พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 มีคำสั่งไม่ฟ้อง 2 คดีชุมนุม ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้แก่ กิจกรรม “ฉลองวันเกิดไมค์ ระยอง และฉลองคริสต์มาสให้คนข้างใน” เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2564 มีผู้ถูกกล่าวหารวม 9 ราย และคดีจากกิจกรรม “อยู่เป็นเพื่อน ย้ำเตือนความยุติธรรม” เคาท์ดาวน์ปีใหม่หน้าเรือนจำ ในช่วงคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2564 มีผู้ถูกกล่าวหารวม 24 ราย โดยอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 1 ได้ส่งหนังสือลงวันที่ 6 ก.ย. 2567 และ 7 ต.ค. 2567 ตามลำดับ แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาแก่ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น
ทั้งนี้ ในกิจกรรมเคาท์ดาวน์ปีใหม่หน้าเรือนจำ มีเยาวชนถูกดำเนินคดีด้วย 3 ราย ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องไปตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2567
ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนมีนาคม 2565 ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดได้ทยอยเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของ สน.ประชาชื่น อันเนื่องมาจากกิจกรรมที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2564 ทั้งสองครั้ง แยกเป็น 3 คดี ได้แก่ คดีจากกิจกรรมวันที่ 26 ธ.ค. 2564, คดีจากกิจกรรมวันที่ 31 ธ.ค. 2564 และคดีของเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันที่ 31 ธ.ค. 2564
.
ไม่ฟ้อง 9 นักกิจกรรมร่วมปราศรัยวันเกิด ‘ไมค์ ระยอง’ หน้าเรือนจำ ระบุชุมนุมไม่เสี่ยงแพร่โรค – ไม่เป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่เป็นสิทธิทางการเมืองตาม รธน.
คดีทำกิจกรรมฉลองวันเกิด “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2564 มี พ.ต.ท.มนัสชัย รัตนรักษ์ สารวัตรสืบสวน สน.ประชาชื่น เป็นผู้กล่าวหา ใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ฝ่าฝืนประกาศตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค, กีดขวางทางสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385, กีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีมีผู้ต้องหาจำนวน 9 ราย ได้แก่ ชาติชาย แกดำ, ณัฏฐธิดา มีวังปลา, ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, วรรณวลี ธรรมสัตยา, ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย, พรหมศร วีระธรรมจารี, โชคดี ร่มพฤกษ์, เจษฎา ศรีปลั่ง และ วรวรรณ แซ่อั้ง ทั้งหมดถูกระบุว่า ได้ร่วมขึ้นแสดงดนตรีหรือกล่าวปราศรัยในกิจกรรมดังกล่าว โดยผู้ต้องหาทุกคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการระบุว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเพียง 10 คน แม้จะไม่มีการตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิ หรือจัดเจลแอลกอฮอล์ให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายบริเวณที่เกิดเหตุ มีลักษณะโปร่งโล่ง ขนาดพื้นที่ที่ใช้ทำกิจกรรมมีมากกว่าจำนวนผู้เข้าร่วมทำกิจกรรม สถานที่กว้าง โล่ง ไม่ได้มีการปิดกั้น อากาศถ่ายเทสะดวก โดยปรากฏภาพผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ได้ยืนเบียดเสียดติดกัน และส่วนมากสวมหน้ากากอนามัย การชุมนุมหรือทำกิจกรรมดังกล่าวจึงไม่ใช่การชุมนุมหรือทำกิจกรรมในสถานที่แออัดและไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค
ทั้งเมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาที่ผู้ต้องหาทั้งเก้าปราศรัย มีการเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ทำกิจกรรมทางการเมืองและเรียกร้องสิทธิการได้รับการประกันตัวซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน, วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอันเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แม้บางคนจะใช้ถ้อยคำหยาบคายบ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
กรณีการพ่นสีสเปรย์ข้อความลงบนพื้นถนน กำแพงรั้วเรือนจำ หรือสะพานลอย ทำให้สกปรกเลอะเทอะ แต่ถนน กำแพงรั้ว และสะพานลอยก็ยังคงมีลักษณะดังเดิม ไม่ได้ถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมค่า สามารถแก้ไขด้วยการทำความสะอาดและกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ จึงไม่ถึงขนาดเป็นการก่อความไม่สงบเรียบร้อย
ทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าผู้ต้องหาทั้งเก้าเป็นผู้พ่นหรือเป็นผู้กล่าวถ้อยคำยุยงให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมพ่นสีสเปรย์ข้อความดังกล่าว การชุมนุมหรือทำกิจกรรมของผู้ต้องหาทั้งเก้าจึงไม่เป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่เป็นการชุมนุมทำกิจกรรมเพื่อแสดงออกทางสิทธิทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ
การชุมนุมทำกิจกรรมในคดีนี้จึงไม่ได้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของสาธารณะ ประกอบกับในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งเก้าให้การปฏิเสธ คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
จึงมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งเก้าในข้อหาฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 14) ที่ออกตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนในข้อหากีดขวางทางสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385, กีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต พนักงานอัยการสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งเก้า เนื่องจากคดีขาดอายุความ
.
