แถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ขาดอากาศจนสลบระหว่างถูกคุมในค่ายทหาร

21 กรกฎาคม 2562 มีการรายงานข่าวว่า นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ผู้ถูกควบคุมตัวภายใต้ กฎอัยการศึกในค่ายอิงคยุทธบริหาร ถูกพบหมดสติในศูนย์ซักถามของค่ายเมื่อเวลาประมาณ   3:00 น. เจ้าหน้าที่ประจำค่ายจึงส่งตัวนายอับดุลเลาะเข้ารับการรักษาเบื้องต้นที่โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร จากนั้น ได้มีการส่งตัวต่อไปรักษาต่อ ณ อาคารผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) โรงพยาบาลปัตตานี ทั้งนี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้รับข้อมูลว่า นายอับดุลเลาะมีอาการสมองบวมอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากการขาดอากาศ หายใจเป็นเวลานานในระหว่างการควบคุมตัว ขณะนี้ยังคงไม่รู้สึกตัวและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น มูลนิธิฯ ได้รับรายงานว่า นายอับดุลเลาะถูกจับและควบคุมตัว ภายใต้ อำนาจพิเศษตามกฏอัยการศึก เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2562 เวลาประมาณ 16:00 น. หลังจากเจ้าหน้าที่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเลขที่ 219/2 หมู่ 3 ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี โดยมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่นำตัวนายอับดุลเลาะไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรสาย บุรี จ.ปัตตานี ก่อนนำตัวส่งไปยังหน่วยซักถามของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ประจำค่ายอิงคยุทธบริหารในเวลาประมาณ 19:30 น. เพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อมา ในเวลา 9:00 น. ญาติพบว่า นายอับดุลเลาะได้ถูกส่งตัวไปยังห้อง ไอซียู โรงพยาบาลปัตตานีแล้ว

ในขณะนี้ มีการนำเสนอข่าวและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าวจำนวนมาก อีกทั้ง ตัวแทนภาค ประชาสังคมและประชาชนในพื้นที่บางส่วนได้ออกมาแสดงความกังวลว่า นายอับดุลเลาะอาจถูกซ้อมทรมานในระหว่างการควบคุมตัวในค่ายทหาร ทั้งนี้ นายอับดุลเลาะเป็นเพียงหนึ่งในคนจำนวนกว่า 6,000 คนที่ถูกควบคุมตัวภายใต้กฏหมายพิเศษ คือพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน  ซึ่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงสามารถปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุมคนได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล อีกทั้งยังสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพื่อซักถามข้อมูลข่าวกรองได้เป็นเวลารวมแล้วถึง 37 วันโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อกล่าวหาหรือพาตัวผู้ต้องสงสัยไปรายงานตัวที่ศาล ถูกจำกัดการเยี่ยมโดยญาติ และไม่สามารถพบและปรึกษากับทนายความได้

ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่กฏหมายสองฉบับนี้ได้ถูกประกาศใช้ในพื้นที่ชายแดนใต้ของประเทศไทย มูลนิธิฯได้รับ ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่ตกอยู่ภายใต้ การควบคุมตัวซึ่งคล้ายคลึงกับกรณีของนายอับดุลเลาะเป็นจำนวนมาก โดยข้อร้องเรียนส่วนใหญ่มักไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างรวดเร็วโปร่งในและมีประสิทธิภาพจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ องค์กรอิสระ และฝ่ายตุลาการก็ตาม

การซ้อมทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่ตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี  (Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) เมื่อปี 2557 คณะกรรมการต่อต้านการทรมานประจำสหประชาชาติได้เคยแสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับ “ข้อกล่าวหาจำนวนมากเกี่ยวกับการซ้อมทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอันเกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งกระทำโดยเจ้า หน้าที่หน่วยงานความมั่นคงและทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อเค้นเอาคำสารภาพ” นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังระบุอีกว่า การบังคับใช้กฏหมายพิเศษทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงและยังส่งเสริมวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดที่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถละเมิดสิทธิมนุษยชนได้โดยไม่ต้องรับโทษใดๆ อีกด้วย

ดังนั้น มูลนิธิผสานวัฒนธรรม องค์กรและบุคคลท้ายแถลงการณ์จึงขอเรียกร้องเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้

