เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “แม็กกี้” ผู้ต้องขังผู้มีความหลากหลายทางเพศ วัย 28 ปี ผู้ถูกขังในคดีมาตรา 112 ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ภายหลังเธอเผชิญกับสภาวะแพนิค ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ (30 พ.ค.) ทางเรือนจำแจ้งกับทนายที่เข้าเยี่ยมว่าแม็กกี้ติดโควิด ไม่สามารถให้เข้าเยี่ยมได้ ทำให้ไม่สามารถติดตามสถานการณ์เรื่องการรับยาฮอร์โมนที่ไม่ต่อเนื่องของเธอได้ ปัจจุบันแม็กกี้รักษาตัวอยู่ที่แดน 1 โดยไม่ได้รับการย้ายกลับไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แต่อย่างใด
.
วันนี้แม็กกี้ยังคงมีท่าทีไร้เรี่ยวแรง หน้าตาดูเบื่อหน่าย สีหน้าไร้ความรู้สึก และดูมีท่าทีมึน ๆ เบลอ ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงแต่งหน้ามาตามเดิม ทาอายแชโดว์ด้วยโทนสีอ่อน ๆ ปาดมาสคาร่า และเติมแต่งสีปากด้วยสีชมพูอ่อน
ทนายแจ้งกับแม็กกี้ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนมาตีเยี่ยม แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าแม็กกี้ต้องกักตัว เนื่องจากติดเชื้อโควิด แต่เธอปฏิเสธบอกว่าตัวเองไม่ได้ติดโควิด
“หนูไม่ได้เป็นโควิดค่ะ แต่เพื่อนร่วมห้อง 1 คนเป็นโควิดค่ะ เจ้าหน้าที่จึงให้หนูกักตัวเป็นเวลา 5 วันค่ะ หนูกักตัวตั้งแต่วันพฤหัสบดี (29 พ.ค.) จนถึงวันจันทร์ (2 มิ.ย.)”
ถึงแม้จะไม่ได้ติดโควิด แต่แม็กกี้ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยออกมาด้วย “หนูไม่มีแมสเลยค่ะ ถ้าเจ้าหน้าที่เคร่งเขาก็จะให้เราไปตามหาแมสแหละค่ะ แต่เจ้าหน้าที่วันนี้ไม่เคร่งเลยออกมาได้”
พอถามว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง หลังจากไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง แม็กกี้ยังคงรู้สึกเบื่อหน่าย อาการเธอไม่ได้ดีขึ้น เธอบอกว่าชีวิตติดวนลูป ทุกอย่างเหมือนเดิม ตื่นมา เช็คยอด อาบน้ำ กินข้าว นอน มันเป็นกิจวัตรซ้ำ ๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายอย่างไร เพราะสภาพแวดล้อมที่ทั้งน่าเบื่อ และไม่น่าอยู่แบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้น แม็กกี้ก็บอกว่าเธอไม่ได้ทำร้ายตัวเองอีกแล้ว “ก็ยังมีการกรี๊ดค่ะ แต่หนูจะกรี๊ดเบา ๆ ฟีลกริ๊ดเล่นกับเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ค่ะ ก็รู้สึกว่าระบายอารมณ์ได้ระดับหนึ่ง”
จากนั้น ทนายได้แจ้งให้แม็กกี้ทราบถึงการตอบกลับหนังสือขอย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ของทางเจ้าหน้าที่ ที่ทนายทำคำร้องส่งไปก่อนหน้านี้ แม็กกี้รับทราบในข้อความและบอกว่าได้เจอแพทย์เมื่อวันก่อน ได้พูดคุยเรื่องอาการ และการขอไปรักษาตัวที่แดน 10 ตลอดทั้งเรื่องของการปรับยา แต่คำตอบที่เจ้าหน้าที่แจ้งกับเธอคือ ที่แดน 10 ไม่มีโซนของกลุ่มผู้ต้องขังที่หลากหลายทางเพศ และการอยู่ที่นั่น แม็กกี้จะต้องพักรวมกับผู้ต้องขังชาย ทำให้ยากต่อการดูแล เนื่องจากแพทย์และเจ้าหน้าที่กังวลเรื่องของการคุกคามทางเพศ
