ชายแต่งกายคล้าย จนท.นอกเครื่องแบบ วนหาออฟฟิศอีสานเรคคอร์ดหลายรอบ โดยไม่ทราบสาเหตุ

12 มีนาคม 2564 หทัยรัตน์ พหลทัพ บรรณาธิการภาคภาษาไทย เว็บไซต์เดอะอีสานเรคคอร์ด ให้ข้อมูลว่า วันที่ 10 มีนาคม 2564 ช่วงบ่ายสามโมง มีชายแต่งกายคล้ายนอกเครื่องแบบ 2 คน ขับรถตระเวนย่านหลังมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อตามหาสำนักงานของสำนักข่าวอีสานเรคคอร์ดอยู่ 3-4 รอบ

โดยอีสานเรคคอร์ดทราบข้อมูลจากร้านค้าฝั่งตรงข้ามสำนักงานว่า มีรถยนต์ของตำรวจวิ่งวนสำนักงานอีสานเรคคอร์ดอยู่ 3 รอบ และจอดรถแถวร้านค้า พนักงานจึงถามว่ามาหาใคร ชายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบชี้มือไปที่ฝั่งตรงข้ามแล้วถามว่า นี่ออฟฟิศเดอะอีสานเรคคอร์ดหรือไม่ พนักงานที่ร้านค้าบอกเพียงว่า “ใช่ๆ รู้แค่ว่าทำสื่อแต่จำไม่ได้ว่าชื่อสำนักข่าวอะไร” จากนั้นชายทั้งสองคนก็กลับไปโดยไม่ได้ฝากข้อความอะไรไว้ ส่วนการมาครั้งที่ 4 ในวันเดียวกันนั้น นักศึกษาฝึกงานของเดอะอีสานเรคคอร์ดสังเกตเห็น และเห็นว่ามีการถ่ายภาพด้านหน้าสำนักงานเดอะอีสานเรคคอร์ดไปด้วย

หทัยรัตน์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำนักงานเดอะอีสานเรคคอร์ดติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ 4 จุด แต่ขณะนี้อยู่ในช่วงจะย้ายของไปที่อื่น ทำให้เริ่มเปลี่ยนระบบความปลอดภัย ในส่วนของการบันทึกกล้องวงจรปิดจึงยังไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ไม่สามารถบันทึกภาพชายที่แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบไว้ได้ 

ทั้งนี้ เดอะอีสานเรคคอร์ดยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจนที่ชายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมาสืบหาที่ตั้งสำนักงาน แต่คาดว่าน่าจะมาจากการที่เดอะอีสานเรคคอร์ดรายงานข่าวนักศึกษาและกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกเอาผ้าถุงไปคลุมอนุสาวรีย์สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันสตรีสากล  8 มีนาคม 2564 

รายงานข่าวชิ้นดังกล่าวโพสต์ในช่วงเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2564 จากนั้นวันเดียวกันสำนักข่าวผู้จัดการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ เพจ MGR อีสานบ้านเฮา ได้โพสต์ถึงรายงานข่าวชิ้นดังกล่าวของเดอะอีสานเรคคอร์ด แต่ได้โพสต์ภาพอื่นที่ไม่ใช่ภาพของเดอะอีสานเรคคอร์ด ซึ่งจะต้องมีโลโกด้วย ภาพดังกล่าวถูกตีความไปในทางเสียหาย เดอะอีสานเรคคอร์ดจึงส่งข้อความไปหลังไมค์เพื่อให้แก้ไขลบภาพ แต่แล้วก็มีการถกกัน ท้ายสุดสำนักข่าวผู้จัดการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงลบรูปนั้นออกไป โดยที่ไม่ทราบสาเหตุว่าใส่ภาพนั้นตั้งแต่แรกเพราะอะไร

