“ตรัณ” คือนามสมมติของชายวัย 25 ปี เขาประกอบอาชีพไรเดอร์ส่งอาหารในกรุงเทพและปริมณฑล ตรัณเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ใช้ชีวิตส่วนมากที่นครปฐมกับคนรักชื่อ “เมษา” (นามสมมติ)
ทั้งสองคนพบกันในปี 2565 ท่ามกลางกระแสการเมืองบนท้องถนนที่เริ่มซบเซา เมษาเล่าให้เราฟังว่าเธอและตรัณแทบไม่เคยคุยเรื่องการเมืองในบ้านกันเลย อาจเพราะเหตุในคดีนี้เกิดขึ้นในปี 2564 เป็นเวลาก่อนที่เธอจะพบกับเขา และอาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้คิดว่าเพียงคอมเมนต์ข้อความสั้นๆ ข้อความหนึ่ง จะถูกลงโทษถึงจำคุกในข้อหาเกี่ยวกับภัยความมั่นคงในราชอาณาจักรไปได้
ตรัณถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2565 โดยคดีนี้เป็นสำนวนของ บก.ปอท. ในชั้นสอบสวนและพิจารณา ซึ่งเขาให้การรับสารภาพ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี ก่อนลดเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ตรัณได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ จึงได้ขอความช่วยเหลือจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเข้ามา
ต่อมาในวันที่ 1 เม.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และวันนั้นก็กลายเป็นการเริ่มต้นของการถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเขาไม่ได้รับประกันตัวระหว่างฎีกาอีก
ในกลางเดือนเมษายนที่ร้อนระอุ เราพบกับ “เมษา” ในช่วงเทศกาลวันหยุดปีใหม่ไทย ในบ้านหลังเล็กที่มีผู้หญิงและเด็กอยู่ร่วมกัน 5 คน กำลังรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ในบ้าน กลิ่นน้ำอบตลบอบอวลตลอดบทสนทนาในช่วงสายวันนั้น เช่นเดียวกันกับน้ำตาของเมษาที่ไหลอย่างไม่ขาดสายตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้
.
ในบ้านที่เราไม่ได้พูดเรื่องการเมืองกัน
“หนูเจอกับพี่เขาในแอปหาคู่ เราคุยกันทางออนไลน์มาก่อน” เมษาเล่าจุดเริ่มต้นของการพบกับตรัณ เธอบอกว่าคบเป็นแฟนกันก็ปี 2565 แล้ว ซึ่งเป็นเวลาหลังจากคอมเมนต์ที่เป็นเหตุในคดีนี้
“คอมเมนต์มันตั้งแต่ปี 64 ที่เขาบอกหนูอะนะ คือคอมเมนต์ในไลฟ์สดมันรันไวมากนะพี่” เมษาสงสัยว่าทำไมต้องเป็นตรัณ เพราะเธอเองก็เล่นโซเชียลอยู่บ้าง จึงคุ้นเคยกับการคอมเมนต์ในไลฟ์สดต่าง ๆ ว่ามันไปไวมากแค่ไหน แต่เมื่อถามว่าเธอพอรู้จักเพจของกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันฯ (ศปปส.) ที่ตรัณเคยไปคอมเมนต์หรือไม่ เมษาก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน และไม่เคยถามตรัณเรื่องแบบนี้มาก่อนด้วย
“เขามาอยู่กับหนู เขาไม่เคยสนใจอะไรแบบนั้นเลย เรื่องการเมืองเขาไม่เคยดู หรือเสพข่าว ไม่เลย เวลาอยู่ด้วยกันเราจะดูหนัง เล่นเกมส์ คือเขาจะทำแค่สองอย่างนี้แหละ คือพี่เขาจะเป็นประมาณอินโทรเวิร์ต ไม่ชอบที่คนเยอะ ๆ มันวุ่นวาย”
“คือหนูเป็นคนไม่ยุ่งเรื่องการเมืองเลยนะ คือไม่ได้สนใจ มันเลอะเทอะ ไม่ชอบ ใครจะทำอะไรก็มีแต่เรื่องผลประโยชน์” เมษาเปิดเผยความรู้สึก เธอไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องแย่ เธอรับรู้ข่าวสารอยู่บ้าง อย่างการเคลื่อนไหวในปี 2563 เธอก็รับรู้ว่ามีการชุมนุมใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่การใช้ชีวิตให้อยู่รอดรายวันก็น่าเหนื่อยหน่ายเกินจะมีเวลาพูดคุยเรื่องการเมืองในบ้าน
ปีนี้เมษามีอายุ 23 ปีพอดิบพอดี เธอประกอบอาชีพแม่ค้าขายยำ ในทุก ๆ วัน ตรัณจะช่วยพาเธอไปซื้อของ และเตรียมวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารเพื่อไปขายยังตลาดที่องค์พระปฐมเจดีย์
เมษาเล่าต่อว่า พอขาดตรัณไป รายได้ต่อเดือนคงลดลง เพราะภาระค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ เธอคงไม่สามารถแบกรับทั้งหมดได้ “ต่อเดือนมันก็ประมาณหมื่นห้าเลยนะ รวม ๆ ทุกอย่างแล้วทั้งค่ารถ ค่าบ้าน ไหนจะค่าน้ำ ไฟก็ไม่คงที่”
เมื่อเมษาถูกถามถึงตอนที่ตรัณถูกจับกุม เธอเล่าย้อนว่าในตอนนั้น การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของตรัณเป็นไปในแบบที่ปุถุชนคนหนึ่งพอจะเข้าใจได้เท่านั้น
“ปี 65 เขาโดนจับ ตอนนั้นพี่เขายังทำงานอยู่ที่ไปรษณีย์ พี่เขาเล่าให้หนูฟังว่าตำรวจพากันมาตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเช้าอะ มีปืน มีอาวุธครบ เกือบ 20 นายไปรวบเขา”
“ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายในกระบวนการ เขาไปจัดการกับแม่เขา ก็คงรับสารภาพไปตามคำแนะนำทนายที่รัฐจัดหาให้” เมษาบอกกับเราว่าเธอไม่ได้มีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ ของตรัณมากนัก อาจเพราะเขาอยากให้เธอสบายใจและไม่ต้องเป็นห่วง
“หนูไปถามทนายที่รู้จักกันทีหลัง เขาก็บอกหนูนะว่ารับสารภาพทำไม คดีนี้ถ้าปฏิเสธมันอาจสู้ได้อยู่นะ แต่มันก็ไม่ทันแล้วไง” เมษาพูดทำนองตัดพ้อ เพราะเอาจริง ๆ เธอก็ไม่ได้เข้าใจกระบวนการของเรื่องนี้ทั้งหมด แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่เกิดเป็นคำถามภายในใจของเมษาคือ เธอไม่คิดว่าเพียงแค่คอมเมนต์เดียวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตถึงขนาดเป็นเรื่องที่ผิดต่อประเทศแบบนี้
