16 เมษายน 2564
วันนี้ทนายความได้เข้าเยี่ยมรุ้ง ปนัสยา ที่ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี มาตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร ครั้งล่าสุดที่ได้พบเธอคือเมื่อวันที่ 8 เมษายน ซึ่งศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐานในคดีชุมนุม 19-20 ก.ย. 63 และได้เข้าเยี่ยมที่ทัณฑสถานหญิงเมื่อวันที่ 9 เมษายน ก่อนทางเรือนจำจะปิดรับการเยี่ยมของทนายเนื่องด้วยวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา
รวมเป็นเวลาหกวันที่ไม่ได้พบรุ้ง ขณะที่รุ้งยังคงอดอาหารเป็นเพื่อนกับเพนกวิน เพื่อประท้วงกระบวนการที่ไม่ยุติธรรมต่อเธอและเพื่อนๆ มาเป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์แล้ว
เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา รุ้งและจำเลยในคดี รวม 21 คน ได้ขอถอนทนายความเพื่อปฏิเสธการเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีของศาลที่ลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของจำเลย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว สิทธิที่ได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลพิพากษาถึงที่สุด สิทธิและโอกาสในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ สิทธิที่จะปรึกษาและพูดคุยกับทนายความได้เป็นการส่วนตัวและเป็นความลับ และการควบคุมกีดกันไม่ให้ครอบครัว ญาติ เพื่อน ประชาชนเข้าร่วมติดตามการพิจารณาคดีที่ต้องทำโดยเปิดเผย
ทุกคนเผชิญกับมาตรการจำกัดสิทธิที่เข้มข้นและเกินกว่าเหตุที่บังคับกับฝั่งจำเลย ทั้งการยึดโทรศัพท์มือถือทนายจำเลย และการคุกคามการทำงานของทนายความจนไม่สามารถรักษาประโยชน์สูงสุดของลูกความได้อย่างเต็มที่
เรื่องราวมากมายและระยะเวลาหลายวันที่ไม่ได้คุยกัน ทำให้วันนี้ทนายความกับรุ้งมีเรื่องพูดคุยกันค่อนข้างมาก ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าในการสนทนา ปรึกษา และพูดคุยกันในห้องเยี่ยม
รุ้งยังคงไม่กินข้าว ดื่มเพียงน้ำเปล่า นม น้ำหวาน และน้ำผลไม้ เธอยังยิ้มได้ และบอกว่ายังโอเคอยู่ ไม่มีอะไร ค่าความดันและน้ำตาลยังปกติ
เธอถามทนายถึงเรื่องผลการประกันตัวของหมอลำแบงค์ ไผ่ และพี่สมยศ เมื่อวันศุกร์ที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา เธอรอฟังข่าวในวันนั้น เพราะทนายบอกไว้ว่าศาลอาญานัดฟังผลประกันในเวลา 11.00 น. แต่ปรากฎว่าศาลเลื่อนอ่านคำสั่งไปถึงสองครั้ง จากเวลา 11.00 น. ไปเป็น 14.00 น. และเลื่อนไปอ่านคำสั่งเวลา 15.00 น. ซึ่งหมดเวลาเยี่ยม ทำให้ทนายความยังไม่สามารถแจ้งข่าวให้เธอทราบว่าคนที่ได้ประกันตัวมีเพียงหมอลำแบงค์ ซึ่งมีเงื่อนไขตามที่แถลงศาล
ขณะที่ไผ่และพี่สมยศไม่ได้รับการประกันตัว โดยศาลอ้างเหตุที่จำเลยและทนายความไม่ลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา ทำให้ศาลไม่เชื่อว่าไผ่และพี่สมยศจะปฏิบัติตามเงื่อนไขศาล รุ้งผิดหวังเมื่อได้ฟังเหตุผลที่ศาลใช้ไม่ให้ประกัน และเธอก็เดาได้ว่าผลประกันของตัวเองและคนอื่นๆ คือ “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่ง” เช่นเดิม
ทนายยังเล่าถึงกิจกรรมของประชาชนข้างนอกที่ยังดำเนินอยู่ในช่วงหยุดเทศกาลสงกรานต์ เช่น กิจกรรม #ยืนหยุดขัง112นาที หน้าศาลฎีกา ที่เริ่มจากคนหลักสิบเพิ่มเป็นร้อย และล่าสุดมีคนเข้าร่วมกว่าสี่ร้อยคน นอกจากนั้น กลุ่มคุณแม่ หรือ “ราษมัม” ก็ร่วมทำกิจกรรมด้วย โดยจะมีการยืน 112 นาที ทุกวันเสาร์ ในต่างจังหวัดก็เริ่มมีกิจกรรมลักษณะเดียวกัน เช่น ที่เชียงใหม่ มีอาจารย์ นักกิจกรรม และประชาชน ร่วมยืน 112 นาที