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่เธอได้ไปรักษาตัวที่แดน 10 เป็นเวลา 3-4 วัน ช่วงนั้นเจ้าหน้าที่ต้องคอยมอนิเตอร์ตลอดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือไม่ ซึ่งแพทย์ไม่ได้ให้เหตุผลอะไรมากกว่านี้
“ทำไมหนูถึงอยู่ที่แดน 10 ไม่ได้ ทั้งที่หนูเห็นว่าที่แดน 10 ก็มีกล้อง แค่มีกล้องก็น่าจะตรวจสอบได้แล้ว แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ อ้างแค่เรื่องยากต่อการดูแล ส่วนในเรื่องการปรับยา แพทย์แจ้งว่าต้องปรึกษากับแพทย์เจ้าของไข้ก่อนว่าจะปรับยาอย่างไร” ปัญหาหลัก ๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจเหตุผลของเจ้าหน้าที่ แต่หากเรือนจำมีระเบียบที่ดูแลผู้ต้องขังอย่างเข้มงวด เธอแค่รู้สึกว่าทำไมเธอต้องกลัวการคุกคาม
.
แม็กกี้ออกความเห็นว่าทุกเรือนจำควรให้ผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศได้ยาฮอร์โมนอย่างเท่าเทียมกัน
ทนายจึงถามอัปเดตสถานการณ์เรื่องการรับยารักษาและการเทคยาฮอร์โมนของแม็กกี้ โดยเธอบอกว่าตอนนี้ได้รับยาตามความเหมาะสมแล้ว
“ทุกวันนี้หนูทานยาจิตเวช ช่วงเช้า 1 เม็ด และในช่วงเย็น 3 เม็ด”
ตอนนี้เธอได้ทานยาฮอร์โมนแล้วได้รับยาหลังจากที่ทนายตามเรื่องให้ แม็กกี้บอกว่ายาดังกล่าวนี้จะทานพร้อมกัน 4 เม็ดต่อครั้งในช่วงเช้า และช่วงเย็น
“หนูมองว่าแม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่ผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศควรได้รับยาฮอร์โมนค่ะไม่ว่าจะอยู่ที่เรือนจำใด อย่างตอนที่หนูอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หนูยังไม่ได้รับยาเลยค่ะ หนูมาได้รับยาอีกทีก็ตอนที่ถูกย้ายมาที่เรือนจำกลางคลองเปรม ดังนั้นเรื่องนี้หนูว่าควรผลักดัน”
Pride Month วนกลับมาเป็นปีที่ 2 แล้วสำหรับแม็กกี้ในฐานะผู้มีความหลากหลายทางเพศต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ทนายนำภาพของงานขบวน Pride Parade ของ Bangkok Pride ให้แม็กกี้ได้ดู เธอยิ้มออกทุกครั้งที่ได้เห็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศได้แต่งตัว แต่งหน้าในแบบของตัวเอง “คนนี้แต่งตัวเริ่ดมากค่ะ ชอบความซีทรู เซ็กซี่มาก” “บล็อกตาแน่นมาก”
อย่างไรก็ตาม นอกจากความสุขที่ได้เห็นคนออกมาแต่งตัวเฉลิมฉลองเทศกาล Pride Month แล้ว แม็กกี้เล่าว่า พอมีเทศกาลแบบนี้ ก็ทำให้เธอนึกถึงเรื่องไม่ดีสมัยเด็ก ๆ
