ชีวิตกลางแจ้ง กับความหมายแห่งอิสรภาพ ของ “แจ็คกี้” ก่อนถึงวันชี้ชะตา ‘คดีระเบิดปิงปองปริศนา’ ช่วงชุมนุมดินแดง

“กี้” หรือ “แจ็คกี้” ชื่อที่บางคนอาจไม่คุ้นหูนัก เขามีบทบาทในการเข้าร่วมชุมนุมดินแดงในช่วงปี 2564-2565 จนถึงตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในเหล่าผู้คนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง 

เขากำลังจะก้าวเข้าสู่การฟังคำพิพากษาศาลชั้นอุทธรณ์เพื่อตัดสินชะตาชีวิตในคดีครอบครองวัตถุระเบิด และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในห้วงการชุมนุมดินแดงเมื่อปี 2564 ถึงแม้เขาจะยืนยันว่าวัตถุระเบิดที่เขาถูกดำเนินคดีนี้ ไม่ได้เป็นของเขาตามที่ถูกกล่าวหา และแม้ว่าจะตรวจไม่พบลายนิ้วมือเขาที่ระเบิดก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ลงโทษจำคุกสามปี 

ชวนทำความรู้จักชีวิต “แจ็คกี้” และร่วมติดตามสถานการณ์คดีของเขาในวันตัดสินที่จะมาถึง วันที่ 1 เม.ย. 2568 นี้

หากพูดถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่พอจะอยู่ในความทรงจำในวัยเด็กของแจ็คกี้บ้าง ก็คงเป็นเรื่องการสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อปี 2553 ตอนนั้นเขาอายุประมาณ 10 ขวบ และมีโอกาสได้ติดสอยห้อยตามพ่อไปที่ชุมนุมด้วย 

พ่อเขาขับรถสิบล้อเอาข้าวโพดกับแตงโมที่บ้านไปแจกตรงแยกราชประสงค์ เขาจำได้ว่ามีคนยิงกัน เหตุการณ์ตอนนั้นก็ค่อนข้างวุ่นวาย แต่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก

แต่ถ้าถามว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เกิดความทรงจำที่ไม่ดีหรือไม่ เขาพูดว่า “ผมชินกับเรื่องความรุนแรงแล้ว ผมไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นสักเท่าไหร่ โตมาด้วยลำแข้ง” เขามีครอบครัวที่ไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ และตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว นาน ๆ ทีถึงจะติดต่อกัน ตอนนี้แยกมาอยู่บ้านกับเพื่อน สำหรับเขาเองก็มีแค่ ‘แมว’ ที่เรียกว่าเป็นครอบครัวได้

“ผมมีแมวสองตัว ชื่อเดย์กับไนท์ ตัวหนึ่งสีส้ม ส่วนอีกตัวสีดำ ตัวสีดำพันธุ์เปอร์เซีย เพื่อนให้มาเป็นของขวัญวันเกิด อีกตัวที่เป็นแมวส้ม ไปเจอกลางถนนตอนไปยิงปลา ก็ไปเคาะเรียกเพื่อนตอนเช้าบอกว่า ‘กูเจอแมว’ แต่เพื่อนไม่ตื่น ผมก็เลยต้องเอามันใส่กระติกกลับมา แต่แมวมันฉลาด ยืนบนไหล่ผมได้สองตัวเลย บางทีผมจะรำคาญตอนมันยืนทั้งซ้ายทั้งขวา ก็จะบ่นออกมาว่า ‘หนักโว้ย’” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา

.

ตัวเขาเองทำงานมาหลายอย่างจนแทบจะจำได้ไม่หมดว่าทำอะไรมาบ้าง เริ่มทำตอนอายุเกือบ 20 ปี เป็นเด็กล้างจานร้านลาบข้างทาง ได้เงินวันละ 200 บาท ข้าวกินฟรีได้ไม่อั้น ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่าชีวิตจะเอาอะไรมากกว่านี้ 

“ตอนนั้นผมคิดสั้นไปทีหนึ่ง ไปก่อคดีลักทรัพย์ ขโมยเสื้อห่านคู่ ไส้กรอกแพ็คคู่ กับน้ำเปล่าขวดใหญ่ ผมรู้ว่ามันเป็นคดีที่โง่มาก แต่คนมันหิว ตอนนั้นงานก็ไม่ค่อยมีด้วย เลยโดนล้อว่าเป็น ‘ไอ้ห่านคู่’” หลังจากนั้นมาเขาก็มาทำงานอีกหลายอย่าง แล้วก็ถูกดำเนินคดีอีกหลายอย่างเหมือนกัน

