วันที่ 17 ก.ย. 64 ที่ศาลจังหวัดกำแพงเพชร นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ อายุ 44 ปี อดีตผู้สมัคร นายก อบจ. กำแพงเพชร ของคณะก้าวหน้า ได้ถูกพนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร ยื่นฟ้องในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดกำแพงเพชร และไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะ ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ในคดีเข้าร่วมกิจกรรมกิจกรรมคาร์ม็อบ #กำแพงเพชรจะไม่ทน เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 64 ก่อนศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์
คดีนี้ อภิสิทธิ์ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.เมืองกำแพงเพชร เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 64 โดยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และพนักงานสอบสวนได้นัดส่งสำนวนคดีให้กับอัยการไปเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา และนัดรายงานตัวต่อมา
ช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. อภิสิทธิ์ ได้เข้ารายงานตัวที่สำนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อฟังคำสั่งทางคดี พร้อมกับนำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ขอให้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี เข้ายื่นด้วย เนื่องจากยืนยันว่าการฟ้องคดีลักษณะนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งข้อเท็จจริง เขาไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรม แต่เป็นเพียงประชาชน 1 ใน 400 คน ตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว อีกทั้งในทางกฎหมายกิจกรรมคาร์ม็อบที่อภิสิทธิ์ถูกกล่าวหา ก็ไม่เข้าองค์ประกอบทางกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโควิด-19 การที่เขาถูกดำเนินคดีนี้เป็นการใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญา เพื่อปิดกั้นการเรียกร้องต่อรัฐบาลถึงปัญหาต่างๆ ของประชาชน
หลังเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมแล้ว อภิสิทธิ์ได้รอการพิจารณาอยู่เกือบ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้กลับมาแจ้งว่าทางอัยการจะมีคำสั่งฟ้องคดีในวันนี้เลย โดยให้อภิสิทธิ์กลับมารายงานตัวอีกครั้งในเวลา 13.00 น. เพื่อส่งตัวฟ้องต่อศาล
อภิสิทธิ์ได้สอบถามเจ้าหน้าที่ว่าสามารถขอเลื่อนการส่งฟ้องต่อศาลออกไปก่อนได้หรือไม่ เนื่องจากทนายความของเขาอยู่ต่างจังหวัด ไม่สามารถเดินทางมาได้ทันที หลังเจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการไปปรึกษาพนักงานอัยการอีกครั้ง ได้กลับมาแจ้งว่าทางอัยการยืนยันว่าจะส่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ในช่วงบ่ายนี้อย่างแน่นอน ทำให้อภิสิทธิ์ต้องประสานงานทนายความ ให้เดินทางมาช่วยเหลือทางคดีอย่างเร่งด่วน
เวลาประมาณ 13.30 น. อภิสิทธิ์ได้เข้ารายงานตัวที่สำนักงานอัยการอีกครั้ง ก่อนถูกนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดกำแพงเพชรทันที โดยเขาได้ถูกนำตัวไปควบคุมไว้ในห้องขังของศาล
ด้านทนายความที่ติดตามมา ได้เข้ายื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณา โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เนื่องจากจำเลยไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนี คดีนี้มีอัตราโทษไม่สูง และจำเลยไม่สามารถไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือกระทำให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อการพิจารณาคดีได้
สำหรับคำฟ้องของพนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรนั้น บรรยายฟ้องโดยสรุปเพียงสั้นว่า
มีการประกาศใช้ข้อกำหนดออกตามความใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 24, ฉบับที่ 25, ฉบับที่ 27 และ ฉบับที่ 28 ประกอบกับคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดกําแพงเพชร โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกําแพงเพชรได้ออกคําสั่งจังหวัดกําแพงเพชรที่ 1860/2564 เรื่อง มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ห้ามจัดกิจการรมที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 100 คนเว้นแต่กรณีได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นกิจกรรมที่ดำเนินโดยพนักงานเจ้าหน้าที่
ระหว่างที่ประกาศคำสั่งเหล่านั้นยังคงมีผลบังคับใช้ จำเลยได้ชักชวน นัดหมาย จัดกิจกรรม “คาร์ม็อบ” ให้บุคคลประมาณ 400 คน มาร่วมขับรถยนต์ประมาณ 80 คัน รถจักรยานยนต์ประมาณ 120 คัน ไปตามถนนสาธารณะ รอบเมืองกำแพงเพชร ซึ่งมีการรวมกลุ่มของกลุ่มบุคคลอย่างหนาแน่น จำนวนมากกว่า 100 คน
ตอนท้ายของคำฟ้อง พนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรยังระบุด้วยว่า “การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา แต่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายในการป้องกันและควบคุมมิให้โรคระบาดแพร่ระบาดออกไปในวงกว้างของจําเลย ขอศาลลงโทษสถานหนัก ส่วนการขอปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลยให้อยู่ในดุลพินิจของศาล”
ก่อนจะลงท้ายคำฟ้อง ด้วยการขอให้ลงโทษจำเลย ในข้อกล่าวฝ่าฝืนข้อกำหนดหลายฉบับที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, คำสั่งจังหวัดกำแพงเพชร และ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ
จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. ศาลจังหวัดกำแพงเพชรได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างการพิจารณาคดี โดยไม่ต้องวางหลักประกัน พร้อมกำหนดนัดพร้อมและสอบถามคำให้การในวันที่ 22 พ.ย. 64 เวลา 9.00 น. ต่อไป
ทั้งนี้ ตามมาตรา 3 (6) ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 นั้น กำหนดให้กฎหมายไม่ใช้บังคับแก่การชุมนุมสาธารณะในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ การสั่งฟ้องของอัยการทั้งในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปพร้อมกับข้อหาเรื่องการไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อเจ้าพนักงาน จึงขัดต่อบทบัญญัติดังกล่าวอย่างชัดเจน