“คือหนูคิดนะว่าจะเอาเขาเข้าไปทำไม เอาเข้าไปก็วุ่นวาย คือคุกมันแออัด ทำไมต้องเอาคนเข้าไปอยู่ในนั้นเยอะ ๆ ด้วย คือเอาเข้าไปก็เปลืองข้าวนะพี่ ที่หนูคิดน่ะ คือถ้าเขาอยู่ข้างนอกมันก็ทำมาหากินได้ เขาได้ดูแลครอบครัว”
แม้ไม่ได้สนใจการเมืองมากนัก แต่เมษาก็พอเข้าใจปัญหาในระดับโครงสร้างหลายอย่าง โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม เธอไม่เห็นด้วยเลยที่จะเอาคนทำผิดโทษเล็กน้อยไปอยู่ในคุก อย่างน้อยในคดีนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่เข้าใจได้
“จริง ๆ หนูอยากให้ศาลเห็นใจยกฟ้องเลยนะ แต่พอมันไม่เป็นอย่างนั้น แค่ประกันตัวก็น่าจะทำได้ ทำไมถึงคิดว่าเขาจะเป็นคนที่หลบหนี” เมษาคุยกับเราว่าโทษของตรัณนั้นค่อนข้างต่ำ เพียงแค่ 1 ปี 6 เดือนเท่านั้น เธอยังคงตั้งคำถามซ้ำซ้อนไปมาถึงการเอาคนรักของเธอไปอยู่ในเรือนจำ
เราปล่อยให้เมษาระบายความในใจ เธอไม่ได้คิดว่าคดีการเมืองจะแตกต่างจากคดีทั่ว ๆ ไปอย่างไร เมษาบอกกับเราว่าเธอเป็นคนรับข่าวสารจากบนโลกโซเชียลเยอะ และบทสรุปสุดท้ายคนรวยมักพ้นผิดได้อย่างง่ายดายเสมอ
“หนูพูดตรง ๆ เลยนะ มีเงินเท่านั้นแหละมันถึงจะรอด”
“จริง ๆ ถ้าเรามีเงินมันก็จบง่าย ๆ เนอะพี่ ก็พูดตรง ๆ มีเงินมันจบได้ง่ายกว่าอยู่แล้ว”
เราอธิบายว่าคดีการเมืองถึงมีเงินก็ไม่น่าง่ายดายขนาดนั้น มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นกับคนทั่วไปในสังคม เธอจึงถามกลับว่าถ้าเราไม่สู้แล้ว ทุกอย่างจะง่ายขึ้นไหม
ไม่มีใครตอบคำถามนั้นของเธอได้
“ความคิดหนูตอนนี้ ก็อยากให้เขาติดให้จบ มันจะได้ไม่คาราคาซัง เรารู้สึกว่าเราเสียใจหลายรอบเกินไปแล้ว เราไม่โอเค เราขอเสียใจรอบเดียวเลยดีกว่า” บทสนทนากับเมษาเงียบลงครู่หนึ่ง เหลือเพียงคำถามและความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมา
.
มาตรา 112 พรากคนที่เป็นทั้ง “บ้าน” และ “Safe zone”
“ปกติหนูไปไหนไม่เป็นเลย”
“คือพวกเราไม่ไปเที่ยวไหนกันเลย พอมีเวลาว่างก็อยู่กันแต่บ้าน” เมษาเล่าว่าเธอคบกับตรัณได้ก็อาจเป็นเพราะความอินโทรเวิร์ต
“วันหยุดเราก็อยากพักผ่อน ถ้าจะไปไหนก็อยู่กันแถวบ้าน งานวงงานวัดหนูยังไม่ค่อยได้ไปเลย” เธอเล่าให้ฟังอีกว่า เธอกลัวการเดินทาง ตัวเธอนั้นเป็นคนที่ไม่ได้ ‘ใช้ชีวิต’ มาก และโลกนี้ไม่เคยกว้างสำหรับผู้หญิงที่ชื่อเมษา ฟัง ๆ ดูแล้วเธอบอกว่ามันออกจะดูน่าเบื่อสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับเธอ แค่มีตรัณมันก็โอเคแล้ว
