เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “อัฐสิษฎ” ศิลปินและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 วัย 30 ปี ที่ยังคงถูกคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง อัฐสิษฎถูกฟ้องว่าเป็นผู้ทำเพจเผยแพร่ภาพวาดแนวเสียดสีสังคมจำนวน 2 ภาพ เมื่อปี 2564 เขาถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2567 หลังถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี 12 เดือน และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างรอคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2568 หลังถูกคุมขังมา 1 ปีเศษ อัฐสิษฎถูกย้ายตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปเรือนจำกลางบางขวาง พร้อมกับผู้ต้องขังทางการเมืองอื่น ๆ อีก 8 ราย ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อถูกย้ายจากแดน 3 ที่มีกิจกรรมศิลปะและพื้นที่สร้างสรรค์ มายังแดน 2 ที่ค่อนข้างแออัดและทุกพื้นที่ถูกจับจอง การย้ายครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกสูญเสียพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์
สภาพแวดล้อมใหม่ที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนเกือบ 700 คน ยังส่งผลให้เกิดปัญหาการนอนไม่หลับและภาวะซึมเศร้าขั้นแรก ทำให้เขาต้องทานยารักษาซึมเศร้า 3 เม็ดทุกวัน อาคารอเนกประสงค์ที่มีหลังคารั่วยิ่งเพิ่มความแออัดซ้อนทับเมื่อฝนตก ขณะเดียวกันเขายังมีปัญหาสายตามองเห็นไม่ชัดและแว่นเก่าหัก แม้จะได้แว่นใหม่แล้วแต่คุณภาพก็ตามราคาและขาแว่นก็หักอีก
การพบกันครั้งนี้สังเกตได้ว่าเมื่อถูกย้ายไปยังสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ก็ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ จนเขาต้องตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากทนายความในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของชีวิต โดยเฉพาะการตรวจวัดสายตา และจัดหาแว่นอันใหม่
_______________________________
เวลาเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า อัฐสิษฎปรากฏตัวด้วยแว่นตาและหน้ากากอนามัยสีดำ จากประโยคเปิดบทสนทนา “ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง” “ก็ปกติดีครับ” แต่ในคำว่าปกติ นั้นแฝงไว้ซึ่งการปรับตัวที่ไม่ธรรมดาเลย ชีวิตของเขาถูกโยกย้ายจากแดน 3 มายังแดน 2 ซึ่งเป็นแดนที่ผู้ต้องขังถูกลงโทษค่อนข้างสูงไปจนถึงประหารชีวิต ที่เขาเปรียบว่าเหมือน “ชุมชนแออัด”
การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนที่อยู่ แต่เป็นการเปลี่ยนโลกทั้งใบในนั้น จากพื้นที่ที่มีกิจกรรมให้ทำ มีสีสันให้เพ้นท์ไปสู่โลกที่ทุกพื้นที่ถูกจับจองโดยผู้ต้องขังที่มีอาวุโสกว่า
ก่อนถูกจองจำ อัฐสิษฎเคยทำงานด้านศิลปะ คือการรับวาดภาพตามร้านหรือสถานที่ที่จ้างเขา เช่น การวาดภาพตามกำแพงร้านต่าง ๆ เมื่อถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ในเรือนจำก็ให้เขาช่วยวาดภาพที่กำแพง-ผนังของเรือนจำ แต่ก็กลับมาถูกย้ายมาที่เรือนจำกลางบางขวาง
ที่แดน 3 อัฐสิษฎพบกับความหมายใหม่ของศิลปะ เขาได้ร่วมเพ้นท์ตัวละครอนิเมะบนผนัง โดยเฉพาะตัวละครจากเรื่อง ‘วันพีซ’ ที่กลายเป็นสะพานเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ผู้คนเดินผ่านแล้วพูดคุยกัน “นี่มันตัวนั้น ตัวนี้ มาจากภาคนั้น ภาคนี้” ศิลปะกลายเป็นภาษากลางที่ทุกคนเข้าใจ
