“อาย” กันต์ฤทัย ยังไม่อดอาหาร หลังพิจารณาถึงกระแสสังคมภายนอก ฟังหลายคนขอร้อง ยังคงเผชิญกับโรคซึมเศร้าในเรือนจำ-ความห่วงลูก

วันนี้ (21 มี.ค. 2568) ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ทนายความได้เข้าเยี่ยม “อาย” กันต์ฤทัย คล้ายอ่อน ผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ในคดีที่ถูกกล่าวหาจากการโพสต์เฟซบุ๊ก 8 ข้อความ ที่ต่อมาถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 8 ปี 48 เดือน (หรือประมาณ 12 ปี) และไม่ได้รับสิทธิประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์คดี

สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2568 ทนายความได้เข้าเยี่ยมอาย ทราบว่าอายตัดสินใจที่จะเริ่มอดอาหารประท้วง แต่ในวันนี้ อายแจ้งว่ายังไม่ได้เริ่มอดอาหาร หลังพิจารณากระแสสังคมภายนอก และเก็บคำร้องขอจากหลาย ๆ คนไปพิจารณา ในขณะเดียวกันเธอยังต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้าที่ยังคงเป็นอยู่ 

.​

วันนี้ ทนายเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการถามอายว่า “เป็นยังไงบ้าง” เพียงเท่านั้น อายก็ร้องไห้ออกมา แล้วอายก็พรั่งพรูเรื่องราว เล่าว่าเมื่อวานบรรดา ผอ. เรียกพบ ทั้ง ผอ. แดนพยาบาล, ผอ. แดนนอก, ผอ. แดนใน หลังทราบว่าจะอดอาหารประท้วง ขอร้องว่าอย่าทำเลย ทำไมต้องทำ เธอก็อธิบายว่าเพราะเราไม่ได้ความยุติธรรม เราเป็นนักโทษจากความคิดที่แตกต่าง อยากให้รู้ว่าเขาขังเราได้แค่ตัว แต่ขังความคิดเราไม่ได้ 

“หนูรู้สึกว่ามันนานเกินไปแล้วอิสรภาพที่หายไป แล้วมันยิ่งทรมานใจไปกว่านั้น คือแม่ที่หายไปจากลูก ล่าสุดที่ได้อ่านข้อความที่ลูกไปพิมพ์บอกว่าเหนื่อยมาก คิดถึงแม่ ไม่มีแม่ อยู่ไม่ได้ เหนื่อยเรื่องเรียน เรื่องทำงานบ้าน คือคำพูดว่าอยากตายของลูก มันเหมือนมีดแทงใจเราซ้ำ ๆ หนูรู้สึกเจ็บปวด แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้ เห็นลูกร้องไห้ ยิ่งปวดใจ” อายเล่าให้ฟัง

อายบอกว่าตอนนี้ยังไม่ได้อดอาหาร “คนข้างในก็ไม่อยากให้อด เพื่อนที่อยู่ในห้องเดียวกันก็บอกว่าพี่อย่าทำเลย มันไม่มีประโยชน์ เขาแนะนำให้อายเขียนคำร้องเรื่องการรักษาอาการจิตเวชที่ข้างนอกดีกว่า แบบนั้นน่าจะได้เรื่องมากกว่า”

อายบอกว่าเธอรับรู้ว่ากระแสสังคมไม่ได้สนใจเรื่องนี้ อาจจะต้องรอเวลา “ตอนนี้ยังกินไปก่อน เมื่อเช้ากินข้าวต้มมัดไป 1 อัน หนูจะพยายามกิน” ก่อนที่จะเข้ามาที่นี่จากน้ำหนัก 74 กิโล เธอบอกว่าตอนนี้เหลือ 61 กิโล

