วันที่ 19 ส.ค. 64 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองกำแพงเพชร นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ อายุ 44 ปี อดีตผู้สมัคร นายก อบจ. กำแพงเพชร ของคณะก้าวหน้า ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ในข้อกล่าวหา “ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดกำแพงเพชร โดยจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลเกิน 20 คนโดยไม่ได้รับอนุญาต” กับพ.ต.ท.ไพศาล วรรณชัย สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองกำแพงเพชร จากการร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ #กำแพงเพชรจะไม่ทน เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 64
ก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์ ได้รับหมายเรียกลงวันที่ 7 ส.ค. 64 คดีมี พ.ต.ท.เทวินทร์ นาจารย์ เป็นผู้กล่าวหา โดยเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับหมายเรียกจากกิจกรรมดังกล่าว
.
เวลาประมาณ 9.30 น. นายอภิสิทธิ์ พร้อมด้วยผู้ไว้วางใจและทนายความ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยมีผู้สื่อข่าวประมาณ 5 ราย เดินทางมาติดตามคดี
พ.ต.ท.ไพศาล วรรณชัย ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่ออภิสิทธิ์ โดยมีพฤติการณ์โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 64 นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ ได้จัดให้มีการร่วมกลุ่มกันโดยมีการชักชวนประชาชนทั่วไปผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ราษฎรกำแพงเพชร” โดยมีการจัดกิจกรรมทางการเมืองใช้ชื่อว่า “CAR MOB” ซึ่งมีการรวมกลุ่มกันที่ลานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย สิริจิตอุทยาน มีรถยนต์มาร่วมขบวนประมาณ 80 คัน รถจักรยานยนต์ประมาณ 120 คัน และมีมวลชนประมาณ 400 คน ต่อมานายอภิสิทธิ์ได้กล่าวโจมตีรัฐบาล เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็ได้กล่าวขอบคุณประชาชนที่เข้าร่วมขบวน โดยไม่มีการแจ้งการชุมนุมให้แก่ผู้รับแจ้งทราบก่อนการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง
ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐาน “จัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลมากกว่า 100 คน โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดกำแพงเพชรที่ 1860/2564 ประกอบ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงก่อนเริ่มการชุมนุม”
นายอภิสิทธิ์ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะขอให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือเพิ่มเติมภายในวันที่ 3 ก.ย. 64 ในเบื้องต้นนายอภิสิทธิ์ได้ยืนยันกับพนักงานสอบสวนว่าตนเองไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพียงแต่เข้าร่วมในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับจุดประสงค์ของกิจกรรม เช่นเดียวกับประชาชนอีก 400 คน ที่เข้าร่วมกิจกรรมเดียวกัน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะขอให้การมาเป็นหนังสือต่อไป
หลังทำการแจ้งข้อกล่าวหา สอบปากคำ และพิมพ์ลายนิ้วมือนายภิสิทธิ์เสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวเขาให้เดินทางกลับ โดยระบุว่าไม่มีเหตุที่จะต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เดินทางมาพบตามหมายเรียก
ทั้งนี้น่าสังเกตว่าในคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาต่ออภิสิทธิ์ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไปพร้อมกับ ข้อหาเรื่องการไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะต่อเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ทั้งที่ตามมาตรา 3 (6) ของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ กำหนดให้กฎหมายไม่ใช้บังคับแก่การชุมนุมสาธารณะในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
.