ปัจจุบันแจ็คกี้ทำงานรับจ้างทั่วไป ซึ่งเป็นงานอิสระเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก โดยเขายกตัวอย่างว่าหากชาวต่างชาติเข้ามาในไทยแล้วต้องการอะไร เขาก็สามารถสื่อสารและทำตามความต้องการนั้นได้ แต่ก็ไม่ได้นิยามชื่ออาชีพนี้ไว้ว่าคืออะไร นอกจากนั้นก็มีรายได้จากการขายกัญชา รวมแล้วมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 18,000 บาท เป็นรายได้สูงสุดตั้งแต่เขาเริ่มทำงานมาแล้ว

“ถ้าเมื่อก่อนก็คงจะอยากเปิดร้านอาหารสักร้าน ขายเบอร์เกอร์ ขายทาโก้ เพราะผมทำเป็นอยู่แล้ว แต่ถ้าพูดตรง ๆ ตอนนี้ผมอยากหาเงินให้ได้มากพอที่จะทำบางอย่างที่อยากทำได้ในอนาคต ซึ่งกว่าจะไปถึงตรงนั้นมันก็ไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ มันก็จะกลายเป็นตำนานเลย”

“ผมหางานไม่ได้”

แจ็คกี้เล่าย้อนไปว่าเพราะตอนนั้นมันเป็นช่วงโควิด อย่างที่บอกไปว่างานของเขาต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก จะทำอะไรก็ได้ขอแค่ใช้ภาษาอังกฤษคุยกับลูกค้าได้ แล้วช่วงนั้นไม่มีลูกค้า ไม่มีนักท่องเที่ยว เขาเลยเปลี่ยนมาทำงานที่ใช้แรงงาน เป็นโรงงานเหล็ก 

“พูดตรง ๆ เราทำงานหนักกว่าพนักงานออฟฟิศ แต่กลับกัน ค่าแรงที่ใช้มดพวกนี้ทำงานยังจ่ายต่ำอยู่เลย มือใหม่จ่าย 250 บาท ผ่านงานเป็นพนักงานประจำแล้วจ่าย 300 บาท ถือว่าคุ้มไหมกับการทำงาน 10 ชั่วโมง แบกของ แบกเหล็ก ปีนตึก …มันไม่คุ้มเลย

“ถ้ายกตัวอย่างจากเคสทางด่วนพระราม 2 พนักงานที่เสียไปส่วนมากถึงเป็นคนงานพม่า เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเสียส่วนที่เป็นค่าทำประกันสังคม เขาก็แค่จ้างมา คุณทำงานเสร็จก็กลับไป แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบกันเอง บริษัทไม่ได้ออกให้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแฮปปี้เท่าไหร่ ต่อให้เป็นคนไทยก็ไม่ควรไปทำแบบนั้นกับเขาอยู่ดี” 

การชุมนุมของกลุ่มแรงงาน เป็นการชุมนุมแรกที่เขาเลือกเข้าไปมีส่วนร่วม เป็นเรื่องเกี่ยวกับค่าจ้างและสวัสดิการแรงงาน เพราะเขาคิดว่าไหน ๆ ก็อยู่ชนชั้นแรงงานเหมือนกันแล้ว ก็สู้เพื่อพวกพ้องไปในตัวด้วย ลองสู้ดูก่อน 

“ผมไปม็อบแรงงานอย่างเดียวเลยตอนแรก ผมคิดว่าผมไปถูกแล้ว ด้วยความที่ตอนนั้นผมไม่มีงาน หางานไม่ได้เลย จนเขา (ตำรวจ) เริ่มสลายการชุมนุม ผมก็เลยเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ของผมไปเลย ถ้าต้องแลกเพื่อให้ผมได้อะไรที่ดีกว่าแค่เงินเดือน ผมก็ยอมแลกมัน”

