิดอะไร ครั้นเวลาผ่านไปราว 3 เดือน กุ่ยหลบหนีออกจากคุกดังกล่าวไปหลบที่บ้านเพื่อน ก่อนโทรบอกครอบครัวให้ไปรับ อย่างไรก็ตามครอบครัวไม่เชื่อว่าเขาสามารถหนีออกจากคุกทหารได้ จึงไปตามหาที่ค่ายก่อนจะพบว่าไม่เจอเขาอยู่ที่นั่น จึงไปหากุ่ยที่บ้านเพื่อนก่อนพาตัวกลับมาค่ายทหาร และขอร้องทหารว่าอย่าทำร้ายร่างกายกุ่ยอีก
พ่อเล่าอีกว่า หลังปลดประจำการณ์ หลายครั้งกุ่ยคิดว่าตัวเองมีครอบครัวแล้ว กุ่ยพยายามออกไปตามหาแฟนสาวและลูก ทั้งที่ชีวิตจริงกุ่ยยังไม่ได้แต่งงานหรือมีแฟน ครอบครัวจึงตัดสินใจพาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา จึงทราบว่าเขามีอาการทางจิตเวช โดยทุกวันนี้กุ่ยยังต้องกินยาจากโรงพยาบาลเพื่อระงับอาการ ปกติกุ่ยจะใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมืองบ้าง และมักจะโพสต์และคอมเมนท์ในเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการคอมเมนท์ที่เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าภาพนั้นเป็นของศักดิ์สยามจริงหรือไม่ จะนำมาสู่การถูกดำเนินคดีครั้งนี้
นอกจากคดีของกุ่ย จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังมีคดีเกี่ยวกับการ ดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา, หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่เกิดจากการโพสต์หรือแสดงความเห็นต่อ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ นักการเมืองพรรคภูมิใจไทย ที่มีฐานเสียงหลักอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ในทำนองว่าเกี่ยวโยงหรือเป็นต้นเหตุให้เกิดคลัสเตอร์แพร่ระบาดของโควิด -19 อีกอย่างน้อย 3 คดี ซึ่งผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมดเป็นประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล การดำเนินคดีดังกล่าวจึงเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนที่หาเช้ากินค่ำในการเดินทางข้ามภาคมารับทราบข้อกล่าวหาหรือต่อสู้คดี ทำให้มี 2 ราย รวมทั้งกุ่ยที่ตัดสินใจให้การรับสารภาพ เพื่อยุติภาระดังกล่าว
ชาคริต เพ็งปาน พ่อเลี้ยงเดี่ยว พ่อค้าตลาดนัดในสมุทรสาคร อายุ 45 ปี ถูกดำเนินคดี ดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 293 หลังคอมเมนท์ด่าศักดิ์สยาม โยงคลัสเตอร์โควิด ช่วงเมษายน 2564 หลังชาคริตให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดบุรีรัมย์พิพากษาลงโทษปรับเป็นเงิน 5,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือปรับ 2,500 บาท
ก็อต (นามสมมติ) กราฟิกดีไซเนอร์ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ถูกดำเนินคดีข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา หลังจากที่แชร์โพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงถึงศักดิ์สยามกับสถานบันเทิง ในช่วงคลัสเตอร์แพร่ระบาดโควิด-19 จากย่านทองหล่อ หลังอัยการยื่นฟ้องคดีในเดือนสิงหาคม ศาลนัดคุ้มครองสิทธิและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564
และคดีของ ซี (นามสมมติ) พนักงานบริษัทในกรุงเทพฯ ที่ถูกดำเนินคดี กรณีมีผู้ใช้ทวิตเตอร์โพสต์ภาพชายคนหนึ่งขณะเที่ยวสถานบันเทิง พร้อมข้อความที่เชื่อมโยงศักดิ์สยาม โดยซีถูกพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 หลังอัยการสั่งฟ้องในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ศาลนัดคุ้มครองสิทธิและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 9 ธันวาคม 2564
นอกจากนี้ยังมีคดีที่ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ถูกดำเนินคดีในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2564 ระบุว่าศักดิ์สยามไปเที่ยวผับย่านทองหล่อ และทําให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมงคลกิตติ์ให้การปฏิเสธ และต้องประกันตัวในชั้นสอบสวน เนื่องจากศาลจังหวัดบุรีรัมย์อนุมัติหมายจับเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2564 โดยตำรวจอ้างว่า มงคลกิตติ์ไม่มาตามหมายเรียก