แต่เมื่อมาถึงแดน 2 โลกของสีสันถูกปิดตาย ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์ มีเพียงการรอคอย รอให้โครงการ To be number one อนุมัติกิจกรรมเพ้นท์สีได้
“ผมนอนไม่หลับ” คำพูดสั้น ๆ ที่สะท้อนถึงการดิ้นรนของคนที่เป็น Introvert ในสภาพแวดล้อมที่มีคนมากมายเกือบ 700 คน ในห้องนอนที่เขาต้องแบ่งปันกับอารีฟและบุ๊ค มีผู้ต้องขังคนหนึ่งที่ชอบ สะบัดมือ สะบัดศอกมาถูกทุกคืน ทำให้การพักผ่อนกลายเป็นการทรมาน อารีฟพยายามช่วยแก้ไขเรื่องนี้แล้ว แต่ปัญหายังคงอยู่และไม่อาจจะแก้ไขได้ ทำให้อัฐสิษฎต้องทำคำร้องเพื่อขอย้ายห้อง เป็นการหาทางออกจากปัญหาเล็ก ๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
ปัญหาทางกายภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าปัญหาทางจิตใจ อาคารอเนกประสงค์มีหลังคารั่วเยอะ เมื่อฝนตกลงมา จากที่ใช้หลบแดดได้ ตอนนั้นก็คงมีปัญหาเพราะน้ำฝนหยดลงมา ผู้คนที่อยู่ภายในอาคารต้องกระจัดกระจายไปกระจุกตัวในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง ทำให้แออัดกว่าเดิม
ความแออัดซ้อนทับความแออัด สถานที่หลบฝนมีเพียงที่โรงเลี้ยงและตามบริเวณทางเดิน ทุกพื้นที่ที่สามารถหลบแดดหลบฝนได้มีการถูกจับจองที่นั่งทั้งหมดแล้ว โดยผู้ต้องขังจะมีการวางผ้ากั้นโซนไว้ ห้ามใครเดินผ่าน แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้พอเดินไปได้ด้วย
การคัดกรองก่อนเข้าเรือนจำยังทำให้อัฐสิษฎได้ประเมินตัวเอง โดยเจ้าหน้าที่แจ้งให้เขาทราบจากการตรวจเบื้องต้นว่า เขาเริ่มมีภาวะซึมเศร้าขั้นแรก ๆ แล้ว ทำให้เขาเริ่มทานยารักษา ตอนนี้ต้องกินประมาณ 3 เม็ด ทุกวัน นอกจากนี้เสียงโทรโข่งแตก ๆ ที่เรียกให้มาทานยา กลายเป็นเสียงที่หลอกหลอนจิตใจ
เจ้าหน้าที่ที่มาดูแลเรื่องยา จะมีการใช้โทรโข่งประกาศเรียกผู้ต้องขังให้มาทานยา แต่โทรโข่งดังกล่าวสภาพเสียงไม่ดี เสียงแตก ได้ยินไม่ชัดเจน ทำให้อัฐสิษฎไม่ได้ยินในหลาย ๆ ครั้ง ทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ตำหนิว่า “ไม่ได้ยินที่เรียกเหรอ เรียกหลายครั้งแล้วทำไมไม่มา” คำตำหนิของเจ้าหน้าที่ทำให้เขารู้สึกไม่โอเคเลยสำหรับเรื่องนี้
ชีวิตข้างในนั้นแม้แต่การมองเห็นโลกก็เป็นเรื่องยาก ขณะนี้อัฐสิษฎมีปัญหาด้านสายตา เริ่มมองเห็นไม่ชัด มีความเบลอ แว่นตาคู่เก่าเริ่มไม่ชัดเจน ค่าสายตาไม่ตรงเดิมแล้ว เขาได้ลงทะเบียนขอตัดแว่นไว้ แต่ดูเหมือนมีผู้ต้องขังหลายคนที่ลงทะเบียนก่อนหน้าเขาเป็นหลักเดือน และโชคดีที่อีกไม่กี่วันต่อมาก็มีรถสำหรับตรวจวัดสายตาเข้ามา ค่าใช้จ่ายสำหรับตัดแว่นก็หักจากเงินฝาก น่าจะหักไปประมาณ 300-500 บาท จากนั้นไม่เกิน 1 เดือน จะมีแว่นส่งเข้ามาภายในแดน
แต่แว่นก็เป็นไปตามคุณภาพของราคา เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะดีขนาดนั้น อีกทั้งตอนนี้ขาแว่นก็หักแล้วด้วย แม้เขาจะเอาแว่นไปให้ผู้ต้องขังอื่นช่วยซ่อมแล้ว ก็เพียงแค่ใช้งานได้เท่านั้น อัฐสิษฎ สะท้อนเรื่องนี้ก่อนจากว่า “ผมอยากปรึกษากับทนายเรื่องของการตัดแว่นครับ ว่าผมจะทำคำร้องเพื่อขอวัดค่าสายตา จากนั้นเมื่อผมได้ตรวจวัดสายตาแล้วนั้น และได้ค่าสายตามาแล้ว ช่วยฝากดำเนินการเรื่องแว่นต่อให้หน่อยครับ”
.
จนถึงปัจจุบัน (29 พ.ค. 2568) อัฐสิษฎ ศิลปินชาวนครราชสีมา ถูกคุมขังตามมาตรา 112 โดยไม่ได้ประกันตัวมาแล้ว 457 วัน หรือ 1 ปี กับ 3 เดือน และยังไม่มีกำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์
.
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง