แอดมินเพจ “ราษฎรฝั่งธน” ถูกตำรวจบุกบ้าน ให้โพสต์ยกเลิกจัด “คาร์ม็อบ” พร้อมจับตาเฝ้าไม่ให้ออกจากบ้านจนถึงเย็น

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 นายเอ (นามสมมติ) วัย 25 ปี หนึ่งในผู้ดูแลเพจเฟซบุ๊ก “ราษฎรฝั่งธน” ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบรวม 7 นาย เดินทางมาพบที่บ้านพักย่านอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อบังคับข่มขู่ให้โพสต์ข้อความว่า “ยกเลิกกิจกรรม 15.30 น.” ลงบนเพจเฟซบุ๊กราษฎรฝั่งธน ก่อนถึงเวลานัดหมายเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น หลังทางเพจประกาศจัดกิจกรรมชื่อ ‘พี่น้องฝั่งธนคาร์ม็อบบีบแตรไล่เผด็จการ’ โดยจัดร่วมกับกลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 28 ก.ค. 64 เวลา 15.30 น. บริเวณปากทางสาย 4 เพชรเกษม ขาเข้ากรุงเทพฯ และจะเคลื่อนขบวนไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย   

ภายหลังจากโพสต์ยกเลิกกิจกรรมดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป หลายคนเกิดความสงสัยถึงสาเหตุในการยกเลิกการจัดงานอย่างกะทันหัน แต่กระนั้นก็ยังคงมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบ คาดว่าไม่ต่ำกว่า 100 คน โดยขบวนเริ่มตั้งต้นที่บริเวณปากทางสาย 4 เพชรเกษม ขาเข้ากรุงเทพฯ และเคลื่อนขบวนไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อนจะสิ้นสุดกิจกรรมในเวลาประมาณ 17.40 น. ท่ามกลางการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งเส้นทางการเคลื่อนขบวน โดยเฉพาะบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ถูกจัดกำลังเฝ้าไว้เป็นพิเศษ 

.

ตำรวจจี้โพสต์ให้แอดมินเพจประกาศยกเลิกกิจกรรมก่อนถึงเวลานัดหมายเพียง 1 ชั่วโมง

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เวลาประมาณ 12.00 น. ตำรวจ 1 นาย ซึ่งมีบ้านตั้งอยู่ใกล้กับบ้านของนายเอ เดินมาถามหาเอที่หน้าบ้าน แต่ขณะนั้นเจ้าตัวยังกลับไม่ถึงบ้าน เมื่อเขากลับถึงบ้านประมาณ 13.20 น. ยายจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทราบ และพาไปหาตำรวจนายดังกล่าว ซึ่งมีบ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน 

ตำรวจนายดังกล่าวแนะนำตัวเองว่าทำงานในอำเภอกระทุ่มแบน สาเหตุที่ไปตามตัวเอถึงบ้าน เพราะเจ้านายสั่งให้มาถ่ายรูปคู่ โดยทราบว่าเอ คือแกนนำกลุ่มราษฎรฝั่งธนที่ทำการนัดหมายกิจกรรม ‘พี่น้องฝั่งธนคาร์ม็อบบีบแตรไล่เผด็จการ’ 

เอได้ปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นแกนนำ และยินยอมให้ตำรวจถ่ายรูปคู่กับตน โดยตำรวจชี้แจงเพิ่มว่า “ไม่มีอะไร เป็นการถ่ายรูปส่งให้นาย เพื่อยืนยันว่าเอพักอยู่ที่นี่จริงๆ เรื่องจะได้จบ” จากนั้นเอจึงเดินกลับมายังบ้านของตัวเอง

13.50 น. เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที ตำรวจคนเดิมเดินมาหาเอที่หน้าบ้านอีกครั้ง และแจ้งว่า “เดี๋ยวนายจะเข้ามาคุยด้วยเรื่องที่เอเป็นแกนนำ” 

เอจึงยืนรอกับนายตำรวจท่านนั้น ราว 10 นาทีต่อมา ได้มีตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 6 นาย เดินทางมาถึงด้วยรถยนต์ส่วนตัว 3 คัน โดยตำรวจ 3 นาย นั่งรออยู่บนรถ ส่วนอีก 3 นาย เดินลงมาพบเอ

ทั้งหมดยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าที่พักของเอ โดยมีคุณยายอยู่ด้วย เมื่อตำรวจมาถึงไม่มีการแนะนำตัวหรือแสดงบัตรประจำตัวใดๆ ทั้งสิ้น และได้สอบถามเอว่า “วันนี้จัดกิจกรรมคาร์ม็อบที่บริเวณปากทางสาย 4 เพชรเกษมใช่ไหม” 

เอปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรม เป็นเพียงแค่ผู้แชร์โพสต์นัดหมายกิจกรรมดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวเท่านั้น แต่ตำรวจตอบกลับว่าพวกเขามีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่านายเอเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก และเป็นแกนนำกลุ่มราษฎรธนบุรี

ขณะนั้นตำรวจได้ยืนประชิดตัวเอทั้งสองฝั่ง โดยมีตำรวจนายหนึ่งยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองเพื่อบันทึกวิดีโอ และอีกนายคอยถ่ายภาพนิ่งตลอดเวลาที่ทำการพูดคุยกัน โดยอ้างว่าถ่ายเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการทำภารกิจ 