“มันทำให้หนูนึกถึงช่วงวัยเด็กเลยค่ะ ช่วงป.1 จนถึงป.5 หนูโดนแกล้งถอดกางเกง จับก้น จับหน้าอก อีกฝ่ายก็อ้างแค่ว่าหยอกเล่นกัน แต่หนูมองว่ามันคือการคุกคามค่ะ มีหลายครั้งที่ทนไม่ไหวก็ไปแจ้งครู ครูก็จัดการแค่ลงโทษด้วยการตี แต่หนูเห็นว่าการตีไม่ได้ประโยชน์อะไร”
“แล้วหนูมีเพื่อนที่เขาเป็นเกย์ค่ะ เขาถูกพ่อตีบ่อย ๆ แค่เพราะเป็นเกย์ ถูกต่อว่าต่อหน้าเพื่อน ๆ ที่ไปทำงานด้วยกัน หนูจำได้ว่าตอนนั้นพ่อเขาพูดต่อหน้าเพื่อนผู้หญิงว่า ทำให้ลูกเขากลับมาเป็นผู้ชายหน่อย พวกหนูก็ได้แต่มองหน้า และเห็นใจเพื่อนมาก แต่เท่าที่รู้ปัจจุบันนี้ พ่อแม่ของเขายอมรับได้มากขึ้นแล้วค่ะ เพราะว่าเพื่อนหนูเขาใช้ความเป็นตนเองในการหาเงินได้ (รับจ้างแต่งหน้า) และไม่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน”
“แต่ในส่วนของหนู ครอบครัวยอมรับ และเข้าใจในความเป็นหนูได้ค่ะ พร้อมทั้งซัพพอร์ตในส่วนต่าง ๆ ตลอด หนูก็รู้สึกขอบคุณที่ทุกคนยอมรับหนูได้ แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ยังอยากจะส่งเสริมผลักดันให้ทุกคนทำความเข้าใจ และเปิดรับในเรื่องเหล่านี้ เพราะถึงจะมีความหลากหลายทางเพศ แต่ทุกคนก็เป็นคนเช่นกัน ดังนั้นทุกคนควรเคารพความแตกต่างเหล่านี้ และอย่าสร้างความเกลียดชังกันเลย”
ก่อนจากกัน ทนายนำผลรางวัลนาฏราช ประจำปี 2568 มาให้แม็กกี้ดู เธอดูดีใจ และตื่นเต้นมาก ตอนที่บอกถึงชื่อว่าใครได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม “หนูคิดไว้แล้วว่าปีนี้ต้องเป็นใบเฟิร์นที่ได้ ได้จากเรื่องนั้นไหมคะ เรื่องทองประกายแสดน่ะค่ะ”
“ทำไมชุดใบเฟิร์นดูเบาจัง น่าจะจัดเต็มกว่านี้นะ แต่ยังไงก็ยังสวย”
ให้ผู้ต้องขังแก้จดหมาย ห้ามเขียนถึง “โควิด” เกรงเป็นเรื่องความมั่นคงของเรือนจำ
จากนั้นแม็กกี้เงียบไปพักหนึ่ง นั่งเหม่อ แล้วอยู่ ๆ เธอก็พูดเกี่ยวกับประเด็นการส่งจดหมาย
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเธอต้องกักตัวเพราะมีคนเป็นโควิด ทีนี้มีเพื่อนคนหนึ่งของเธอ เขาเขียนจดหมายไปหาคนที่บ้านตามปกติ ก็บอกเล่าว่าตนเองกักตัวจากโควิดครบแล้ว ตอนนี้ลงแดนแล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกให้มาแก้ไขข้อความในจดหมาย บอกห้ามเขียนถึง “โควิด” เพราะกลัวกระทบต่อความมั่นคงของเรือนจำ แม็กกี้กับเพื่อนไม่เข้าใจมาก มันควรที่จะเขียนบอกเล่าได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมเขียนไม่ได้
“ส่วนอีกเรื่องคือ มีเพื่อนที่เขาเพิ่งย้ายห้องนอนค่ะ มาอยู่ที่ห้องเดียวกับหนู เขาก็เขียนบอกเล่าให้ครอบครัวได้รู้ค่ะว่าเขาได้ย้ายห้องนอนแล้วนะ มีเพื่อนกี่คน ชื่ออะไรบ้าง คนนี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่เรียกให้ไปแก้ไขข้อความในจดหมายค่ะ” เธอเล่าทิ้งท้าย