เธอบอกว่าตอนนี้อารมณ์ค่อนข้างสวิง เพราะยาซึมเศร้าที่ได้กิน มันไม่ใช่ยาที่เคยกินข้างนอก “เม็ดยาก็ต่างกันแล้ว ถึงเขาจะบอกว่าเป็นตัวยาชนิดเดียวกันก็เถอะ แต่หนูกินเข้าไป ก็ไม่รู้สึกดี” เธอเล่า แต่เดิมเธอรักษาโรคซึมเศร้าที่โรงพยาบาลวชิระฯ ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งกว่าจะเข้าที่เข้าทาง ปรับยาให้เข้ากับภาวะได้ก็นาน และพี่หมอที่ดูแลก็เข้าใจเธอมาก จากนั้นไม่แน่ใจว่าอะไรเกิดขึ้น สิทธิของเธอถูกย้ายไปที่ รพ. มงกุฎวัฒนะ เธอไม่ยอม เพราะมองว่าโรคแบบนี้มันเป็นการรักษาสารเคมีในสมอง กว่าจะเข้าที่เข้าทางกับยาได้ก็ใช้เวลานาน ทุกครั้งเธอจะไปหาหมอ ต้องไปเอาเอกสารส่งตัวที่คลินิกของ รพ.มงกุฎฯ ก่อน แล้วจึงไปรับยาที่ รพ.วชิระ 

“หนูรักษากับพี่หมอจนเหมือนเป็นพี่น้องกันได้ โรคของหนูที่เป็นต้องรับยา 12 ตัว แล้วมียา 3 ตัว เป็นยานอกบัญชีหลัก พี่หมอก็ช่วยจัดการให้ วันก่อนที่จะมาฟังคำพิพากษา พี่หมอสั่งยาล่วงหน้ามาให้ 2 เดือนเลย (ปกติยาต้องไปรับทุก 3 อาทิตย์) หนูเคยบอกกับพี่หมอว่าถ้าวันไหนหนูหายจากซึมเศร้า หนูจะขอเซลฟี่กับพี่หมอ” อายเล่าให้ฟัง

ตอนนี้สิทธิรักษาพยาบาลของอาย ถูกย้ายมาอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งที่นี่ไม่มียาชนิดเดียวกันกับที่หมอที่ รพ.วชิระฯ เคยสั่งให้ ยาที่กินก็ไม่ใช่ยาตัวที่เคยกิน 

เมื่อถามว่ายาเป็นอีกเรื่องที่ทำให้กังวลด้วยหรือไม่ อายตอบว่าใช่ และบอกว่านั่นเป็นเพราะเหมือนไม่ใช่ตัวยาที่เคยกิน ก็รู้สึกว่ายาไม่ตอบสนองโรค และไม่รู้ข้อมูลว่ายาที่กินเข้าไปช่วยเรื่องอะไร ไม่เห็นฉลากยาที่กินเข้าไปด้วย ทำให้ไม่สบายใจ ทำให้รู้สึกไม่อยากกิน 

อายบอกว่ามีนักจิตวิทยาของทางเรือนจำเข้ามาคุยด้วย เธอมองว่าก็โอเค ไม่ได้มีพูดบั่นทอนจิตใจอะไร แต่เขาก็ทำอะไรได้ไม่มาก ต่อมาเธอเล่าว่าอยากจะใส่ชุดหลวง “คือปกติผู้ต้องขังหญิงจะมีชุดสีต่าง ๆ ให้ใส่ในแต่ละวัน เขาคงอยากจะให้ผู้ต้องขังรู้สึกผ่อนคลาย แต่อายอยากจะใส่ชุดหลวง เพื่อตอกย้ำว่าเป็นนักโทษที่คิดต่าง เพื่อแสดงออกว่าแค่คิดต่างก็เป็นนักโทษแล้ว อายจะใส่ชุดนี้เพื่อย้ำเตือนตัวเอง” 