ตอนนั้นแจ็คกี้เรียนอยู่ ม.รามคำแหง ปี 1 มีวันหนึ่งเขาสอบเสร็จก็ไปชุมนุมทันที จำได้ว่ามีการตั้งแนวดันตำรวจ หลังจากนั้นมาเขาก็เต็มที่กับการชุมนุม ไม่ได้คิดถึงรายได้อะไรนัก และไม่ได้ไปเรียนต่ออีก ทำให้เขาเรียนไม่จบมหาลัย 

ต่อมาเขาเริ่มมีรายได้จากการทำงานกับพรรคการเมือง แล้วก็รับงาน รปภ. ข้างนอก รวมไปถึงรับงานเป็นการ์ดตามผับและบาร์ ทำให้มีรายได้อยู่ที่เดือนละประมาณ 15,000 บาท

แจ็คกี้เลือกที่จะไปทุก ๆ การชุมนุม ไม่ได้เลือกเฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นที่ดินแดงเท่านั้น เขานิยามตัวเองว่าเป็นการ์ด แต่ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นแนวหน้า เขาจะเป็นคนที่คอยตามเก็บงานว่าหลังจากมีปะทะมากกว่า เขารู้ว่าถ้าหากมีการปะทะมา โล่ของคนที่อยู่แนวหน้าก็รับไม่ไหว แต่เขารู้วิธีทำโล่ เลยทำของตัวเองขึ้นมาและตั้งทีม คอยดูว่าใครที่อยู่แนวหน้าวิ่งกลับมาไม่ทัน ก็จะเข้าไปดึงเขากลับมา

“ผมแค่ถามคำถามโง่ ๆ ว่า ‘เอาด้วยเปล่า’ ถ้าตอบว่าเอา เขาก็คือทีมผม ผมรู้ว่ายุทธวิธีของผมมันได้ผล เลยนำเฉพาะงานได้ สมมติว่าที่ดินแดง ที่พวกผมถือโล่เดินแยกไป 3-4 คน เพราะผมมองว่าเราไหลเข้าด้านข้างได้ ในขณะที่เขา (ตำรวจ) สาดกระสุนกลับมา เรายังไปดึงคนที่หลบอยู่ตรงแนวหน้ากลับมาได้ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 

“แต่โล่ของพวกเรามันหนัก เราไม่มีเงินไปซื้อของดี ๆ มาใช้ ก็เอาเศษเหล็กมาปะติดปะต่อทำเป็นโล่กันเอง ช่วยคนไว้ได้พอสมควร แต่ก็ทำให้ผมโดนไปด้วย เพราะวิ่งไม่ทัน”

เหตุการณ์ที่ดินแดงมีครั้งที่ตำรวจเปลี่ยนกระสุนยางมาเป็นกระสุนลูกแก้ว ทำให้โล่ของหลายทีมแตก แต่โล่ของเขาทำมาจากเหล็กเลยไม่ทะลุ จึงเกิดประโยชน์เพราะช่วยคนได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็จำไม่ได้ว่าช่วยใครไว้บ้าง หรือช่วยไปเพื่ออะไร เขารู้สึกว่าเขาแค่อยากช่วยเฉย ๆ และเขาก็ชอบในความไร้ตัวตนมากกว่าที่จะเป็นที่รู้จัก

เพื่อนที่เคยเคลื่อนไหวด้วยกันกับแจ็คกี้ก็แยกย้ายกันไปเติบโต ทุกคนมีภาระหน้าที่ หลายคนได้งานทำหลังชุมนุมจบ หลายคนไม่โดนจับ ส่วนเขาก็โทษตัวเองที่ช้าจนโดนจับ 

ตอนนี้พวกเขาก็ยังติดต่อกันบ้างเป็นครั้งครา อย่างในเวลาเขาเครียดหรือตอนที่ไม่อยากไปหาปลาคนเดียว ก็จะชวนว่า ‘ไปด้วยกันเปล่า’ สรุปเพื่อนไม่ว่าง เขาก็ไปคนเดียวเหมือนเดิม 

ขอแค่ได้ออกไปหาปลา เขาก็มีความสุขแล้ว

เครดิตภาพจากไข่แมวชีส

วันนั้นเริ่มต้นหลังเขาออกจากงานรำลึก 6 ตุลา ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ แล้วถึงมาที่ดินแดง ก็มีโล่เหล็กที่เขาฝากไว้กับรุ่นน้องในแฟลตดินแดง 

