บันทึกเยี่ยมเบนจา อะปัญ: “แล้วพอสิ่งต่างๆ มันหายไป เลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไร”

วันแรกของการเยี่ยมเบนจา อะปัญ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2564 ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จากกรณีจากการปราศรัยและอ่านแถลงการณ์ที่หน้าบริษัทซิโน-ไทย ในระหว่าง #ม็อบ10สิงหา โดยศาล มีคำสั่ง “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงประกอบกับพฤติการณ์ตามคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน ผู้ต้องหาได้ก่อเหตุเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ผู้ต้องหาเคยถูกฟ้องที่ศาลนี้มาแล้ว อีกทั้งพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา ศาลจึงเห็นควรไม่อนุญาต ยกคำร้อง” ทำให้เบนจาต้องเข้าเรือนจำเป็นครั้งแรกในชีวิต

วันนี้เรามาเยี่ยมเบนจาแต่เช้า แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสามารถเยี่ยมได้ทางไลน์เท่านั้น โดยให้ยื่นเอกสารไว้ เมื่อทางเจ้าหน้าที่พร้อมจะติดต่อกลับไป ซึ่งไม่สามารถแจ้งได้ว่าเป็นเมื่อใด และภายในวันนี้หรือไม่ ฉันได้แต่ย้ำว่าขอเข้าเยี่ยมวันนี้เพื่อชี้แจงเรื่องทางคดี

หลายเดือนที่ผ่านนี้ กรมราชทัณฑ์ไม่อนุญาตให้ญาติเยี่ยมผู้ต้องขังได้เลย ต้องเยี่ยมผ่านระบบไลน์เท่านั้น ซึ่งที่ทัณฑสถานหญิงกลางก็ให้ทนายความเยี่ยมผ่านระบบนี้

เป็นเวลาเกือบ 15.00 น. ที่เจ้าหน้าที่ติดต่อมาผ่านทางไลน์ แม้วันนี้ไม่มีเมฆฝน แต่เบนจาลงมาในชุดคลุมฝนสีแดง ใส่หน้ากากอนามัย และใส่ face shield เรามองเบนจาผ่านกล้องมัวๆ ของเรือนจำ ไม่แน่ใจว่านั่นคือน้ำตาหรือเปล่า “วันศุกร์ไม่ได้เจอใครเลยพี่ หนูเจอคนน้อยมาก เจอทนายแค่แป๊บเดียว แล้วพอสิ่งต่างๆ มันหายไป เลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไร”

เบนจาเล่าว่าเธอรู้สึกแย่ ยิ่งเข้ามาวันแรกๆ (เสาร์ อาทิตย์) ไม่ได้เจอทนายความเลย ทำให้ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร และต้องกักตัวอยู่แต่ในห้องขังร่วมกับคนที่ไม่ได้รู้จักมาก่อน “อยู่ในห้องกันเจ็ดคน ต้องถูกกักตัว ลงมาไม่ได้ ซื้อของไม่ได้ อาหารก็แย่มาก ไม่มีอะไรทำเลย” เธอเล่าถึงสภาพการถูกคุมขังที่เกิดขึ้นทันทีทันใดและทุกอย่างต้องเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

เราถามถึงสิ่งของที่เบนจาต้องการ จึงทราบว่าเธอไม่ได้รับของที่ญาติซื้อผ่านระบบออนไลน์ของเรือนจำให้ทุกวันตั้งแต่วันเสาร์แล้ว ทั้งที่ระบบออนไลน์ก็คิดเงินเรียบร้อยแล้ว แต่ของส่งไม่ถึงมือเบนจา เบนจาไม่ได้ต้องการของอะไรมากแค่น้ำดื่ม นม อาหาร ช้อน “ไม่รู้ว่าจะเยอะไปไหม ถ้าขอทิชชู่เปียก” ฉันเศร้าใจกับคำถามนี้มาก เพราะมันไม่ได้มากมายอะไร สิ่งที่เขาเผชิญอยู่นั้นต่างหากที่มากเกินกว่าบุคคลหนึ่งควรได้รับ เพียงเพราะแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันกษัตริย์

เราอัพเดทให้เบนจาฟังว่าทีมทนายได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล และวันเสาร์ที่ผ่านมา (9 ต.ค.) ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แจ้งว่าทีมทนายจะยื่นประกันอีกครั้ง และเราจึงถามถึงเรื่องการเรียนว่าต้องจัดการอะไรบ้างระหว่างนี้

หลังจากนั้นเราจึงเริ่มเล่าว่าหลังศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันคนในสังคมได้โพสต์ถึงเบนจาเยอะมาก และอ่านข้อความจากเพื่อนๆ เบนจาที่เราเตรียมมาบางส่วนให้ฟัง น้ำเสียงของเบนจาดีขึ้นหลังได้รับกำลังใจจากคนภายนอก เบนจาฝากถึงเพื่อนๆ ธรรมศาสตร์ให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ฝากเพื่อนดูแลต้นไม้ และ “ฝากบอกให้ทุกคนเข้มแข็ง ฝากกำลังใจให้ทุกคน”

เราจบการสนทนากันเพราะเลยเวลาเยี่ยม 15.00 น. มานิดหน่อยแล้ว เบนจาโบกมืออำลา และบอกให้มาเยี่ยมอีก ในสถานการณ์โควิด ทนายความกลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างพวกเขาและเธอ กับโลกภายนอก 

“แล้วพอสิ่งต่างๆ มันหายไป เลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไร” นั่นคงเป็นสิ่งที่เบนจารู้สึก โลกรอบตัวที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน มันก็เหมือนทุกอย่างหายไปหมด ความจริงคดีนี้เกิดเมื่อสองเดือนที่แล้วนี้ ฉันยังจำได้ว่า 9 สิงหาคม 2564 เพนกวินและเพื่อนๆ ต้องเข้าเรือนจำเพราะไม่ได้ประกันคดีสาดสีหน้า บก.ตชด.ภาค 1 จากเหตุการณ์วันที่ 2 สิงหาคม 2564

วันถัดมาฉันยังเล่าเรื่องกิจกรรมคาร์ม็อบที่ไปอ่านแถลงการณ์หน้าซิโน-ไทยให้เพนกวินฟังที่เรือนจำชั่วคราวรังสิตอยู่เลย สองเดือนต่อมาเพนกวินและอีกหลายคนยังอยู่ในเรือนจำ แต่มีเบนจาถูกขังเพิ่ม คดีความของพวกเขาล้วนยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ามีความผิด คดีดำเนินไปอย่างรวดเร็วแม้จะอยู่ในสถานการณ์โควิด และพวกเขาก็ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ต่างจากหลายคดีในสังคมที่ดำเนินไปอย่างเนิบช้า จนหมดอายุความ เรากำลังอยู่ในสังคมแบบไหนกัน

11 ตุลาคม 2564

ทัณฑสถานหญิงกลาง

.

X