หลังจากกลุ่ม “บุรีรัมย์ Noเผด็จการ” ประกาศจัดกิจกรรม “ชาวบุรีรัมย์ทวงคืนประชาธิปไตย” ในวันที่ 3 เมษายน 2564 ที่ศาลากลางเก่าจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อต้องการเรียกร้องบรรยากาศเสรีภาพทางการเมืองของจังหวัดบุรีรัมย์กลับมา พร้อมกับแสดงจุดยืนปล่อยนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังในเรือนจำทั่วประเทศขณะนี้
แต่แล้วในช่วงเช้าของวันที่ 3 เมษายน 2564 “กันต์” (นามสมมติ) เยาวชนอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดงาน ให้ข้อมูลว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.หนองกี่ เดินทางไปที่บ้านสองนาย เพื่อสอบถามว่าวันนี้จะไปไหน ไปร่วมกิจกรรมหรือไม่ เมื่อถามกลับว่าตำรวจมาด้วยเหตุใด ตำรวจอ้างว่าแค่มาดูแลความปลอดภัย จากนั้นมีการถ่ายภาพแล้วก็ขับรถออกไปจากบริเวณบ้าน แต่ระหว่างที่กันต์เดินทางไปที่ท่ารถเพื่อต่อรถเข้าตัวจังหวัด ก็สังเกตเห็นว่ามีตำรวจสองนายนั้น ขับรถตามมาจนถึงท่ารถ
กระทั่งเมื่อใกล้เวลาเริ่มงานที่ศาลากลางหลังเก่า จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่เวลา 17.00 น. ปรากฏเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบร่วม 40-50 นาย อยู่รอบบริเวณจัดงาน และที่ทางเข้าศาลากลางหลังเก่า เจ้าหน้าที่มีการปิดทางเข้าและยังค้นตัวประชาชนที่จะผ่านเข้าออกบริเวณนั้นด้วย
ทำให้กันต์ ตัวแทนกลุ่ม “บุรีรัมย์ Noเผด็จการ” และกลุ่ม “Protect Freedom” ที่เดินทางจากกรุงเทพฯ มาดูแลความปลอดภัยในที่ชุมนุม ประเมินว่าวันนี้จะเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรม เหลือเพียงแค่ชูป้ายปล่อยนักโทษทางการเมืองที่ถูกคุมขังในขณะนี้ และชูป้ายรำลึกถึงนักโทษการเมืองในอดีตที่จากไป
โดยความตั้งใจแรกกิจกรรม “ชาวบุรีรัมย์ทวงคืนประชาธิปไตย” จะมีการเดินจากศาลากลางเก่าจังหวัดบุรีรัมย์ไปที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจังหวัดบุรีรัมย์ที่ถูกรื้อทิ้ง มีระยะห่างกันราว 150 เมตร และจะกลับมาทำเวทีปราศรัยที่ศาลากลางเก่า
อย่างไรก็ดี การชูป้ายดังกล่าว กลุ่ม “บุรีรัมย์ Noเผด็จการ” และประชาชนชาวบุรีรัมย์ราวสิบคน ใช้เวลาทำกิจกรรมราว 10 นาที จึงเริ่มมีการแยกย้าย โดยระหว่างทำกิจกรรมมีเจ้าหน้าที่คอยถ่ายภาพอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้กลุ่ม Protect Freedom ที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมจากกรุงเทพ เพื่อร่วมดูแลความปลอดภัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ยังไม่ทันเริ่มงาน มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบเข้ามาพูดคุยเเละถ่ายคลิปถ่ายภาพไป กระทั่งก็ผู้จัดยอมถอยโดยได้ยกเลิกกิจกรรม จะทำแค่การชูป้ายบุคคลที่หายเเละเพื่อนๆ ที่โดนจับแทน เเละได้บอกตำรวจว่ากำลังจะเดินทางกลับกรุงเทพ แต่ก็ได้มีรถต้องสงสัยหลายคันขับตามคันผม กับคันของเพื่อนเราอีกคน “
กันต์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังเสร็จสิ้นกิจกรรม ทางผู้จัดได้แยกย้ายไปขึ้นรถคันหนึ่ง โดยมีรถอีกคันของกลุ่ม Protect Freedom ขับไปด้วยกัน ซึ่งจากเดิมกันต์จะติดรถไปลงท่ารถเพื่อกลับบ้านอำเภอหนองกี่ แต่กลับเจอสถานการณ์คุกคามกะทันหัน มีเจ้าหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ไม่ติดป้ายทะเบียน ขับติดตาม และมีการถ่ายภาพอยู่ตลอดระหว่างทาง จนเมื่อรถคันที่กันต์นั่งอยู่เดินทางหลุดออกจากพื้นที่อำเภอเมืองไปราว 10 กิโลเมตร จึงเห็นว่าเจ้าหน้าที่เลิกติดตามตอนช่วงเวลา 18.00 น.