“ตอนที่ตำรวจเข้าชาร์จ ผมโดนจับแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะเพิ่งจะเอาโล่ขึ้นมาตั้ง คอมแบท (รองเท้าตำรวจควบคุมฝูงชน) ก็ลอยมาโดนยอดหน้าผมแล้ว โล่ที่ตั้งไว้ก็ร่วง ถูกรื้อของอิรุงตุงนังไปหมด แล้วเขา (ตำรวจ) ก็บอกว่าเจอระเบิดในกระเป๋ากางเกง ผมเลยถามไปด้วยความฉุนเฉียวว่า ‘ระเบิดอะไร’ เขาบอกว่าเจอระเบิดปิงปองในกระเป๋ากางเกงผม ผมเลยสวนว่า ‘ระเบิดขี้เกลืองี้ ไม่ใช้หรอก’ ผมก็เรียบร้อยเลย ปากแตก

“ผมถามจริง ๆ ใครยัดระเบิดปิงปองเข้ากระเป๋ากางเกงยีนส์ได้บ้าง วันนั้นผมใส่กางเกงยีนส์ที่โคตรจะรัด มันคือระเบิดปิงปองนะ ถ้ายัดเข้ากระเป๋ากางเกงมา ก็ขาหายไปเป็นข้างได้เลยแหละ”

เขาได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวคือปากแตกและหัวปูด หลังถูกจับกุม เขายังถูกนำตัวไปฝากขังทันที “ตอนโดนจับไม่มีใครรู้เลยว่าผมโดน ผมนั่งคิดว่าจะได้กลับบ้านไหมน้อ จะได้ประกันตัวไหมน้อ แต่ก็ยังดีที่ว่าเขาเรียกผมออกมาทุกวันจันทร์ อย่างน้อยจะมีคนมายืนอยู่หน้าเรือนจำ ผมก็จะตะโกนว่า ‘ผมอยู่นี่!’” แจ็คกี้ย้อนเล่าเรื่องในอดีตพร้อมกับหัวเราะกับเรื่องตลกร้ายที่เคยเกิดกับชีวิตเขา

การเข้าเรือนจำของแจ็คกี้ครั้งล่าสุด นับว่าดีที่สุดตั้งแต่เขาเข้าเรือนจำมาหลายครั้ง เขาลองนับว่าตัวเขาเองเคยถูกขังที่เรือนจำพิเศษมีนบุรีไป 3 ครั้ง เรือนจำพิเศษธนบุรี 1 ครั้ง และเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 1 ครั้ง 

สำหรับเรือนจำพิเศษธนบุรี เขามองว่าแดนแรกรับค่อนข้างสบาย กับข้าวกินได้ ไก่เป็นไก่ หมูเป็นหมู สามชั้นเป็นสามชั้น แต่กลับกันที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เขาเรียกได้ว่า ‘อาหารโคตรเลวร้าย ต่างกับหน้าตาคุกมาก’

“อาหารมันแย่ ขนาดที่ว่าผมเคยเบิกถั่วมาครั้งหนึ่ง กินเอาเป็นเอาตายจนตัวเองผื่นขึ้น เลยได้ตีตั๋วออกมาโรงบาล กับข้าวโรงบาลโคตรเด็ด เสียดายเติมไม่ได้ ถ้าเติมได้ผมอ้วนแน่” 

ช่วงนั้นที่แจ็คกี้เข้าไปในเรือนจำเป็นช่วงที่โควิดแพร่ระบาด  เขาเล่าว่ามีคนตายในนั้นเยอะมาก ส่วนเขาโดนกักตัวอยู่ในห้องอย่างเดียวอยู่ประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นจึงลงมาข้างล่างได้บ้าง 

สุดท้ายแล้วเขาโดนขังตั้งแต่วันถูกจับกุมไปจนถึงระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาลรวมทั้งสิ้น 149 วัน (หรือประมาณ 7 เดือน) ก่อนที่จะได้รับการประกันตัวออกมาเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2565 จากการยื่นประกันของทนายความเป็นครั้งที่ 8

“นั่นเป็นการเข้าเรือนจำครั้งล่าสุด ไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายไหม แต่ก็ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าผมต้องเข้าไปข้างในอีก ทุกอย่างที่ผมทำมามันจะล่มหมดเลย” 

.