  1. ขอให้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้ โดยมูลนิธิฯเสนอให้มีนักวิชาการ ผู้นำชุมชน ตัวแทนภาคประชาสังคม และเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายพลเรือนเป็นผู้นำการตรวจสอบและมีมาตรการรับรองอำนาจของคณะกรรมการในการเข้าถึงข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ และมีความเป็นอิสระจากหน่วยงานความมั่นคงเพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งอาจส่งผลต่อความเป็นกลางในการค้นหาความจริง ทั้งนี้ผู้ตรวจสอบพึงตระหนักว่า การทรมานมีหลายวิธีที่อาจไม่พบร่องรอยบาดแผลจากการทรมาน เช่นวอเตอร์บอร์ดิ้ง (Waterboarding) ดังนั้นจึงต้องมีแพทย์นิติเวชศาสตร์ที่เป็นอิสระร่วมในการตรวจสอบด้วย
  2. หากพบว่ามีการกระทำอันใดที่ละเมิดต่อร่างกายของนายอับดุลเลาะจริง ขอให้ออกมาตรการชดเชย เยียวยาผู้เสียหายและครอบครัวให้สภาพร่างกายและจิตใจกลับมาสู่สภาพเดิมหรือใกล้เคียงสภาพ เดิมที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ พร้อมทั้งลงโทษเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทั้งใน ทางวินัยและอาญา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของสังคมต่อเจ้าหน้าที่และรัฐบาล
  3. เจ้าหน้าที่และหน่วยงานด้านความมั่นคงต้องเคารพยึดถือและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้ง มาตรการในการป้องกันและยุติการทรมานโดยเด็ดขาด เพื่อให้ประชาชนมีความไว้วางใจและร่วมกัน สร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้
  4. ขอให้รัฐบาลไทยเร่งรัดในการตรากฎหมายเกี่ยวกับการต่อต้านการทรมานและการป้องกันการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยยึดมั่นในหลักการสิทธิมนุษยชนตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ และอนุสัญญาป้องกันบุคคลจากการถูกบังคับให้สูญหาย เพื่อคุ้มครองประชาชนจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันร้ายแรงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจของประชาชนต่อรัฐ
  5. มูลนิธิฯเห็นพ้องกับคณะกรรมการต่อต้านการทรมานของสหประชาชาติว่า การใช้อำนาจตาม กฎหมายพิเศษเพื่อปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ในจังหวัดชายแดนใต้ที่มักขาดการตรวจสอบถ่วงดุลตามหลักนิติธรรม ทำให้เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการซ้อมทรมานในระหว่างการควบคุมตัว ดังนั้น นอกจากกฏหมายเหล่านี้ไม่ สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ได้แล้ว ยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น มูลนิธิฯจึงขอให้ หน่วยงานด้านความมั่นคงพิจารณายุติการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในการจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้อง สงสัยโดยขอให้ใช้กระบวนการยุติธรรมตามปกติแทน
  6. ในระหว่างพิจารณาการยุติการบังคับใช้กฏหมายพิเศษ ขอให้กำหนดมาตรการที่ชัดเจนและจัดตั้ง กลไกป้องกันการซ้อมทรมานและการกระทำใดๆที่อาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมทั้งขอให้ยอมรับนับถือสิทธิต่างๆของผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวตามมาตรฐานสากล เช่น การอนุญาตให้ญาติสามารถเข้าเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวได้เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที พบและปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะ การเปิดโอกาสให้องค์กรอิสระจากภายนอก โดยเฉพาะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและหน่วยงานภาคประชาสังคม สามารถเข้าร่วมตรวจสอบสถาน ที่ควบคุมตัวและเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวอย่างสม่ำเสมอและสัมภาษณ์ผู้ถูกควบคุมตัวได้อย่างอิสระโดย ไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า รวมถึงการสร้างกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อร้องเรียนเรื่องการซ้อมทรมานโดยมีหน่วยงานทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เป็นต้น
  7. ขอให้รัฐบาลออกกฎระเบียบในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจนโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของ หลักสิทธิมนุษยชนและนิติธรรม เช่นการตรวจค้น จับกุม ควบคุมตัว เยี่ยมฯลฯ และลงโทษเจ้าหน้าที่ ที่ละเลย หรือละเมิดกฎระเบียบดังกล่าวอย่างจริงจัง

องค์กรร่วมลงนาม 

  1. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
  2. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
  3. กลุ่มด้วยใจ
  4. องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP)
  5. เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD)
  6. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (Human Rights Lawyers Association)
  7. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (Thai Lawyers for Human Rights)
  8. มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (Community Resource Centre Foundation)
  9. มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (Human Rights and Development Foundation)

บุคคลร่วมลงนาม 

  1. ซาฮารี เจ๊ะหลง
  2. อสมา มังกรชัย, คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี
  3. Solar Gasia
  4. อับดุลสุโก ดินอะ
  5. ทวีศักดิ์ ปิ
  6. มูฮัมหมัดรุสดี เชคฮารูณ
  7. อับดุลสุโก ดินอะ
X