จากนั้นนักศึกษาฝึกงานคนที่รายงานข่าวดังกล่าว แจ้งกับเดอะอีสานเรคคอร์ดว่า คณะโทรมาบอกว่า อาจารย์ไม่พอใจกับรายงานข่าวชิ้นดังกล่าวที่สำนักข่าวผู้จัดการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนืออ้างชื่อคณะ ทั้งที่เดอะอีสานเรคคอร์ดไม่ได้ใส่ชื่อคณะที่นักศึกษาฝึกงานเรียน คาดว่าสำนักข่าวผู้จัดการฯ ไปสืบค้นว่า นักศึกษาฝึกงานที่รายงานข่าวเป็นใคร เรียนคณะอะไร 

หทัยรัตน์เล่าเพิ่มเติมว่า อาจารย์คนดังกล่าวได้ขู่นักศึกษาฝึกงานว่าจะฟ้อง ฐานทำให้คณะเสื่อมเสีย เพราะสำนักข่าวผู้จัดการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขียนราวกับว่านักศึกษาผู้นั้นเอาผ้าคลุมไปคลุมหัวสฤษดิ์เอง

 “ตอนหลังจึงส่งข้อความไปว่าขอให้เอาชื่อคณะของนักศึกษาฝึกงานออกได้หรือไม่ ไม่งั้นทางคณะเขาจะฟ้อง” ก่อนเรื่องดังกล่าวจะจบลงด้วยดี

บรรณาธิการเดอะอีสานเรคคอร์ดกล่าวอีกว่า  ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ที่มีการไลฟ์สดสัมภาษณ์ทนายอานนท์ นำภา เรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์  มีทั้ง กอ.รมน.จ.ขอนแก่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจ แวะมาร้านกาแฟละแวกสำนักงาน โดยได้รับข้อมูลจากคนที่ร้านกาแฟว่า เจ้าหน้าที่มาถามหาเดอะอีสานเรคคอร์ด ไม่ได้เข้ามาหาถึงสำนักงานเช่นกัน แต่ครั้งนั้นมารอบเดียว ไม่เหมือนครั้งนี้ที่มาหลายรอบ

เมื่อถามว่าการมาเยือนของชายสองคน ซึ่งยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นตำรวจ หรือทหาร หรือมาจากสังกัดอะไร เกี่ยวข้องกับการที่เดอะอีสานเรคคอร์ดจัดเวิร์กชอปเกี่ยวกับการเมืองในอีสานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564  ที่ผ่านมาหรือไม่ หทัยรัตน์ตอบว่า งานเวิร์กชอปที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นนั้นผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ระหว่างช่วงนั้นก็เห็นตำรวจตามมาที่โรงแรม เพราะมีนักกิจกรรมทางการเมืองเข้าร่วมหลายคน ก็เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่คงจับตาเดอะอีสานเรคคอร์ดอยู่แล้ว 

“ไม่ได้กังวล ไม่ได้แคร์ เพราะไม่ได้เอาเงินจากรัฐบาลมาทำงาน และไม่ได้ทำอะไรผิด  ขณะนี้ทุกคนที่สำนักงานก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว หรือบั่นทอนกำลังใจ หากเขาเข้ามาแล้วเดินมาบอกเราตรงๆ ทำตามขั้นตอน ว่าเราทำอะไรผิดหรือมีหมายก็แจ้งมา เราก็จะตั้งทนายสู้แบบนี้จะดีกว่า ไม่ใช่มาแบบนี้มันทำให้เกิดความรำคาญมากกว่า”  หทัยรัตน์กล่าวทิ้งท้าย

หลังจากเหตุการณ์ครั้งล่าสุดก็ยังไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่หรือชายลักษณะคล้ายเจ้าหน้าที่มาที่เดอะอีสานเรคคอร์ดอีก 

สำหรับเดอะอีสานเรคคอร์ด เป็นสำนักข่าวที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อมุ่งนำเสนอข่าวด้านประเด็นสังคม การเมืองและเพื่อเสนอมุมมองใหม่เกี่ยวกับประเทศไทยและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ “ภาคอีสาน”  มีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น

 


 

 

X