“มันเริ่มจากการที่ผมเป็นคนชอบยิงนู่นยิงนี่ เป็นคนที่ใช้อาวุธได้เกือบทุกประเภทอยู่แล้ว ก็เลยชอบยิงปลา ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกัน ผมเป็นคนที่ใจร้อน แล้วอะไรจะทำได้ดีไปกว่าการที่ว่าเราออกไปยิงนกตกปลา ฝึกความแม่น ฝึกสมาธิ ผมรู้ว่าทำกับสัตว์มันก็ไม่ดี แต่ก็ยังดีกว่าไปลงกับคนด้วยกันเอง ผมเลยเลือกว่าไหน ๆ เราก็ใช้เป็นแล้ว ออกมาหาของกินกันดีกว่า บวกกับที่ว่ารายได้ไม่พอ คนมันก็ต้องกินต้องใช้” 

แจ็คกี้มีมอเตอร์ไซค์คู่ใจและสถานที่ประจำในการออกไปยิงนกยิงปลา ซึ่งจะอยู่แถวสวนหลวง ศรีนครินทร์ บางทีก็ลากยาวถึงสุวรรณภูมิ อย่างสัปดาห์ที่แล้วเขาเลือกไปแถวบางน้ำเปรี้ยว

“มีครั้งนึงตอนที่ออกจากเรือนจำได้ไม่นาน ผมออกไปหาปลา จำได้ว่าจะเก็บเบ็ดกลับแล้ว แล้วเบ็ดที่ติดมาเป็นเบ็ดคันเล็ก พวกผมก็เย่อกัน 3-4 คน เกือบสามชั่วโมงได้ พอเริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวก็เลยไปหาวิธีอื่น ผมมีหน้าไม้ยิงปลา ช่วงนั้นมันยังไม่ดังเลยไม่มีคนใช้ จังหวะปลาเข้ามาใกล้ ๆ ผมก็ยิงแล้วดึงกลับขึ้นมา ตัวนั้นน่าจะประมาณ​ 100 กิโลได้ สรุปแล้วผมก็เอาปลาตัวนี้ให้คนอื่น ผมไม่รู้จะเอามาทำอะไรเหมือนกัน แค่แบ่งเนื้อปลามาให้ผมก็แฮปปี้แล้ว

“ทุกวันนี้ผมหาปลาไม่ได้เพื่อที่ว่าจะเอามาทำเป็นอาหารอย่างเดียว แต่การหาปลา มันทำให้ผมรู้สึกเป็นคนใจเย็นลง” แจ็คกี้เล่าพร้อมกับสายตาที่เปล่งประกายไปด้วยความสุข

อีกอย่างหนึ่งที่เขาชอบทำก็คือ ‘การดำยิง’ (การดำน้ำลงไปหาปลาและยิงปลาใต้น้ำ) ซึ่งเขาชอบมากกว่า เขามองว่าใต้น้ำมันสวยกว่าบนบนเยอะ และช่วงกลางคืนดำง่ายกว่าช่วงกลางวัน เพราะปลาจะมองเห็นชัดกว่า แสงไม่รบกวน แต่ก็ต้องใช้ไฟช่วย

ปกติเขาจะไปตกปลาคนเดียว เพราะรู้สึกว่ามันคล่องตัวกว่า แต่บางทีก็ชวนเพื่อนบ้าง ถ้านึกอยากตกปลา ก็ไปด้วยกัน นอกจากนี้เขายังชอบออกไปกางเปลนอนมองดูท้องฟ้าด้วย 

แจ็คกี้ยังชอบไปขับรถเรื่อย ๆ ออกไปหาที่นอนดูดาวบนท้องฟ้าเพื่อหยุดยั้งความคิดในหัวที่เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา “บางอย่างเราอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ บางอย่างต้องใช้ความรู้สึกด้วยตัวเอง นอนดูดาวเฉย ๆ ปิดโทรศัพท์ แค่นอนดู นอนฟัง อยู่กับความเงียบเยอะ ๆ  มันมีความรู้สึกจริง ๆ นะ”

“ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองไปเดินป่าดูกันสักครั้ง ปีใหม่ดอยอินทนนท์สวย แต่เลือกที่ดี ๆ ที่ไม่มีคน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไปลองฟังเสียงธรรมชาติดู มันเป็นอะไรที่โคตรฟิน” อีกหนึ่งสิ่งที่เขาชอบทำก็คือการไปเดินป่า เขาเคยไปมาแล้วสามที่ ก็คือเขาคิชกูฏ เขาใหญ่ กับเขาสอยดาวเหนือ