ไม่ฟ้องผู้ร่วมเคาท์ดาวน์ปีใหม่หน้าเรือนจำรวม 24 ราย ระบุไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ความรุนแรง – ชุมนุมไม่เสี่ยงแพร่โรค – คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
คดีกิจกรรมเคาท์ดาวน์ หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ช่วงคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2564 มี พ.ต.ต.ประจบ ศรีแสง เป็นผู้กล่าวหา ต่อนักกิจกรรมรวม 27 คน ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว แม้บางรายจะไม่ได้ร่วมขึ้นปราศรัยหรือแสดงดนตรี โดยในจำนวนนี้เป็นเยาวชน 3 ราย ในข้อกล่าวหารวม 6 ข้อกล่าวหา โดยนอกจาก 4 ข้อกล่าวหา เช่นเดียวกับคดีแรกแล้ว ยังมีการกล่าวหาข้อหาตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ และฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดสถานที่ กิจกรรม ที่สามารถดำเนินการได้เป็นกรณีเฉพาะเพื่อเทศกาลปีใหม่ ลงวันที่ 17 ธ.ค. 2564 รวมทั้งมี 2 ราย ถูกกล่าวหาในข้อหาจุดพลุขึ้นสู่อากาศโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยผู้ต้องหาทุกคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ ในส่วนคดีของเยาวชนทั้ง 3 คน พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องไปตั้งแต่นัดฟังคำสั่งอัยการในวันที่ 7 ก.พ. 2567
คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการระบุว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงพลังของประชาชนในการไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาล และแสดงความคิดเห็นต่อกระบวนการยุติธรรมที่กลุ่มผู้ชุมนุมเห็นว่าคำพิพากษาของศาลตลอดจนกระบวนการยุติธรรมที่ใช้กับเพื่อนของกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เรียกร้องให้ปล่อยตัวเพื่อนของกลุ่มผู้ชุมนุม และสิทธิในการได้รับการประกันตัวของจำเลยในคดีอาญา กลุ่มผู้ชุมต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยการเดินทางมาร่วมกันนับถอยหลังเฉลิมฉลองวันปีใหม่ร่วมกับกลุ่มเพื่อนของผู้ชุมนุมที่ทุกครั้งอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
การที่ผู้กล่าวหาให้การว่าฝ่ายสืบสวนได้ติดตามเฝ้าระวังการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวมาสักระยะหนึ่งแล้ว ข้อมูลดังกล่าวย่อมทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ในการดูแลความสงบเรียบร้อย สามารถบริหารจัดการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยได้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาคำให้การของผู้กล่าวหาและพยานบุคคลฝ่ายผู้กล่าวหาอีก 6 ปาก ไม่ปรากฏว่าผู้กล่าวหาและพยานจะได้ให้การถึงกลุ่มของผู้ชุมนุมจะมีการก่อความรุนแรงใด ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุ ไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ความรุนแรงจากการจัดกิจกรรมร่วมชุมนุมดังกล่าว และเมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลงผู้ชุมนุมได้เดินทางแยกย้ายกันกลับไป ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ตรวจพบอาวุธหรือสิ่งซึ่งเป็นอันตรายจากผู้ชุมนุมแต่อย่างใด
อีกทั้งปรากฏภาพถ่ายเหตุการณ์วันเกิดเหตุ ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมดำเนินการให้มีมาตรการในการป้องกันโรคติดต่อโควิด-19 เท่าที่สามารถปฏิบัติได้แล้ว มีเพียงบางบุคคลซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า แต่พื้นที่ในการจัดกิจกรรมเป็นพื้นที่โล่ง ไม่ได้มีการปิดกั้นหรือแออัด และผู้ร่วมชุมนุมก็อยู่ในลักษณะกระจายตัวกัน ไม่ได้รวมตัวเบียดเสียดหรือมีลักษณะแออัดแต่อย่างใด
จากพฤติการณ์ดังกล่าวจึงล้วนแต่เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อแสดงออกสิทธิทางการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 44 ได้บัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธไว้ การชุมนุมทำกิจกรรมในคดีนี้จึงไม่ได้มีผลกระทบต่อความมั่นคงรัฐ หรือความปลอดภัยสาธารณะ จึงไม่เป็นการร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 14) คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
ในส่วนข้อหาร่วมกันจุดและปล่อย หรือการกระทำอย่างใดเพื่อให้บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นขึ้นไปสู่อากาศโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่มีการกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 26 และ 27 นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบสวนว่า เมื่อเวลา 00.24 น. ของวันที่ 1 ม.ค. 2565 ผู้ต้องหาทั้งสองเดินทางเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ แต่เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุแล้ว ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นภาพผู้ต้องหาทั้งสอง ประกอบกับไม่มีผลตรวจเขม่าดินปืนที่เกิดจากการจุดพลุยืนยันว่า ผู้ต้องหาทั้งสองได้เข้ารับการรักษาเนื่องจากพลุระเบิดใส่จริง และไม่ปรากฏว่ามีพยานปากใดให้การยืนยันว่า พบเห็นผู้ต้องหาทั้งสองจุดพลุในวันเกิดเหตุด้วยตนเอง คดีจึงมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
จึงมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 24 คน ในข้อหาฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่ 14) ที่ออกตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 26 และ 27 ในข้อหาร่วมกันจุดและปล่อย หรือการกระทำอย่างใดเพื่อให้บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นขึ้นไปสู่อากาศโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนในข้อหากีดขวางทางสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 385, กีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ, ตั้งวางกองวัตถุใด ๆ บนถนน ตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดสถานที่ กิจกรรม ที่สามารถดำเนินการได้เป็นกรณีเฉพาะเพื่อเทศกาลปีใหม่ ลงวันที่ 17 ธ.ค. 2564 นั้น พนักงานอัยการสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 24 คน เนื่องจากคดีขาดอายุความ