ขอบคุณรูปภาพปกข่าวจาก The Momentum
วันนี้ (29 มี.ค. 64) ประมาณ 11.00 น. สุรีย์รักษ์ ชิวารักษ์ แม่ของ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษา/นักกิจกรรมกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เข้ายื่นคำร้องต่อศาลอาญา รัชดาฯ ขอให้ย้ายที่กักขังเพนกวินจากสถานกักขังกลางปทุมธานีไปโรงพยาบาลพระรามเก้า หลังวานนี้ แม่เพนกวินได้รับแจ้งจากสถานกักขังกลางปทุมธานีว่า เพนกวินอ่อนเพลีย ไม่มีแรง สภาพร่างกายทรุดโทรมอย่างมาก อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต
โดยวันนี้ เพนกวินที่ถูกเบิกตัวมาศาลในคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ต้องนั่งรถเข็นพร้อมทั้งถุงน้ำเกลือ หลังยอมให้แพทย์เข้าน้ำเกลือเมื่อวานนี้
เพนกวินอดอาหารเพื่อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวเข้าวันที่ 15 แล้ว นับตั้งแต่เขาประกาศอดอาหารเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ผ่านมา หลังถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี ม.112 โดยศาลปฏิเสธให้ประกันตัวมาตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 64 แม้จะมีการยื่นประกันตัวถึง 5 ครั้ง
นอกจากนี้ หลังการแถลงต่อศาลถึงความอยุติธรรมที่เขาได้รับและประกาศอดอาหารในห้องพิจารณาคดี เพนกวินยังถูก ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา กล่าวหาว่า ละเมิดอำนาจศาล และลงท้ายด้วยศาลมีคำสั่งให้จำคุก 1 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 15 วัน ก่อนพิจารณาให้กักขัง 15 วัน แทนโทษจำคุก และมีการนำตัวไปกักขังที่สถานกักขังกลางปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 64
คำร้องที่แม่เพนกวินยื่นต่อศาลมีเนื้อหาว่า เนื่องจากเมื่อวานนี้ผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาของพริษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหาได้รับแจ้งจากสถานกักขังกลางปทุมธานีว่าขณะนี้พริษฐ์มีสภาพร่างกายทรุดโทรมอย่างมากและมีอาการที่น่าวิตกจนอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตซึ่งสภาพของสถานกักขังกลางอาจไม่สามารถดูแลได้
และเนื่องจากพริษฐ์เคยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างถูกกักขัง แต่ศาลไม่อนุญาต ซึ่งพริษฐ์มีความประสงค์จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ลงโทษดังกล่าว และประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาลอุทธรณ์ ดังนั้น ในขณะนี้ซึ่งมีเหตุจำเป็นเกี่ยวกับสุขภาพของพริษฐ์ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงให้ขอศาลมีคำสั่งในวันนี้ให้ส่งตัวพริษฐ์ไปกักขังที่โรงพยาบาลพระรามเก้า ซึ่งพริษฐ์มีประวัติการรักษาพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อรักษาชีวิตของพริษฐ์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิด
ต่อมาในเวลาราว 17.00 น. ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องเรื่องขอให้ย้ายที่กักขังเพนกวิน โดยผู้พิพากษา นาง เมตตา ท้าวสกุล โดยให้เหตุผลประกอบว่า
“ตามพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการกักขังตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2506 หากผู้ต้องกักขังเจ็บป่วยและเข้าสถานพยาบาลในสถานกักขั งแต่ไม่อาจทุเลาได้ เป็นอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่จะอนุญาตให้ผู้ต้องกักขังไปรักษาตัว ณ สถานที่อื่น และกรณีที่มีเหตุอันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของผู้ต้องกักขัง เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์มีอำนาจสั่ง
“เหตุที่ผู้ร้องกล่าวมาจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ ส่วนกรณีที่อยู่ในอำนาจศาลที่จะสั่งได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 24 วรรคท้าย การที่ศาลจะส่งให้ไปกักขัง ณ สถานที่อื่น เนื่องจากการกักขังอาจเป็นอันตรายแก่ผู้ต้องกักขัง ต้องปรากฏว่า ผู้ต้องโทษกักขังจะได้รับอันตรายจากการกักขังดังกล่าว เมื่อศาลไม่ได้รับหนังสือจากสถานที่กักขังแจ้งเหตุดังกล่าว และผู้ร้องไม่ได้แสดงพยานหลักฐานว่า ผู้ต้องโทษกักขังจะได้รับอันตรายตามคำร้อง อีกทั้งไม่ปรากฏว่า เจ้าของหรือผู้ครอบครองโรงพยาบาลพระราม 9 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ร้องจะประสงค์ย้ายผู้ถูกกล่าวหาไปกักขัง ยินยอมที่จะรับผู้ถูกกล่าวหาไปกักขัง ณ สถานที่ดังกล่าว ให้ยกคำร้อง”