“ผมจอดมอไซค์ ไปกางเปลนอน เดินไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยมีจุดหมายอะไรขนาดนั้น แค่เพราะว่าตอนนี้ผมมีคดีอยู่ เลยพยายามเข้าใจคำว่าอิสระให้มากขึ้นก่อนที่อาจจะไม่มีอีก ผมได้แต่หวังแค่ว่าจะยังมีอิสระอยู่”

สิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรมเรื่องเดียวสำหรับเขาเลยคือ เขาไม่ใช่เจ้าของระเบิดตามที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนครอบครอง “จะมีใครจะเอาระเบิดไปยัดในกระเป๋ากางเกงยีนส์ที่มันรัดขนาดนั้นได้บ้าง” 

เขายังคงยืนยันคำเดิม และบอกอีกว่าทุกวันนี้เขาใช้ชีวิตยากขึ้น เลยทำให้การตัดสินใจในแต่ละเรื่องยังไปไม่สุดสักทางหนึ่ง เขายังคงกังเวลและติดภาระพัวพันกับการที่จะต้องย้ายบ้านในช่วงเร็ว ๆ นี้ รวมถึงงานที่ทำอยู่ด้วย เป็นห่วงแมวสองตัวที่เสมือนเป็นครอบครัวหนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้

“ผมทำใจไม่ได้ ถ้าจะต้องกลับเข้าไปในเรือนจำอีกรอบ เพราะทุกครั้งที่ผมตื่นมาทุกเช้า รอบ ๆ จะมีแต่คนแก้ผ้าเดิน แก้ผ้าอาบน้ำ มองไปรอบ ๆ ก็เห็นแต่กำแพงที่ปีนข้ามไม่ได้ ให้ผมนอนร้อนข้างนอกดีกว่าไปนอนร้อนในคุก มันสกปรกเกินไป 

“เพื่อนรอบตัวก็พูดเป็นเสียงเดียวกันกับผมว่า ‘ทำไปแล้ว ทำไงได้’ แต่ระเบิดนี่ไม่ใช่ของผม ผมยืนยันได้จริง ๆ ผมกลัวว่าทุกอย่างที่ผมสร้างขึ้นมาเอง อุตส่าห์ตะเกียกตะกายมาถึงจุดนี้ มันจะล้มเละเทะไม่เป็นท่า อิสรภาพผมจะหายไป ผมมาไกลขนาดนี้เพื่อไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้”

แจ็คกี้ให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นสอบสวนตลอดจนชั้นพิจารณาคดี ว่าเขาไม่ได้ทำผิดตามที่เขาถูกกล่าวหา ว่าฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และครอบครองวัตถุระเบิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ แต่เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2566 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องเฉพาะข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเห็นว่าบริเวณที่แจ็คกี้ถูกจับคือแฟลตดินแดง จึงนับว่าเป็นเคหสถาน แต่ลงโทษจำคุก 3 ปี ในข้อหาครอบครองวัตถุระเบิด 

ถึงแม้ว่าจะไม่พบลายนิ้วมือใครจากระเบิดที่เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้เลยก็ตาม แต่เห็นว่ามีภาพพยานหลักฐานที่แจ็คกี้ชี้ระเบิดชิ้นดังกล่าว ซึ่งเขาเคยถูกดำเนินคดีมาก่อน จึงควรทราบดีว่าการให้ชี้วัตถุระเบิดหมายความว่าอย่างไร ศาลจึงเชื่อว่าระเบิดดังกล่าวเป็นของแจ็คกี้ 

ต่อมาทนายของแจ็คกี้ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา ก่อนที่ศาลอาญาจะนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 1 เม.ย. 2568 เวลา 09.00 น.

.

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

จำคุก 3 ปี “แจ็คกี้” ครอบครองระเบิดปิงปอง แต่ยกฟ้องข้อหาฝ่าเคอร์ฟิว กรณีถูกจับใน #ม็อบ6ตุลา64 หน้าแฟลตดินแดง ก่อนศาลอาญาให้ประกันชั้นอุทธรณ์

X