ทนายเล่ากรณีคุณบาส มงคล นักกิจกรรมจากเชียงราย ที่ถูกจับระหว่างอดอาหารที่หน้าศาลอาญาเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำราษฎรที่ถูกคุมขัง ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงราย ข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แต่ไม่ทันได้แจ้งเธอว่าศาลจังหวัดเชียงรายอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว เนื่องจากคำสั่งออกมาภายหลังการเข้าเยี่ยม
ทนายส่งต่อข้อความจากครอบครัว เพื่อนๆ และคนที่ส่งข้อความผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก โดยเล่าเรื่องแคมเปญ #เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ ให้คนส่งจดหมายและข้อความถึงเพนกวินและรุ้ง เพราะห่วงใยที่ยังอดอาหารประท้วงในเรือนจำ และอยากให้กลับมากินอาหาร
ในเวลาเพียงข้ามคืน มีคนส่งข้อความถึงรุ้งและเพนกวินผ่านทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์มากว่า 50,000 ฉบับ รุ้งมีสีหน้าดีใจ ตื้นตัน ยิ้มกว้าง และพูดว่า “ดีใจจังที่ทุกคนยังไม่ลืมเรา”
จากนั้นรุ้งบอกว่า “มันไม่ใช่ว่าเราไม่อยากกินข้าวนะ คนที่รู้จักเรา รู้ว่าเราเป็น foodie ชอบกินอาหารมากแค่ไหน ทั้งเราและเพนกวิน ถ้ามีเวลาว่างจะตระเวนหาร้านอร่อยกินกัน เวลาไปทำงานก็เสาะหาร้านประจำไว้เพื่อกินอาหารอร่อย
“แต่เรื่องที่นำมาสู่ตอนนี้ ก็เพราะเราไม่ได้รับความเป็นธรรม ตั้งแต่ไม่ได้รับสิทธิประกันตัว ทั้งที่เรายังไม่ถูกตัดสินว่าผิด และต่อมาเราขอเพียงเรื่องพื้นฐาน คือขอพื้นที่คุยกับทนายความของเรา ขอพื้นที่ให้ได้คุยกันระหว่างจำเลยคนอื่นๆ ทั้งที่ถูกขังและได้ประกันตัวในศาล
“วันนั้น (8 เม.ย. 64) เราขอศาล ขอพื้นที่ ขอห้องคุ้มครองสิทธิเพื่อคุยกับเพื่อนจำเลยคนอื่นๆ ที่ถูกขัง ตอนแรกศาลบอกว่าจะให้ แต่สรุปแล้วไม่ให้ ให้เราคุยกันในห้องพิจารณาคดีระหว่างกระบวนการตรวจพยานหลักฐาน ซึ่งเราก็ไม่มีสมาธิที่จะคุยกันมาก เพราะเราก็อยากจะฟังว่าพยานที่อัยการจะนำสืบมีใคร มีอะไรบ้าง การคุยกันในนั้นก็ลำบาก รอบๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คอยคุมเหมือนเดิม
“เราขอแค่โอกาสในการสู้คดีอย่างเต็มที่ ศาลเคยพูดเองว่าจะช่วยให้มีโอกาสสู้คดีได้อย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายศาลก็ไม่ให้ ศาลกลับมาเข้มงวดกับเรา ไม่ให้ญาติเข้า ไม่มีผู้สังเกตการณ์คดี สื่อ และประชาชนทั่วไป แล้วจะมีการตั้งเรื่องละเมิดอำนาจศาลกับจำเลยในคดีคนหนึ่ง
“จริงๆ เราไม่ได้อยากถอนทนายเราหรอก แต่ที่ต้องทำ เพราะโดนบีบทุกทางจริงๆ ถ้าให้การดำเนินคดีเป็นไปแบบนี้ต่อ เรามีแต่เสียกับเสีย เค้าได้กับได้ เวลาคุยในเรือนจำ เราก็ไม่รู้ว่าเราคุยได้อย่างปลอดภัยและส่วนตัวมากน้อยแค่ไหน หลายเรื่องเราก็อยากจะคุยกับทนายความอย่างเป็นส่วนตัว เราก็เลยหวังว่าศาลจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่ศาลก็ให้เราไม่ได้
“ถ้าสิทธิของลูกความและทนายความถูกลิดรอนขนาดนี้ เราถูกบีบถูกจำกัดขนาดนี้ มันก็ไปต่อไม่ได้ เราขอแค่นั้นขอกระบวนการที่มันเป็นธรรมเท่าเทียมที่พอจะไปต่อได้”
สุดท้าย รุ้งได้ฝากข้อความขอบคุณทุกคนที่ส่งข้อความให้กำลังใจ ให้การสนับสนุน และความห่วงใยสุขภาพเธอและเพนกวิน ที่ยังคงอดอาหารเพื่อประท้วงกระบวนการที่เธอเรียกว่า “ความอยุติธรรม” อยู่ต่อไป
อ่านบันทึกเยี่ยมรุ้งและบันทึกเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 64 เพิ่มเติม
บันทึกสังเกตการณ์ 16 ชั่วโมง ก่อน “ราษฎร” 21 คน ประกาศถอนทนายความคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร
บันทึกเยี่ยมรุ้ง ปนัสยา: เหตุที่ใช้ทัณฑ์ทรมานตนเอง ในการทดลองความจริง
บันทึกทนายความ: สาย “รุ้ง” ยังเฉิดฉายแม้ในวันที่โลกไร้แสง
บันทึก 2 ทนายความ: “ยืนทระนงองอาจ เมื่อเบื้องหน้ายังมีหวัง” รุ้ง ปนัสยา กับการถูกคุมขังอีกครั้ง