ครู “แฮรรี่” อนันตชัย โพธิขำ เจ้าของรถคันที่ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามเล่าว่า เขาได้รับการติดต่อมาให้ช่วยเหลือเรื่องขนของและรับส่งนักกิจกรรม และวันนั้นเมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมในช่วง 17.30 น. ระหว่างขับรถออกจากที่ชุมนุมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมาถ่ายรูปทะเบียนรถโดยไม่ได้ขออนุญาต และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถจักรยานยนต์ติดตามไม่น้อยกว่า 3 คัน กระทั่งพวกเขาขับไปนอกเมืองและแวะปั๊มน้ำมัน เจ้าหน้าที่ก็ยังตามมาจอดอยู่ห่างๆ
“ผมเติมน้ำมันเสร็จขับออกไป พวกที่ละเมิดพวกผมก็ขับตาม ผมเร่งความเร็วมากขึ้นเพราะกลัวมาก เขาก็ยังตามอยู่ เราขับเร็วขึ้น เราไปทางที่มีซอยเยอะๆ พอมองดูกระจกหลังอีกทีก็ไม่เห็นพวกเขาแล้ว ถ้าเราขับรถตกถนนจนเราบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะทำอย่างไร” ครูแฮรรี่ อนันตชัย กล่าว
ทั้งนี้เมื่อ 18.00 น. ของวันที่ 3 เมษายน 2564 แม่ของกันต์โทรมาแจ้งว่า เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสองนายไปหากันต์ถึงที่บ้านอีกรอบ แต่มีเพียงย่าอยู่บ้าน เจ้าหน้าที่ถามว่ากันต์กลับมาบ้านหรือยัง และได้ถ่ายรูปย่าของกันต์ไว้ ก่อนเดินทางกลับไป จากเหตุนี้ ทำให้กันต์ รู้สึกไม่ปลอดภัย และชีวิตถูกรบกวนความไม่สงบมากเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถเข้าพื้นที่อำเภอหนองกี่ ได้ราว 2-3 วัน โดยต้องไปพักอยู่ที่อื่นก่อน
สำหรับกันต์นอกจากผลกระทบที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยและเข้าบ้านไม่ได้ ยังทำให้เขามีปัญหากับที่บ้าน เพราะครอบครัวก็สงสัยว่าเจ้าหน้าที่มาทำอะไร และส่งผลกระทบในแง่ของการถูกรบกวนและกระทบภาพลักษณ์ของบ้านที่รู้สึกหวาดว่าเจ้าหน้าที่จะมาทำอะไรอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น พอกันต์กลับถึงบ้านที่อำเภอหนองกี่ ในวันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 ช่วงเย็น กันต์ให้ข้อมูลเพิ่มว่า เขาสังเกตเห็นรถคันหนึ่งขับเข้ามาในซอยบ้าน แล้วเอามือถือขึ้นมาถ่ายภาพ ก่อนจะขับไปยูเทิร์นแล้วออกไป ทำให้กันต์กังวลอีกว่ามีความเสี่ยงว่าจะถูกทำอะไรหรือไม่
สำหรับกันต์เป็นเยาวชนที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มบุรีรัมย์ปลดแอก และการชุมนุมหลายครั้งที่กรุงเทพฯ ในช่วงปี 2563 ก่อนหน้านี้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเคยรับทราบข้อมูลจากกันต์ว่า ช่วงเดือนมกราคม 2564 เคยถูกตำรวจติดตามที่บ้านจากกรณีติดป้ายยกเลิก 112 ที่โรงเรียนในอำเภอในช่วงปีใหม่ นอกจากนี้ในเดือนธันวาคมปี 2563 ทางโรงเรียนเคยเรียกผู้ปกครองเข้าพบหลังจากกันต์โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ท่าทีของผู้อำนวยการโรงเรียน ที่ว่ากล่าวนักเรียนที่ทำกิจกรรมทางการเมือง ว่ามีนักการเมืองให้เด็กออกหน้าสู้แทน