ศาลทหารยกคำร้องฝากขัง 7 นักกิจกรรม คดีรณรงค์ประชามติ ปล่อยตัวที่เรือนจำพิเศษ กท. เช้าพรุ่งนี้

วันนี้ศาลทหารมีนัดฝากขัง 13 ผู้ต้องหาคดีแจกใบปลิวรณรงค์ประชามติผัดที่สอง 7 คนที่ไม่ได้ประกันตัว ทนายความยื่นคำร้องคัดค้านฝากขังเนื่องจากเห็นว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องคุมขังทั้ง 7 คน ภายหลังศาลยยกคำร้องฝากขังและให้ปล่อยตัวทั้ง 7 คน โดยปล่อยตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้

20160705-7 คน-01

5 ก.ค.2559 เวลา8.30 น. เรือนจำพิเศษกรุงเทพนำตัวผู้ต้องหา 7 คน คดีแจกใบปลิวรณรงค์ประชามติที่สมุทรปราการเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2559 มาที่ศาลทหารกรุงเทพหลังครบกำหนดฝากขังครั้งแรก 12 วัน โดยผู้ต้องหาอีก 6 คน ที่ได้ประกันตัวได้ทะยอยเดินทางมาศาลเพื่อรายงานตัวต่อศาลทหารด้วยเช่นกัน

คดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 13 คน โดยมีผู้ที่ขอปล่อยตัวชั่วคราวตั้งแต่ฝากขังครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ทั้งหมด 6 คน ได้แก่ รักษ์ชาติ วงศ์อธิชาติ พรรณทิพย์ แสงอาทิตย์ ปีใหม่ รัฐวงษา เตือนใจ แวงคำ กรชนก ธนะคูณ วรวุฒิ บุตรมาตร ส่วนผู้ที่ไม่ได้ขอปล่อยตัวชั่วคราวมี 7 คน ได้แก่ รังสิมันต์ โรม กรกช แสงเย็นพันธ์ อนันต์ โลเกตุ ธีรยุทธ นาขนานรำ ยุทธนา ดาศรี สมสกุล ทองสุกใส และนันทพงศ์ ปานมาศ

ตุลาการพระธรรมนูญลงพิจารณาเวลา 11.00 น. ทั้งนี้ในรอบเช้าศาลได้เลื่อนการพิจารณาเป็นรอบบบ่ายเนื่องจากพนักงานสอบสวนติดภารกิจไม่สามารถมาได้ จนกระทั่งเวลา 13.48 น. จึงเริ่มการพิจารณาอีกครั้ง โดยพนักงานสอบสวนได้ยื่นขอศาลฝากขังต่อระหว่างวันที่ 6-17 ก.ค. เนื่องจากยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานทางคดีเพื่อพิสูจน์การกระทำผิดของผู้ต้องหา ทั้งนี้ศาลได้ไต่สวนเพิ่มเติมพนักงานสอบสวนเบิกความว่าได้ทำสำนวนเสร็จเรียบร้อย เสนอต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ที่ต้องฝากขังเพราะเป็นขั้นตอนที่รอความเห็นจากผู้บังคับบัญชาและส่งสำนวนให้อัยการ ถ้าปล่อยไปจะไม่สะดวก เนื่องจากวันที่ส่งสำนวนให้อัยการต้องมีตัวผู้ต้องหาด้วย แต่พนักงานสอบสวนก็ได้เบิกความด้วยว่าผู้ต้องหาทั้ง 6 คนที่ได้ประกันตัวออกไปก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏว่ามีการไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานแต่อย่างใด

ภายหลังไต่สวนตุลาการได้สั่งพักการพิจารณา จากนั้นเวลา 15.20น. ตุลาการได้มีคำสั่งยกคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาเอาไว้

ทั้งนี้ทนายความได้ยื่นคำร้องคัดค้านฝากขังผู้ต้องหา 7 คนที่ยังถูกฝากขังในเรือนจำโดยให้เหตุผลว่าในคดีนี้พนักงานสอบสวนสภงบางเสาธงได้ถามคำให้การและซักประวัติผู้ต้องหาจนเสร็จแล้วตั้งแต่ชั้นสอบสวนที่สถานีตำรวจ นอกจากนั้นผู้ต้องหายังมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งสามารถติดตามตัวได้และผู้ต้องหายังยืนยันว่าพวกตนไม่ได้กระทำความผิดตามกฎหมายใดจึงไม่มีเจตนาหลบหนีแน่นอน

อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังได้เบิกความไว้ในการฝากขังครั้งแรกอีกว่าพยานบุคคลจำนวน 10 ปากที่ต้องสอบสวน พนักงานสอบสวนเองก็ยังไม่ทราบทั้งหมดว่าเป็นบุคคลใดบ้าง ผู้ต้องหาจึงไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครบ้างเป็นพยานในคดี นอกจากนั้นพยานที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายที่สามารถสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาได้ แต่ผู้ต้องหาเป็นเพียงบุคคลธรรมดาจึงไม่สามารถไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ และคดีนี้ไม่ใช่คดีความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย เสรีภาพและทรัพย์สินของบุคคลใด เพียงแต่เป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญการไม่ควบคุมตัวไว้ย่อมไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อสังคม

ผู้ต้องหาทั้ง 7 ยังให้เหตุผลอีกว่าหากพวกตนถูกฝากขังต่อจะได้รับความเดือดร้อนทั้งตนเองและครอบครัว ในกรณีของรังสิมันต์ โรม อนันต์ สมสกุล และนันทพงศ์ ยังอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียนหากไม่ได้รับการปล่อยตัวจะมีผลกระทบต่อการเรียน ส่วนกรกช ธีรยุทธและยุทธนามีภาระต้องทำงานหาเลี้ยงดูครอบครัว

ภายหลังตุลาการฯ ได้ยกคำร้องฝากขังทั้ง 7คน รังสิมันต์ โรม กรกช แสงเย็นพันธ์ อนันต์ โลเกตุ ธีรยุทธ นาขนานรำ ยุทธนา ดาศรี สมสกุล ทองสุกใส และนันทพงศ์ ปานมาศ จะถูกปล่อยตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงเช้าของวันที่ 6ก.ค.2559

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ย่ำรุ่งที่หมุดคณะราษฎร สู่พลบค่ำในเรือนจำ: ประมวลสถานการณ์สิทธิฯ วัน 84 ปีอภิวัฒน์สยาม

X