เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 63 ที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน ระหว่างที่ 8 นักกิจกรรมผู้ได้รับหมายเรียกจากการชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกา ที่หน้ากรมทหารราบที่ 11 ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหานั้น ทางพนักงานสอบสวนจาก สภ.เมืองขอนแก่น และ สภ.พระนครศรีอยุธยา ได้ประสานงานเพื่อเข้าแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์, “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ “ไมค์” ภานุพงศ์ จาดนอก จากเหตุการชุมนุมในสองพื้นที่ดังกล่าว หลังจากถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 116 มาก่อนแล้วในทั้งสองคดีนี้

เพนกวินถูกแจ้ง ม.112 จากชุมนุม #จัดม็อบไล่แม่งเลย ที่ขอนแก่น
พ.ต.ท.วิสุทธิ์ เกื้อกูล สารวัตรสอบสวน, พ.ต.ท.จตุเรศ ดรอ่อนเบ้า สารวัตรสอบสวน และ ร.ต.ท.สุกฤษฏ์ ฤทธิรน รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้เป็นผู้เข้าแจ้งข้อกล่าวหาแก่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ จากเหตุการปราศรัยในกิจกรรม “จัดม็อบไล่ แม่งเลย” จัดโดยกลุ่มขอนแก่นพอกันที เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 63 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจังหวัดขอนแก่น
พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) โดยเหตุที่แจ้ง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพิ่มเติมด้วยนั้น เนื่องจากตำรวจอ้างพฤติการณ์การไลฟ์สดการชุมนุมผ่านเฟซบุ๊กด้วย
พนักงานสอบสวนบรรยายพฤติการณ์ที่กล่าวหาพริษฐ์ว่า “ผู้ต้องหาได้ร่วมกับพวก คบคิดและตกลงให้ผู้กระทำความผิดอื่นซึ่งยังไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ใด ทำหน้าที่ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ (โทรศัพท์มือถือ) ล็อคอินเข้าระบบอินเตอร์เน็ตแล้วเข้าไปทำการถ่ายทอดสด (ไลฟ์สด) การปราศรัยของผู้ต้องหา ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ขอนแก่นพอกันที” โดยตั้งค่าเป็นสาธารณะหรือที่บุคคลทั่วไปที่เป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กและเปิดใช้งานเฟซบุ๊ก และเป็นผู้ติดตามหน้าเพจ “ขอนแก่นพอกันที” สามารถพบและฟังปราศรัยผ่านเฟซบุ๊กได้
“การปราศรัยดังกล่าวมีประชาชนทั่วไปติดตามและฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก และในการปราศรัยของผู้ต้องหา มีถ้อยคำปรากฏตามบันทึกการถอดคำปราศรัยโดย ส.ต.อ.สุทธิเทพ สายทอง จำนวน 6 แผ่น ที่พนักงานสอบสวนได้ให้ผู้ต้องหาตรวจสอบและอ่านดูข้อความดังกล่าวโดยตลอดแล้ว เป็นถ้อยคำที่มีการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย รัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระบรมขนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร) และ รัชการที่ 10 (พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว)”
ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาคดีนี้ไม่ได้มีการระบุถ้อยคำที่กล่าวหาว่าพริษฐ์ปราศรัยและเข้าข่ายมาตรา 112 เอาไว้ พนักงานสอบสวนเพียงแต่นำเอกสารบันทึกถอดเทปคำปราศรัยของพริษฐ์ทั้งหมดมาให้ตรวจสอบ โดยไม่ได้ระบุว่าถ้อยคำใดเข้าข่ายความผิดดังกล่าว
พริษฐ์ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และปฏิเสธการลงลายมือในบันทึกข้อกล่าวหา แต่ได้เขียนข้อความว่า “ยกเลิก 112 ได้แล้ว lll” ในช่องลงลายมือชื่อผู้ต้องหาแทน
พนักงานสอบสวนได้นัดหมายพริษฐ์ให้ไปรายงานตัวที่ สภ.เมืองขอนแก่น ในวันที่ 2 ก.พ. 64 โดยไม่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้
สำหรับกิจกรรม “จัดม็อบไล่แม่งเลย” เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 63 พริษฐ์เคยถูกพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ร่วมกับ “ไผ่ ดาวดิน” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ไปเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 63 ระหว่างถูกควบคุมตัวอยู่ที่ บก.ตชด.ภาค 1

เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์ ถูกแจ้ง 112 เพิ่มจากชุมนุม #อยุธยาจะไม่ทนอีกต่อไป
วันเดียวกันนั้น พ.ต.ท.สุรศักดิ์ บัวคำภา รองผู้กำกับการสอบสวน และ พ.ต.ต.กัมพล อินทีวงศ์ สารวัตรสอบสวน จากสภ.พระนครศรีอยุธยา ยังได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับพริษฐ์ ชิวารักษ์, ภาณุพงศ์ จาดนอก และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล จากเหตุการปราศรัยในกิจกรรม #อยุธยาจะไม่ทนอีกต่อไป บริเวณศาลากลางหลังเก่า จ.อยุธยา วันที่ 21 ส.ค. 63 ด้วย
ก่อนหน้านี้ทั้งสามคนได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตไปแล้วในคดีนี้ โดยพริษฐ์และปนัสยาถูกแจ้งข้อหาระหว่างถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 63 และภาณุพงศ์ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 63
ในการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนได้บรรยายพฤติการณ์ว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมแล้ว เห็นว่าพฤติการณ์และการกระทำของผู้ต้องหากับพวกนั้นเป็นความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ด้วย จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ข้อกล่าวหาระบุว่าทั้งสามคนได้ร่วมจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลและปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุทธยาหลังเก่า โดยได้ร่วมกันพูดปราศรัย ป่าวประกาศ โฆษณาด้วยการขยายเสียงผ่านเครื่องขยายเสียง เรียกร้องให้รัฐบาล แก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา หยุดคุกคามประชาชน และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยระหว่างที่พูดปราศรัยได้มีคำพูดบางตอนกล่าวหาพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ต่อหน้าบุคคลที่สามหรือประชาชนที่มาฟังจำนวนหลายคน
บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาได้ถอดเทปคำปราศรัยบางช่วงตอนของทั้งสามคน มาประกอบข้อกล่าวหา สรุปโดยสังเขปได้แก่
- พริษฐ์ กล่าวถึงการขยายอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในปัจจุบัน จนกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย โดยเข้ามาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองและการรัฐประหารในประเทศไทย พร้อมย้ำความจำเป็นของการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้สถาบันฯ ประชาชน และระบอบประชาธิปไตย สามารถไปร่วมกันได้
- ปนัสยา กล่าวถึงการที่ประชาชนไทยไม่สามารถกล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ในทางวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะโครงสร้างสังคมสร้างความกลัวเข้ามากดทับ โดยกล่าวถึงสถานะที่ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน ไม่มีใครสูงส่งกว่าและเกิดมาเลือดสีน้ำเงิน พร้อมกับกล่าวทบทวนถึงข้อเสนอทั้ง 10 ข้อ เพื่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โดยย้ำว่าข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่การล้มเจ้า แต่เป็นข้อเสนอเพื่อการปรับตัว
- ภาณุพงศ์ กล่าวถึงการเสด็จไปอยู่เยอรมนี พร้อมย้ำข้อเรียกร้องของประชาชนว่าไม่ได้ต้องการจะล้มล้าง แต่เจตนาที่จะทำให้พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองและอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยแท้จริง
หลังรับทราบข้อกล่าวหา ทั้งสามคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และปฏิเสธการลงลายมือชื่อ แต่ได้เขียนข้อความรณรงค์ให้ยกเลิกการใช้มาตรา 112 ในช่องลงลายมือชื่อผู้ต้องหาแทนการลงชื่อ

จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากเหตุหลังการชุมนุมเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 63 จนถึงวันที่ 23 ธ.ค. 63 แล้วอย่างน้อย 37 รายใน 23 คดี โดยพริษฐ์ถูกกล่าวหามากที่สุดถึง 12 คดีแล้ว ขณะที่ปนัสยาถูกกล่าวหา 6 คดี และภาณุพงศ์ถูกกล่าวหา 5 คดี ตามลำดับ
>> ดูสถิติล่าสุดการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ปี 2563