วันที่ 15 มี.ค. 64 ที่สภ.เมืองจันทบุรี นายจรัส (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี นักศึกษาระดับชั้นปีที่ 1 จากมหาวิทยาลัยในจังหวัดจันทบุรี เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่มเติม หลังจากถูกพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกในคดีที่เขาเคยถูกแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตั้งแต่ช่วงปี 2563 เหตุจากการไปแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงบนโพสต์ในกลุ่ม “เพจจันทบุรี”
คดีนี้มีนายนิรุตต์ แก้วเจริญ เป็นผู้กล่าวหา ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 63 จรัสได้เคยถูกออกหมายเรียกและถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) “นำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” มาแล้ว
ร.ต.อ.พิชิต สายกระสุน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองจันทบุรี ได้ระบุพฤติการณ์ข้อกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 63 เวลา 02.00 น. ผู้กล่าวหาซึ่งอาศัยอยู่ที่อำเภอเมืองจันทบุรี ได้เปิดใช้งานโทรศัพท์มือถือส่วนตัวและคอมพิวเตอร์เข้าดูโซเชียลมีเดียสื่อเฟซบุ๊ก “เพจจันทบุรี” พบข้อความซึ่งผู้ดูแลเพจโพสต์ว่า “ช่วงนี้โรคโควิดระบาด เศรษฐกิจไม่ดี ให้ใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง” หลังจากนั้นไม่นานมีสมาชิกในกลุ่มเพจได้แสดงความคิดเห็นลงในโพสต์ และผู้กล่าวหาอ้างว่านายจรัสได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นว่า
“Nirut Kaewcharoen ไม่ต้องรู้หรอก ว่าผมทำไรบ้างอะ แต่แค่ผมจะสื่อสารว่าเราโดนหลอกอะ ทฤษฎีที่มันเอามาแค่หลอกให้พวก ปชช ที่ไม่รู้จักรู้ร้อนรู้หนาว(คนส่วนใหญ่)ได้สบายใจกับคำว่าพอเพียง กับคำว่าประหยัด ส่วนพวกบุคคลที่ได้รับผลกระทบจริงๆ กลับไม่มีอะไรมาเยียวยาเค้าเลย แบบนี้พอเข้าใจว่ามันไม่ควรใช้ยังไง อารมณ์แบบเราเสียภาษีให้กษัตริย์เพื่อให้กษัตริย์มาพัฒนาประเทศและดูแลทุกคนใน ปทท ปะ ไม่ใช่ทอดทิ้งคนกลุ่มล่างปะวะ คิดเอาว่าคนพวกนี้จะอยู่ไง ลำบากแค่ไหน ตื่นมาหาหาข้าวกินสักมื้อนี่โคตรจะลำบากแล้ว ไม่เคยเห็นคนพวกนี้เข้าถึงทฤษฎีนี้สักนิด เพราะผมพูดเลยว่าไม่ต้องมีเศรษฐกิจพอเพียงคนไทยก็อยู่ได้ (แม่งแค่ฉลาดบอกคนไทยให้พอ มันจะรวยได้คนเดียวจะได้กดหัวหัวง่ายๆ) คิดแบบนี้นะ บอกเลยมันโหนคำว่าประหยัดเพื่อหลอก ปชช ครับ คืนประเทศไทยให้คนไทยจะเปลี่ยนให้เป็นเมือง”
ผู้กล่าวหาอ้างว่าข้อความดังกล่าวทำให้บุคคลทั่วไปที่มาอ่าน เข้าใจผิดว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย จึงมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับจรัส
จรัสได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และให้การเบื้องต้นว่าไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลหรือเจตนาหมิ่นประมาทกษัตริย์ แต่โพสต์เป็นเชิงตั้งคำถามให้เจ้าของโพสต์ได้ทราบ การเข้ารับทราบข้อหาครั้งดังกล่าว ไม่ได้มีทนายความอยู่ร่วมด้วย แต่มีผู้ปกครองของจรัสเข้าร่วมในกระบวนการสอบปากคำในวันดังกล่าว
ทั้งนี้จากข้อความที่ถูกกล่าวหานั้น พบว่าเป็นข้อความที่เป็นการแสดงความคิดเห็นใต้คอมเมนต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษชื่อเดียวกับ “นิรุตต์ แก้วเจริญ” ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาในคดีนี้เอง
ต่อมาทางตำรวจได้ส่งสำนวนคดีให้กับพนักงานอัยการในช่วงปลายปี 2563 โดยจรัสเดินทางไปรายงานตัวกับอัยการเดือนละครั้ง เป็นจำนวน 4 ครั้ง กระทั่งเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2564 ทางพนักงานอัยการได้ระบุว่าได้มีคำสั่งจากทางอัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ภายใต้คณะทำงานกำหนดแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายในคดีตามประมวลกฎหมาอาญามาตรา 112 ให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อจรัสเพิ่มเติม ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) นําข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
ต่อมา ร.ต.อ.พิชิต สายกระสุน พนักงานสอบสวนสภ.เมืองจันทบุรี ได้ออกหมายเรียกลงวันที่ 9 มี.ค. 64 ให้จรัสไปรับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เพิ่มเติม
จรัสพร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้ง 2 ข้อกล่าวหาดังกล่าวเพิ่มเติม จากพฤติการณ์การโพสต์ข้อความดังกล่าวเช่นกัน โดยไม่ได้มีพฤติการณ์อื่นๆ เพิ่มเติม จรัสได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา และประสงค์จะต่อสู้คดีต่อไป พนักงานสอบสวนได้ให้ปล่อยตัวจรัสไปโดยไม่ควบคุมตัวไว้
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นับตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 64 มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 อย่างน้อย 70 ราย ในจำนวน 60 คดีแล้ว โดยในจำนวนนี้มี 26 คดี ที่มีประชาชนไปแจ้งความร้องทุกข์เอง และทางตำรวจได้ดำเนินคดีติดตามมา
>> สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ปี 2563-64