ตลอดการพูดคุยหน้าบ้าน ซึ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งแบ่งเป็นร้านขายของชำ มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาจับจ่ายซื้อของตลอดเวลา เมษาบอกกับเราว่าผู้หญิงทุกคนในบ้านจะต้องช่วยกันทำมาหากินเพราะยายของเธอที่อายุมากแล้วต้องช่วยแม่เธอเลี้ยงหลานคนเล็ก ซึ่งมีอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น
“พี่ตรัณ เขาดูแลหนูดีทุกอย่างนะ เขาเป็นคนจิตใจดี รักครอบครัว หนูไม่คิดว่าเขาจะเข้ากับครอบครัวหนูได้ แต่เขาก็คอยมาช่วยเหลือยายหนู ไปรับ ไปส่งน้องหนูที่โรงเรียน” เมษาเล่าให้ฟังว่าตรัณ คนรักที่แสนธรรมดาเป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยให้กับครอบครัวของเธอ เขาชอบที่จะดูแลคนอื่น และเธอก็รู้สึกดีที่มีเขาอยู่ด้วยกันเสมอ
“ต่อจากนี้ หนูก็คงต้องไปซื้อของจากตลาดเอง ก็คงพาน้องสาวไปช่วยกัน” เมษาพูดถึงน้องสาวที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา
เมื่อถามว่าด้วยกำลังของเธอและน้องสาวที่ยังเด็ก จะขนของไปขายที่องค์พระฯ กันอย่างไร ในเมื่อปกติมีตรัณคอยขับรถ ช่วยแบกของอยู่ทุกวัน
เมษาลุกขึ้น และชี้ไปตรงถนนหน้าบ้าน เธอชี้ออกไปบนถนนคอนกรีตข้างหน้า ในช่วงกลางวันที่แดดร้อนระอุ และแทบไม่มีใครเดินเท้าผ่านไปมา
“จากบ้านหนู ก็ไกลจากองค์พระฯ (องค์พระปฐมเจดีย์) อะพี่ บางทีหนูก็ลากรถเอง แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องจ้างเขาลากไปให้แทน เนี่ย รายได้เราลดลง แถมรายจ่ายก็เพิ่มขึ้น”
“ถ้าจ้างเขามาลากรถเข็นไปให้ก็ต้องออกตั้งแต่ 11 โมง แล้วของของหนูมันเป็นอาหารทะเล กว่าจะลากไปถึงองค์พระฯ ขายตอน 4 โมงเย็น น้ำแข็งมันก็ละลายหมด ของสดมันเสียง่าย อย่างวันนี้หนูก็เลยหยุดดีกว่า” เมษาเล่าความยากลำบากหลังจากที่ตรัณไม่อยู่บ้าน เธอต้องปรับตัวหลายอย่างเกินคาดไว้
ในบทสนทนาช่วงหลัง เราไม่ได้คุยเรื่องคดีความกันมากนัก เพราะเมษาก็เพิ่งเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ นี้ แต่เธอบอกว่า ตอนนี้จะตั้งใจ “อ่าน” เรื่องนี้ให้มากขึ้น
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักเลยมาตรา 112 พึ่งมารู้ตอนเขาโดนคดี ก็มาศึกษาว่ามันเป็นยังไง ยิ่งอ่านก็ ยังไงอะ บางคนเขาก็ยกฟ้องให้นะ บางคนก็ไม่ต้องเข้าคุก แล้วเหมือนมีโดนย้ายไปเรือนจำบางขวางอีก มันน่ากลัวนะพี่”
“คือที่บางขวางเขาขังพวกนักโทษโหดๆ โทษประหารหรือเปล่า เห็นเขาคุยกันว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ดีที่สุดจริงมั้ยนะพี่”
เมษาแสดงความกังวลอีกครั้ง เธอบอกว่าสถานการณ์ผู้ต้องขังการเมืองที่เธออ่านและรับรู้มานั้นค่อนข้างไม่แน่นอนสูงมาก และสงสัยในมาตรฐานการพิพากษาในคดี ม.112 แบบนี้ว่ามันอยู่ที่ตรงไหนกันแน่
.
