รวมเหตุการณ์คดีละเมิดอำนาจศาลของ “อานนท์ นำภา” หลังถอดเสื้อประท้วงศาล สะท้อนความผิดปกติในกระบวนการ – ไร้สิทธิในการพิจารณาอย่างเป็นธรรม

กว่า 3 เดือนแล้ว หลังศาลอาญามีคำสั่งจำคุก 6 เดือน “อานนท์ นำภา” ในคดีละเมิดอำนาจศาล จากเหตุถอดเสื้อประท้วงศาลที่ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญให้ในคดีมาตรา 112 #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 โดยอ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 

ในคดี #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 อานนท์ถอดเสื้อประท้วงศาลถึง 2 ครั้ง หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ศาลได้สั่งพิจารณาคดีลับในคดี #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์1 จนสิ้นสุดการสืบพยาน และตั้งเรื่องละเมิดอำนาจศาลกับอานนท์ โดยมีการเบิกตัวอานนท์ไปไต่สวนในวันที่ 23 ม.ค. 2568 แต่อานนท์ไม่ทราบนัดล่วงหน้ามาก่อน และยังไม่มีทนายความ อานนท์จึงยืนยันขอเลื่อนคดี ก่อนศาลอนุญาตให้เลื่อนการไต่สวน

ในนัดไต่สวนวันที่ 5 มี.ค. 2568 ก่อนการไต่สวน อานนท์ถอดเสื้อประท้วงเป็นครั้งที่ 3 หลังผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะสั่งพิจารณาคดีลับ แต่ต่อมาศาลจึงอนุญาตให้ประชาชนนั่งฟังการพิจารณาคดีโดยสงบเรียบร้อย 

อย่างไรก็ตาม ในนัดไต่สวนดังกล่าว ปรากฏว่าพยานวัตถุของผู้กล่าวหาเป็นคลิปวิดีโอที่บันทึกภาพและเสียงไว้เฉพาะเหตุการณ์ภายหลังจากที่อานนท์ถอดเสื้อแล้ว และผู้กล่าวหายังนำพยานเข้าเบิกความเพียง 2 ปาก ซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์โดยตลอด แต่ศาลกลับสั่งตัดพยานของผู้กล่าวหาเอง และยังเป็นปากสำคัญคือ เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานในวันเกิดเหตุ โดยระบุว่าเนื่องจากติดสืบพยานอยู่

เมื่ออานนท์ยืนยันให้รอพยานปากดังกล่าวมาเบิกความก่อน อานนท์และพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นนักวิชาการอีก 3 ปาก จึงจะขึ้นเบิกความตามลำดับต่อไป ศาลก็ให้งดสืบพยานผู้ถูกกล่าวหาด้วย และนัดฟังคำสั่งในวันที่ 28 มี.ค. 2568 ทันที

ในวันฟังคำสั่ง อานนท์ไม่ได้ถูกเบิกตัวขึ้นมาที่ห้องพิจารณาคดี โดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ได้สั่งให้เบิกตัวอานนท์และตามตัวทนายความลงไปที่ห้องเวรชี้ 2 โดยประชาชนไม่สามารถเข้าฟังได้ และอ่านคำสั่งในคดีนี้ อานนท์จึงได้ถอดเสื้อประท้วงครั้งที่ 4 พร้อมเตะขาสลับซ้ายขวาไปเรื่อย ๆ โดยที่ข้อเท้าถูกสวมโซ่กุญแจเท้าตามระเบียบเรือนจำอยู่ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ตั้งแต่ต้นจนจบ การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของอานนท์เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาต้องการ ‘สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม’ (Right to Fair Trial) ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน แต่ศาลกลับปฏิเสธที่จะให้สิทธิดังกล่าวกับอานนท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมนี้ ยังครอบคลุมถึงสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผย, หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และ หลักความเป็นอิสระของตุลาการ ซึ่งล้วนเป็นหลักการที่ช่วยเติมเต็มให้จำเลยในคดีอาญาได้รับความเสมอภาคและเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง

.

สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผย (Public Trial) ได้รับการรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 14 1. “…ในการพิจารณาคดีอาญาซึ่งตนต้องหาว่ากระทำผิด หรือคดีเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของตน บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม…” และส่วนหนึ่งตอนท้ายว่า “…แต่คำพิพากษาในคดีอาญา หรือคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีอื่นต้องเปิดเผย เว้นแต่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของเด็กและเยาวชน หรือเป็นกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยข้อพิพาทของคู่สมรสในเรื่องการเป็นผู้ปกครองเด็ก” 

สอดคล้องกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง “การพิจารณาและสืบพยานในศาล ให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”, มาตรา 182 วรรคสอง “ให้อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งในศาลโดยเปิดเผยในวันเสร็จการพิจารณา…” และมาตรา 188 “คำพิพากษาหรือคําสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ได้อ่านในศาลโดยเปิดเผยเป็นต้นไป”

การพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผยจึงไม่ใช่เพียงการเปิดเผยต่อหน้าคู่ความ หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้น แต่ต้องเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจและการปฏิบัติหน้าที่ของศาล และเป็นหนึ่งในช่องทางสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาล

ในคดีอาญา ศาลจึงต้องพิจารณาคดีโดยเปิดเผยเป็นหลัก และพิจารณาคดีลับได้เฉพาะเมื่อมีเหตุตามข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในกฎหมาย โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 กำหนดไว้ว่า “ศาลมีอำนาจสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ เมื่อเห็นสมควรโดยพลการหรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใด แต่ต้องเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน”

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับอานนท์ในคดีละเมิดอำนาจศาลพบว่า ในนัดไต่สวนวันที่ 5 มี.ค. 2568 ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าฟังในห้องพิจารณาคดี โดยไม่ได้มีการสั่งพิจารณาลับแต่อย่างใด โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของผู้บริหาร ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย

ภายหลังเมื่อทนายจำเลยโต้แย้ง ศาลได้ขึ้นไปปรึกษาผู้บริหาร ก่อนกลับลงมาแจ้งว่าจะสั่งพิจารณาคดีลับ โดยให้เหตุผลว่า ศาลคาดการณ์ว่าจะไม่มีความสงบเรียบร้อย แม้ในขณะนั้นไม่มีประชาชนคนใดมีพฤติการณ์ที่จะก่อความไม่สงบเรียบร้อยเลยก็ตาม เป็นเหตุให้อานนท์ถอดเสื้อประท้วงความไม่เป็นธรรมเป็นครั้งที่ 3 เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ในห้องพิจารณาคดีได้ จนภายหลัง ศาลได้มีคำสั่งอนุญาต และไม่ได้สั่งพิจารณาลับอีก

อย่างไรก็ตาม ในนัดฟังคำสั่งเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ศาลกลับเบิกตัวอานนท์และตามตัวทนายความลงไปที่ห้องเวรชี้ 2 และอ่านคำสั่งในคดีนี้ ทำให้ประชาชนที่มารอฟังการพิจารณาคดีไม่สามารถเข้าฟังได้ ซึ่งห้องเวรชี้จะใช้พิจารณาคดีของจำเลยที่ถูกนำตัวมาฟ้องศาลวันแรกเพื่ออ่านฟ้องให้จำเลยฟัง สอบถามคำให้การและความประสงค์ในการตั้งทนายความ ไม่ใช่ห้องที่ใช้พิจารณาคดีโดยทั่วไปที่ประชาชนสามารถเข้ารับฟังการพิจารณาได้ แต่ศาลอ้างว่าการอ่านคำพิพากษาต่อหน้าจำเลยและทนายจำเลยถือเป็นการอ่านคำพิพากษาโดยเปิดเผยแล้ว สามารถทำได้  อานนท์จึงประท้วงโดยการถอดเสื้อเป็นครั้งที่ 4 พร้อมเตะขาสลับซ้ายขวาไปเรื่อย ๆ โดยที่ข้อเท้าถูกสวมโซ่กุญแจเท้าอยู่ 

จากข้างต้น ศาลมีความพยายามสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าฟังการพิจารณาคดีตั้งแต่วันนัดไต่สวน แม้ไม่ปรากฏว่าประชาชนคนใดจะก่อความไม่สงบเรียบร้อยหรือความวุ่นวายขัดขวางการพิจารณาคดี กระทั่งการอ่านคำสั่งศาลยังใช้การย้ายห้องพิจารณาทำให้เสมือนเป็นการพิจารณาคดีลับ แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้บัญญัติข้อยกเว้นให้ศาลอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยลับได้แต่อย่างใด 

เหตุที่ศาลยกขึ้นอ้างในแต่ละครั้งยังมิใช่ข้อยกเว้นอันสมควรตามกฎหมาย การที่ศาลปฏิเสธสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผยของอานนท์ซ้ำ ๆ เช่นนี้ จึงเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและหลักการตามกฎหมายระหว่างเทศซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี

.