อายเล่าว่า เธอเคยไปพูดในงานเสวนาหนึ่ง น่าจะช่วงวันแม่ 12 สิงหา เธอพูดไปว่า “ในวันแม่ปีนี้จะมีแม่ 1 คน ที่อาจต้องพรากจากลูก ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกลึก ๆ ว่าตัวเองต้องจากลูกแน่ ๆ เราผูกพันกันมาก อายตั้งใจเลี้ยงเขาตั้งแต่เกิด ในครอบครัวเรามีกันอยู่ 3 คน พ่อ แม่ ลูก อาศัยอยู่ในห้องเช่า อายอยู่ดูแลลูกแทบจะตลอดเวลา 

“ก่อนหน้านี้ตอนที่ลูกยังเล็ก อายขายพวกเสื้อชั้นในก็กระเตงลูกไปด้วย พอลูกเริ่มโตที่จะดูแลตัวเองได้ ก็ให้เขาอยู่บ้าน ไม่อยากให้เขาไปลำบากด้วย แต่ก่อนหน้านั้นที่ต้องพาไป เพราะไม่มีคนเลี้ยงให้ เราเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง แล้วลูกจะสนิทกับเรามาก จริง ๆ ครอบครัวเราก็สนิทกันมาก เพราะเรามีกันแค่ 3 คน”

เธอเล่าย้อนไปในวันฟังคำพิพากษา ตอนแรกเธอถามลูกว่าจะไปด้วยไหม เขาตอบว่าไม่ไป ตอนแรกก็รู้สึกน้อยใจ แต่ลูกบอกว่าเขาไม่อยากเห็นเราในสภาพนั้น 

พอฟังคำพิพากษาเสร็จ อายถูกพาไปอยู่ข้างล่าง แล้วสักช่วงบ่ายก็มีเด็กผู้ชายใส่ชุดนักเรียนเดินเข้ามา พออายรู้ว่าเป็นลูกของตัวเอง อายรีบหันหน้าหนี เพราะรู้สึกว่าโลกพังทลายอยู่ตรงหน้า ลูกร้องไห้ และอายก็ร้องไห้ อายถามลูกว่า “อายไหมที่ต้องมาเจอแม่แบบนี้” ลูกบอกเธอว่าไม่อาย เธอจึงบอกกับลูกไปว่า “คดีที่แม่ติดมันไม่ใช่คดีพวกยาเสพติด แต่มันเป็นคดีทางความคิด ที่เราคิดต่างเราก็ติดคุกแล้ว อายไม่รู้ว่าลูกที่เห็นแม่เป็นแบบนี้ ที่ต้องติดคุกเพราะมีความคิดต่าง เขาที่ต้องเติบโตไปในวันข้างหน้า เขาจะรู้สึกยังไงเหมือนกัน”

เธอบอกว่าวันที่ 3 เม.ย. ที่จะถึงนี้ จะมีลูกชาย น้องสาว แล้วก็แฟน จะได้เข้ามาเยี่ยมเธอในแดน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้ต้องขังในคดีระหว่างพิจารณาจะได้รับอนุญาตให้เยี่ยมญาติใกล้ชิด ซึ่งก่อนที่จะจบบทสนทนา อายบอกกับทนายความว่า “หนูอยากอยู่กับลูก จะให้ติด EM จะให้ทำอะไรก็ได้ จะเอาอะไรก็เอา แต่ขออยู่กับลูก” 

.

ในวันจันทร์ที่ 24 มี.ค. นี้ เวลา 9.00 น. อายยังจะถูกนำตัวไปที่ศาลอาญาตามนัดตรวจพยานหลักฐานในคดีมาตรา 112 อีกคดีหนึ่งของเธอ กรณีถูกฟ้องจากการโพสต์เฟซบุ๊กอีก 2 ข้อความ ด้วย

.

อ่านบทสัมภาษณ์อาย

“สุดท้ายต้องบอกลูก จะมาหายไปดื้อ ๆ ไม่ได้” คุยกับ “อาย กันต์ฤทัย” ก่อนเข้าเรือนจำ: ความในใจของ ‘แม่’ คนหนึ่งที่ต้องโทษ ‘112’

X