คนข้างนอกก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้
แม้เวลาจะผ่านมาเพียง 16 วันนับตั้งแต่ตรัณถูกควบคุมตัวเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เมษาก็ยังไม่สามารถไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำได้ เนื่องจากยังไม่มีชื่อเข้าเยี่ยม และยังคงมีความกังวลในการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอยอมรับว่ามันเป็นเรื่องตัวเองจะต้องต่อสู้ภายในจิตใจ
เราเปิดบันทึกเยี่ยม ลงวันที่ 4 เม.ย. 2568 ของตรัณที่เขาพบกับทนายความที่เรือนจำให้เมษาอ่านดู โดยบอกว่าเธอสามารถใช้เวลาอ่านมันนานเท่าไหร่ก็ได้ เมษาอ่านบันทึกอย่างเงียบ ๆ อยู่นานหลายนาที เธอร้องไห้เบา ๆ คนเดียว ก่อนจะระบายความกังวลออกมา
“ตอนนี้ หนูก็กังวลว่าเขาจะอยู่ในนั้นได้มั้ย เขาจะปลอดภัยมั้ย คือเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด หรือสุงสิงกับใครมาก”
“แต่พี่เขากินอาหารได้ทุกอย่าง แต่เขาจะชอบกินอาหารไม่ตรงเวลา บางครั้งจะชอบปวดท้อง แต่ในนั้นหนูอ่านจากในเน็ต เห็นเขาบอกว่าอาหารมันเหมือนไม่ใช่ข้าวคนกินได้เลย”
“เห็นว่านักโทษการเมืองก็มีบางคนโดนกลั่นแกล้ง นี่จริงมั้ย หนูกลัวเขาจะโดน เพราะเขาไม่ค่อยชอบคุยกับคนแปลกหน้า”
ความกังวลถาโถมพร้อมกับสายน้ำตา เธอร้องไห้ตลอดการพูดคุยเรื่องการเป็นอยู่ของตรัณในเรือนจำ
แต่ถึงอย่างนั้น เมษาบอกว่าเธอคงจะต้องอยู่ต่อไป ถ้าตรัณจะต้องติดครบโทษ 1 ปี 6 เดือน เธอจะใช้ชีวิตรอเขาไป บทสนทนาสุดท้ายที่เราได้คุยกับเมษา ด้วยความเป็นคนเก็บตัว ไม่มีสังคมมากมาย และไม่สุงสิงใครแบบตรัณ ในเทศกาลที่ผ่านมา ในโอกาสวันครบรอบ หรือวันเกิดเธอกับเขาทำอะไรร่วมกันบ้าง
“วันเกิดพี่เขาคือในเดือนตุลา เราจะไปร้านนั่งชิลกันค่ะ คือเป็นร้านดื่มกลางคืนอะนะ”
“จริง ๆ ในทุกโอกาสพิเศษ เทศกาลไหน ๆ ถ้าเรามีโอกาสได้ไปที่ไหนก็คงไปหาร้านนั่งดื่มด้วยกัน”
เมษายอมรับว่าตัวเองคงต้องทำใจ เพราะในเทศกาลหรือโอกาสพิเศษปีนี้คงจะไม่มีตรัณอยู่ แต่มันคงไม่ใช่ตลอดไป “สำหรับหนู 1 ปี 6 เดือนไม่ได้นานขนาดนั้น ก็คงแป๊บเดียว ถ้าพี่เขาทำตัวดีในนั้น เขาก็น่าจะได้อภัยโทษ หนูภาวนาให้ได้อภัยโทษนะ”
“นี่แม่เขา ก็ถามหนูตลอดนะว่า จะรอพี่เขามั้ย เราจะอยู่รอมั้ย คิดว่าหนูจะรังเกียจพี่เขาหรือเปล่า ที่บ้านหนูจะโอเคหรือเปล่า หนูก็ตอบแม่พี่เขาไปว่าบ้านหนูไม่มีใครรังเกียจเขา”
“ถ้าที่บ้านหนูรับในตัวเขาไม่ได้ ก็คงอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้หรอก”