สิทธิที่จะได้รับหลักประกันขั้นต่ำในการพิจารณาคดีอาญา ได้รับรองไว้ใน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 3. โดยมีข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ดังนี้

(ข) สิทธิที่จะมีเวลา และได้รับความสะดวกเพียงพอแก่การเตรียมการเพื่อต่อสู้คดี และติดต่อกับทนายความที่ตนเองเลือก

(จ) สิทธิที่จะซักถามพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน และขอให้เรียกพยานฝ่ายตนมาซักถามภายใต้เงื่อนไขเดียวกับพยานซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อตน รวมถึงนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ และในกรณีที่พยานหลักฐานนั้น คู่ความไม่สามารถนำมาแสดงต่อศาลได้ด้วยตนเอง หากมีความเกี่ยวข้องกับสาระสำคัญหรือประเด็นต่อสู้แห่งคดีและคู่ความร้องขอ ศาลย่อมมีอำนาจและหน้าที่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานดังกล่าวเข้ามาในคดี

สิทธิข้างต้นถูกบัญญัติไว้ต่อเนื่องจาก สิทธิได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (Presumption of innocence) ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 2. “บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดทางอาญา ต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด” และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ข้อ 11 “ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญามีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดตามกฎหมายในการพิจารณาคดีที่เปิดเผย ซึ่งตนได้รับหลักประกันที่จำเป็นทั้งปวงสำหรับการต่อสู้คดี” 

ในคดีอาญา ผู้กล่าวหาจะต้องรับภาระในการพิสูจน์ว่าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยได้กระทำความผิดจริงจนสิ้นสงสัย และผู้ถูกกล่าวหาจะไม่ถูกรับภาระในการพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ในขณะเดียวกัน ระหว่างการดำเนินกระบวนการทางอาญา เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยดั่งเช่นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิด

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับอานนท์ในคดีละเมิดอำนาจศาลพบว่า ในวันที่ 23 ม.ค. 2568 มีการเบิกตัวอานนท์ไปไต่สวน โดยอานนท์ไม่ทราบนัดล่วงหน้ามาก่อน และยังไม่มีทนายความ แต่ศาลกลับมีความพยายามในการให้อานนท์ในการถามความและไต่สวนด้วยตนเอง พร้อมเสนอให้ศาลตั้งทนายขอแรงเข้ามาในคดี ทั้งยังพยายามถามว่าอานนท์ได้ถอดเสื้อจริงหรือไม่หลายครั้ง แม้อานนท์จะยืนยันปฏิเสธการไต่สวนที่กะทันหันในวันนั้นและขอเลื่อนคดีเพื่อรอทนายความของตน

แม้ภายหลังศาลจะอนุญาตให้เลื่อนคดี แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ศาลมีความพยายามในการเร่งรัดให้คดีเสร็จการพิจารณา โดยละเลยสิทธิของจำเลยในคดีอาญาที่จะได้รับหลักประกันขั้นต่ำในการต่อสู้คดี และไม่ให้เวลาและความสะดวกเพียงพอในการเตรียมการต่อสู้คดี 

การที่ศาลถามซ้ำ ๆ ว่าอานนท์ได้ถอดเสื้อจริงหรือไม่ ในนัดไต่สวนวันที่ 23 ม.ค. 2568 และ 5 มี.ค. 2568 โดยไม่ได้มีความพยายามไต่สวนพยานบุคคลหรือเรียกพยานหลักฐานอื่น ๆ เข้ามาในคดีเพื่อแสวงหาต้นสายปลายเหตุที่นำมาสู่การถอดเสื้อประท้วงของอานนท์ ไม่พิจารณาเจตนาหรือวัตถุประสงค์ของการกระทำ  แต่พิจารณาเพียงข้อเท็จจริงว่า เมื่ออานนท์ถอดเสื้อก็เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อย และมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลแล้วนั้น เป็นการพิจารณาที่ละเลย เจตนาภายในอันเป็นหนึ่งในองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย  การพิจารณาดังกล่าวย่อมขัดต่อสิทธิได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ 

พยานวัตถุซึ่งเป็นวิดีโอภาพเคลื่อนไหว ยังปรากฏเหตุการณ์เพียงหลังจากอานนท์ถอดเสื้อแล้ว ไม่ได้แสดงให้เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นเหตุของการถอดเสื้อประท้วง และไม่แสดงให้เห็นว่าก่อนที่ผู้พิพากษาในคดี #แฮร์รี่พอตเตอร์1 จะสั่งพิจารณาคดีลับ ประชาชนทุกคนนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดีโดยสงบเรียบร้อย และผู้กล่าวหายังปฏิเสธว่าไม่มีวิดีโอที่แสดงเหตุการณ์โดยตลอด โดยอ้างว่ากล้องวงจรปิดในห้องพิจารณาคดีไม่มีสัญญาณภาพ

