ฟ้อง ม.112! “มีชัย” ชาวจันทบุรี เหตุโพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็น-ตั้งคำถาม กษัตริย์กับภาษีประชาชน

1 ก.ค. 64 – ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ  “มีชัย” (สงวนนามสกุล) ชายอายุ 50 ปี เดินทางจากจังหวัดจันทบุรีเข้ารายงานตัวต่อศาลตามนัด หลังได้รับการประกันตัวในชั้นฝากขัง ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นประมาทกษัตริย์” และนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับความมั่นคง จากการโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวรวม 2 ข้อความ ซึ่งมีเนื้อหาตั้งคำถามต่อการใช้ภาษีประชาชนของกษัตริย์ไทย 

     >> ตร.สภ.บางแก้วแจ้ง “112-พ.ร.บ.คอมฯ” อีก! กล่าวหา ชายเมืองจันท์ฯ โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์สถาบันกษัตริย์

ก่อนได้รับแจ้งว่า พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 64 ในฐานความผิด “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ”, นำเข้าและเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับความมั่นคง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 

จากนั้นมีชัยได้ถูกนำตัวไปที่ห้องเวรชี้ ผู้พิพากษาได้สอบถามคำให้การเบื้องต้น มีชัยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลจึงกำหนดวันนัดคุ้มครองสิทธิ ในวันที่ 29 ก.ย. 64 เวลา 09.00 น. และนัดพร้อมในวันที่ 18 ต.ค. 64 เวลา 09.00 น. 

ต่อมา ทนายได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยใช้หลักทรัพย์เดิมที่เคยวางเป็นหลักประกัน ขณะมีชัยถูกนำตัวมาฝากขังในชั้นสอบสวน ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี ในเวลาประมาณ 16.30 น. 

ก่อนหน้านี้ มีชัยเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สภ.บางแก้ว เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 64 และถูกนำตัวไปขออำนาจศาลจังหวัดสมุทรปราการฝากขังในชั้นสอบสวน ก่อนศาลให้ประกันในวงเงิน 150,000 บาท 

มีชัยเปิดเผยว่า เมื่อปี 2561 ตนเคยถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจำนวนกว่า 10 นาย มาหาที่บ้านในจังหวัดจันทบุรี และขอให้เซ็นข้อตกลงไม่ให้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อีก ก่อนที่อีก 3 ปีถัดมา ตนจะได้รับหมายเรียกพยานจาก สภ.บางแก้ว และหมายเรียกผู้ต้องหา ตามลำดับ โดยมี นายศิวพันธุ์​ มานิตย์กุล เป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้ 

ทั้งนี้ หลังรับทราบข้อกล่าวหา ประมาณ 2 เดือนถัดมา พนักงานสอบสวนพยายามนัดหมายมีชัยเพื่อมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.บางแก้ว แต่เนื่องจากมีชัยนั้นติดภารกิจ ไม่สามารถเดินทางไปที่ สภ.บางแก้วได้ พนักงานสอบสวนจึงเดินทางไปสอบปากคำและแจ้งข้อหาเพิ่มเติมมีชัยที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 64 โดยระหว่างการสอบปากคำไม่มีทนายความเข้าร่วมด้วย และไม่ได้ให้เอกสารบันทึกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมไว้เป็นหลักฐาน 

มีชัยเผยว่า พนักงานสอบสวนระบุถึงเหตุผลในการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม เนื่องจากพนักงานอัยการตีกลับสำนวนการสอบสวน สำหรับการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อความที่ถูกกล่าวหา จากเดิมที่พนักงานสอบสวนไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ข้อความที่มีชัยได้เผยแพร่ลงเฟซบุ๊ก ข้อความใดที่เข้าข่ายองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112  มีเพียงแค่รายชื่อของผู้ใช้เฟซบุ๊กต่างๆ ที่นายศิวพันธุ์นำมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนเท่านั้น

.

คำฟ้องกล่าวหาตั้งคำถามกษัตริย์ให้อะไรประชาชนบ้าง เข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน

คำฟ้องของ  ร.ต.อ.ชูมิตร ชุณหวาณิชพิทักษ์ พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ บรรยายโดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 63 มีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นของจำเลย ดูหมิ่นและหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นความผิดตามประทวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ลักษณะ 1 หมวด 1 อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โดยจำเลยได้พิมพ์และโพสต์ข้อความว่า

  • “ความเห็นส่วนตัว สถาบันกษัตริย์ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษี ปชช. เพราะกษัตริย์มีธุรกิจผูกขาดอยู่มากมาย” 
  • “ปชช.มอบเงินให้ระบอบกษัตริย์ 2-3 หมื่นล้านต่อปี กษัตริย์มอบอะไรให้กับ ปชช.” ???”

ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่าข้อความข้างต้นมีความหมายเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น รัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนไม่เคารพสักการะ โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ข้อความดังกล่าวถือว่าเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ใส่ร้าย ดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และสถาบันกษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศ โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนทั่วไปที่อ่านข้อความดังกล่าวมีความรู้สึกดูหมิ่น เกลียดชัง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย และทำให้ในหลวงรัชกาลที่ 10 ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง 

อัยการระบุอีกว่า การกระทำของมีชัยถือเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ, นำเข้าและเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 

สำหรับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี พนักงานอัยการไม่ได้คัดค้าน ระบุว่า ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของศาล 

“ผมโทรถามว่าศาลจะเลื่อนนัดไหม เพราะสมุทรปราการเป็นพื้นที่เสี่ยง แต่เขาไม่เลื่อน ถ้าผมเอาเชื้อกลับไปติดที่บ้าน งานใหญ่อีก”

“[ก่อนมารายงานตัวที่ศาลวันที่ 1 ก.ค. 64] ผมโทรถามเจ้าหน้าที่ศาลล่วงหน้าแล้วว่าจะเลื่อนนัดไหม เพราะสมุทรปราการเป็นพื้นที่เสี่ยง แต่เขาไม่เลื่อน ผมก็ต้องมารายงานตัวตามปกติ พอผมกลับไปที่จันทบุรี ผมต้องกักตัว 14 วัน เพราะเดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง ถ้าผมเอาเชื้อกลับไปที่ต่างจังหวัด งานใหญ่อีก”

มีชัยเผย หลังเช้าวันที่ 1 ก.ค. เขาต้องขับรถจากจังหวัดจันทบุรีตั้งแต่ตีสามครึ่ง เพื่อมารายงานตัวต่อศาลตามที่ศาลนัด ขณะที่พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีในวันก่อนหน้านั้น ซึ่งครบกำหนดฝากขังในชั้นสอบสวนเป็นเวลา 84 วัน 

“ตอนแรกผมคิดว่าแค่ครึ่งวันเช้าก็เสร็จ ยังบอกลูกอยู่เลยว่า มาแป๊ปเดียวเดี๋ยวก็กลับ เพราะผมไม่รู้ว่าพนักงานอัยการเขาจะส่งฟ้องเลย ที่ไหนได้ กว่าจะเสร็จกระบวนการก็เย็น ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่ได้ประกันแล้ว เพราะผมได้ออกจากห้องเวรชี้พร้อมกับกลุ่มที่ต้องเข้าเรือนจำเลย”

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่มีชัยต้องกลับเข้าห้องเวรชี้ ครั้งแรกเมื่อเขาถูกนำตัวมาขออำนาจศาลฝากขังในชั้นสอบสวน ส่วนครั้งนี้หลังเขาถูกยื่นฟ้องคดี และต้องรอว่าศาลจะอนุญาตให้เขาออกมาต่อสู้คดีในโลกภายนอกหรือไม่ 

“การกลับมาเข้าห้องเวรชี้ครั้งนี้เหมือนครั้งก่อน ในห้องมีเพียงแก้วน้ำใบเดียวเวียนกันใช้ระหว่างคนในห้องเวรชี้ เจลล้างมือก็มีไม่เพียงพอ มีแค่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะให้เฉพาะพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนผู้ต้องขังหรือคนข้างในนั้น ไม่มีอะไรที่ช่วยป้องกันโรคเลย เหมือนเป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง”

“ก่อนเข้าห้อง ผมก็ต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าเข้าไป ผมไม่รู้ว่าทำเพราะรักษาความสะอาดหรือเหตุผลอะไรกันแน่ เวลาได้ประกัน ต้องใส่รองเท้ากลับมา ก็ไม่รู้จะไปล้างเท้าที่ไหน” 

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีชัยยังคงต้องเดินทางไปกลับระหว่างจังหวัดจันทบุรีและสมุทรปราการ หลังจากถูกดำเนินคดีในท้องที่ สภ.บางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ เพียงเพราะมีประชาชนเป็นผู้นำเรื่องไปแจ้งความให้ตำรวจในท้องที่นี้ ทำให้มีชัยต้องเผชิ​ญภาระทางคดีที่เพิ่มขึ้น และแบกรับความเสี่ยงจากโรคระบาดจากการเดินทางมาตามนัดในกระบวนการ “ยุติธรรม”

“การเดินทางมาศาลถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เรา คนที่บ้าน และเจ้าหน้าที่ศาลอีก ถ้ากลับบ้านมาแล้วติดเชื้อโควิดมาก็ลำบาก”

สำหรับคดีของมีชัยเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 2 จากท้องที่ สภ.บางแก้ว ที่พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการยื่นฟ้องคดีต่อศาล หลังยื่นฟ้อง “ธีรวัช” ในข้อหาเดียวกันนี้ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 64 ซึ่งทั้งสองคดีมีศิวพันธุ์ มานิตย์กุล เป็นผู้ไปร้องทุกข์เอาไว้ที่ สภ.บางแก้ว ตั้งแต่เมื่อพฤษภาคม 2563 โดยมีข้อมูลว่า ศิวพันธุ์เป็นผู้แจ้งความให้ตำรวจ สภ.บางแก้ว ดำเนินคดีประชาชนในข้อหาตามมาตรา 112 รวมอย่างน้อย 7 ราย แล้ว 

คดีนี้ยังเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 23 ที่ฟ้องขึ้นสู่ศาล หลังมีการนำมาตรา 112 มาใช้ดำเนินคดีต่อประชาชนที่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกอีกครั้ง ภายหลังการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในห้วงครึ่งปีหลังของปี 2563 เป็นต้นมา โดยยังมีอีกถึง 75 คดีที่ยังอยู่ในการดำเนินการของพนักงานสอบสวนหรืออัยการ

     >> สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ปี 2563-64

X