จากนั้นตำรวจได้เจรจาขอให้เอลบโพสต์ที่แชร์นัดหมายกิจกรรม จากเพจราษฎรฝั่งธนในเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขา เอได้ยินยอมลบการแชร์โพสต์ดังกล่าว จากนั้นตำรวจได้สั่งอีกว่าให้โพสต์ข้อความว่า “ยกเลิกกิจกรรม 15.30 น.” ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวของเอ เขาก็ได้ยินยอมโพสต์ข้อความดังกล่าวตามคำสั่งของตำรวจ

ต่อมาตำรวจยังได้สั่งให้เอใช้บัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัวของตัวเองไปคอมเมนท์ใต้โพสต์นัดหมายกิจกรรมคาร์ม็อบในเพจราษฎรฝั่งธนอีกครั้ง ว่า “ยกเลิกกิจกรรม 15.30 น.” แต่นายเอตัดสินใจเลือกทำการลบโพสต์ดังกล่าวแทน เมื่อตำรวจเห็นดังนั้น จึงพูดทำนองว่า “จะลบทำไม บอกว่าให้คอมเมนท์ใต้โพสต์ ไม่ใช่ให้ลบ ไม่น่าลบเลย” 

เมื่อเห็นว่าเอลบโพสต์ดังกล่าวได้ ตำรวจจึงมั่นใจว่านายเอเป็นแอดมินเพจอย่างแน่นอน จึงบังคับให้นายเอโพสต์ข้อความลงในเพจเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า “ยกเลิกกิจกรรม 15.30 น.” 

.

.

จากนั้นตำรวจได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้นายเอเดินทางไปสถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบนด้วยกัน เพื่อลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานไว้ แต่นายเอไม่ยินยอม ด้านตำรวจจึงต่อรองอีกว่า ไม่อย่างงั้นจะเอาเอกสารบันทึกประจำวันมาให้เซ็นถึงที่บ้าน 

“ทำแบบนี้มันเกินไปไหม ผมจะไปไหนไม่ได้เลยเหรอ” นายเอต่อว่าตำรวจ ท้ายที่สุดนายเอไม่ได้ถูกพาตัวไป สภ.กระทุ่มแบน แต่อย่างใด แต่ตำรวจสั่งห้ามว่า “ห้ามออกไปไหนก่อนเวลา 6 โมงเย็นเด็ดขาด” 

“ปกติผมก็ไม่กล้าไปไหนอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะโดนทำอะไรหรือเปล่า ทุกวันนี้ก็ต้องหวาดระแวงโรคโควิดอยู่แล้ว ยังจะต้องมาหวาดระแวงกับตำรวจอีก” นายเอพูดตัดพ้อ

จากนั้นตำรวจได้ถ่ายรูปร่วมกับเอและยาย พร้อมทั้งย้ำว่า “ให้เลิกยุ่งกับม็อบ เพราะช่วงนี้อันตราย โรคก็เยอะ เป็นห่วงว่าถ้ายังทำกิจกรรมต่อไป จะถูกดำเนินคดีได้” ก่อนทั้งหมดเดินทางกลับ นายตำรวจที่พักอยู่ใกล้กับบ้านของเอถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่จับตาเฝ้าเอไม่ให้เดินทางไปไหน จนกว่าจะถึงเวลา 18.00 น. ส่วนตำรวจอีก 6 นายเดินทางกลับไปในเวลาประมาณ 14.30 น.

ตำรวจคนดังกล่าวที่อยู่บ้านใกล้เคียงกับนายเอ นั่งอยู่หน้าบ้านของตนเองตลอดเวลาเพื่อเฝ้าจับตาดู จนในช่วงเย็นไปแล้ว เอได้ตัดสินใจเดินทางไปลงบันทึกประจำวันถึงเหตุการณ์ที่ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้ที่ สภ.กระทุ่มแบน

เอเล่าว่า เป็นห่วงยายและคนอื่นๆ ในครอบครัวที่รู้สึกกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัยจากเหตุการณ์นี้ หากเกิดอะไรขึ้นคงไม่มีใครช่วยเหลือทัน เพราะที่บ้านนี้มีแค่ตายายที่อายุมากอยู่อาศัยกับหลานวัย 10 และ 5 ขวบ ด้านนายเอนานๆ ครั้งถึงจะกลับบ้าน

“เป็นห่วงคุณยายมาก เพราะว่าผมไม่ค่อยมีเวลากลับบ้านมาหาเขา เขาก็อายุมากแล้ว คิดว่าตำรวจอาจจะมาตามหาที่บ้านอีกอย่างแน่นอน และครั้งต่อไปกลัวว่าตำรวจอาจจะใช้ไม้แข็งมากขึ้น” 

ด้านการเคลื่อนไหวทางการเมือง นายเอกล่าวว่ายังคงจะสู้ต่อไป “ผมอยากให้ประชาธิปไตยจริงๆ กลับคืนมาสู่ประเทศ ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน และไม่ต้องโดนตำรวจรังแกแบบนี้”  

.

X