อีกทั้ง พยานบุคคลที่ผู้กล่าวหานำเข้าไต่สวน 2 ปาก คนหนึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจผู้กล่าวหา ไม่ใช่ประจักษ์พยาน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจศาล ซึ่งไม่ได้อยู่ในห้องพิจารณาคดีมาตั้งแต่ต้น โดยเข้ามารักษาความปลอดภัยหลังจากที่อานนท์ถอดเสื้อแล้ว แต่ศาลก็ยังยืนยันตัดพยานผู้กล่าวหาปากเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ซึ่งติดสืบพยานอยู่ที่ศาลนี้ โดยปฏิเสธที่จะเลื่อนการไต่สวน พร้อมพยายามให้อานนท์และพยานผู้ถูกกล่าวขึ้นเบิกความในทันที เมื่ออานนท์ยืนยันว่าจะไม่ขึ้นไต่สวน ศาลก็มีคำสั่งตัดพยานผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด

จากข้างต้น เห็นได้ชัดเจนว่าศาลมีความพยายามเร่งรัดคดีให้จบลงโดยเร็ว ไม่ให้เวลาที่เพียงพอในการต่อสู้คดี ไม่พยายามเรียกพยานบุคคลและพยานวัตถุที่มีความสำคัญในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยเข้ามาในคดี และยังลิดรอนสิทธิผู้ถูกกล่าวหาในการเรียกพยานฝ่ายตนขึ้นเบิกความ โดยอ้างว่าได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหานำพยานเข้าไต่สวนแล้ว แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ทำ เห็นว่าทำให้คดีล่าช้า จึงให้งดการไต่สวน ดังนั้นอานนท์จึงไม่ได้รับหลักประกันขั้นต่ำในการต่อสู้คดีตามกฎหมายระหว่างเทศซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี

.

หลักความเป็นอิสระของตุลาการ (Judicial Independence) ได้รับการรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 14 (1) “…บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม โดยคณะตุลาการซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย มีอำนาจ มีความเป็นอิสระ และเป็นกลาง…” 

ความเป็นอิสระของตุลาการ นอกจากจะต้องพ้นจากการแทรกแซงหรืออิทธิพลใด ๆ จากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจอธิปไตยแล้ว ยังหมายความถึงความเป็นอิสระของผู้พิพากษาและตุลาการแต่ละคนในการพิจารณาและพิพากษาคดี โดยไม่ถูกแทรกแซงใด ๆ รวมถึงการแทรกแซงจากผู้บังคับบัญชา ทั้งยังต้องดำรงตนเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปที่คู่ความฝ่ายใด และปราศจากอคติทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นอคติทางการเมืองหรืออื่น ๆ

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับอานนท์ในคดีละเมิดอำนาจศาลพบว่า เมื่อฝ่ายผู้ถูกกล่าวหามีการโต้แย้งใด ๆ เกี่ยวกับคดี ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านการพิจารณาคดีลับ หรือขอเลื่อนคดี ศาลจะมีการขึ้นไปปรึกษาผู้บริหารศาลก่อนทำคำสั่ง อ้างว่าเนื่องจากเป็นคดีสำคัญ 

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างผู้บริหารศาลในการออกคำสั่งใด ๆ ในคดี ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้บุคคลคนที่ไม่เกี่ยวข้องขอให้ออกจากห้องพิจารณาคดี เพราะผู้บริหารสั่งให้ออก หรือการปรึกษาผู้บริหารศาลก่อนสั่งพิจารณาคดีลับ และในวันฟังคำสั่งโดยลับในห้องเวรชี้ 2 ศาลยังอ้างว่าได้ปรึกษากับอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาแล้วและยืนยันว่าสามารถทำได้  

จากข้างต้น ระเบียบไม่ว่าจะเป็นทางการหรือไม่ภายในองค์กรตุลาการ ซึ่งให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนที่มีหน้าที่รับผิดชอบคดีต้องรายงานและปรึกษาคดีสำคัญกับผู้บังคับบัญชา สามารถนำไปสู่การแทรกแซงความเป็นอิสระในการทำคำสั่งและคำพิพากษาของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนได้ ซึ่งผู้พิพากษาในคดีนี้ก็ได้นำเหตุดังกล่าวมาอ้างประกอบการทำคำสั่งใด ๆ 

ทั้งยังเป็นที่น่าตั้งคำถามว่าในคดีละเมิดอำนาจศาลซึ่งมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือเป็นการกระทำเพื่อประท้วงองค์กรหรือบุคลากรในกระบวนการตุลาการ ทั้งในคดีลักษณะนี้เอง ผู้ตั้งเรื่องไต่สวน ผู้ที่ตัดพยานของจำเลย และผู้พิจารณาลงโทษก็เป็นศาลเอง คำถามต่อกระบวนการ เพื่อทำให้เกิดการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม โดยผู้พิจารณาที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง จึงยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

X