เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและองค์กรร่วมจัดงานได้ส่งหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเด็ก เพื่อขอความคิดเห็นต่อรายงานและขอเชิญร่วมเวทีแลกเปลี่ยนประเด็นสิทธิเด็กในกระบวนการยุติธรรม เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ในวันที่ 20 ก.ย. 2567 โดยทั้ง 9 องค์กร ได้แก่ 6 หน่วยงานรัฐ, 1 องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน และ 2 องค์กรวิชาชีพ
- อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
- ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
- อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว
- อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
- ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
- อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน
- ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
- นายกสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์
- นายกสมาคมนักสังคมสงเคราะห์
โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (ศูนย์ทนายฯ) ได้แนบ รายงานฉบับที่ 1 “จากห้องเรียนสู่ห้องพิจารณาคดี: การทำให้การแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของเด็กและเยาวชนเป็นความผิดทางอาญา” และรายงานฉบับที่ 2 “อิสรภาพแบบมีเงื่อนไข: การใช้มาตรการพิเศษแทนการใช้มาตรการทางอาญาสำหรับเด็กและเยาวชนในคดีการเมือง” ไปให้หน่วยงานรัฐดังกล่าวแล้ว
ต่อมา เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (ศูนย์ทนายฯ) ได้ขอความเห็นไว้ มีเพียง 2 องค์กรที่ให้ความคิดเห็นต่อรายงานและตอบกลับมาเป็นหนังสือถึงศูนย์ทนายฯ ได้แก่
- สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รองเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ
- ศูนย์อัยการคุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชน และสถาบันครอบครัว สำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว สำนักงานอัยการสูงสุด
.
กสม. ระบุเคยเสนอ สตช. ให้จับกุมและปฏิบัติต่อเด็กในที่ชุมนุมตามหลักสากล – เสนอ สส. ยุติการดำเนินคดีและนิรโทษกรรมเด็ก – หากเรื่องถึงชั้นศาล กสม. ต้องยุติการตรวจสอบ แต่จะพิจารณาเรื่องมาตรการพิเศษฯ ต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแจ้งความคิดเห็นในภาพรวม 3 ประการ สรุปได้ ดังนี้
1. ประเด็นการจับกุมเด็กและการข่มขู่คุกคามเด็กนั้น กสม. ได้ตรวจสอบและมีความเห็นสรุปได้ว่า ในช่วงที่เด็กออกมาใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการชุมนุม ระหว่างปี 2563 – 2564 พบกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าจับกุมเด็กด้วยความรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นจำนวนมาก และโดยส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอในการตรวจสอบว่าผู้ถูกจับกุมเป้นบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปีหรือไม่ อันเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ และหลักประโยชน์สูงสุดของเด็กตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
ส่วนประเด็นการข่มขู่คุกคามเด็ก พบว่า ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ในกรณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบกรณีถ่ายภาพนักเรียนที่จัดกิจกรรมในสถานศึกษา กดดันผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงครอบครัวของนักเรียนไม่ให้เข้าร่วมหรือจัดกิจกรรมและการชุมนุม รวมทั้งเฝ้าติดตามเด็กที่เคยร่วมกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดกับหน้าที่พื้นฐานของรัฐที่ต้องละเว้นไม่เข้าไปแทรกแซงการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยไม่มีเหตุจำเป็น
กสม. จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายใช้ความระมัดระวังในการใช้กำลังจับกุมผู้ชุมนุม หากเป็นการจับกุมเด็กและเยาวชนต้องกระทำโดยละมุนละม่อม ต้องแจ้งให้ผู้ปกครองหรือผู้ที่เด็กและเยาวชนไว้วางใจทราบถึงการจับกุมและสถานที่ที่ถูกควบคุมตัวทันที แยกพื้นที่ควบคุมตัวไม่ให้ปะปนกับผู้ใหญ่ งดเว้นการเข้าไปติดตาม สอดส่อง หรือรบกวนชีวิตส่วนตัวของประชาชนจนเกินกว่าเหตุโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ รวมทั้งเร่งรัดการสืบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษชนต่อเด็กและเยาวชนในการชุมนุมระหว่างปี 2563 – 2564
อีกทั้ง มีข้อเสนอแนะให้ สตช. กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดำเนินการตามข้อเสนอแนะที่ กสม. เสนอไว้จากผลการประชุม “สิทธิเด็กในสถานการณ์การชุมนุม (กรณีสามเหลี่ยมดินแดง)” โดยเฉพาะการลงพื้นที่สังเกตการณ์การชุมนุมในแต่ละครั้ง เพื่อสอดส่องดูแล และร่วมกันวางแนวปฏิบัติต่อเด็กในพื้นที่การชุมนุมให้เป็นไปอย่างเหมาะสม รวมทั้งต้องสอดคล้องกับกฎหมายและหลักสากล
2. ประเด็นการดำเนินคดีอาญาต่อเด็กนั้น กสม. ได้ตรวจสอบและมีความเห็นสรุปได้ว่า นับตั้งแต่ปี 2563 ถึงต้นปี 2566 มีเด็กประมาณ 300 คน ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุม โดยเด็กบางรายถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดหลายคดี ฐานความผิดส่วนใหญ่มีโทษจำคุก ในจำนวนนี้ มีหลายฐานความผิดที่กำหนดโทษไว้สูง และประมาณ 3 ใน 4 ของคดีทั้งหมดเป็นความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด 19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 ดังนั้น คดีที่ค้างคาอยู่ในกระบวนพิจารณาคดีชั้นต่าง ๆ จึงอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อไปอีก รวมทั้งหากประเมินผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากการดำเนินคดีต่อเด็กกับผลกระทบที่เกิดขึ้นหากปล่อยให้เด็กที่ถูกดำเนินคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาไปจนจบสิ้นกระบวนการทุกราย ก็อาจเล็งเห็นได้ว่าจะไม่เกิดผลดีกับเด็กมากนัก และอาจเป็นการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก
กสม. จึงมีข้อเสนอแนะต่อสภาผู้แทนราษฎร ให้เร่งดำเนินการศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงในรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ของเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี เพื่อให้เกิดการตรากฎหมายยุติการดำเนินคดีต่อเด็กและเยาวชน รวมทั้งนิรโทษกรรมให้แก่เด็กและเยาวชนที่ถูกกล่าวหาตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา เพื่อให้การปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมไม่เป็นภาระต่อเด็กเกินสมควร ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้รับทราบผลรายงานดังกล่าวแล้ว
3. ประเด็นสภาพปัญหาในขั้นตอนดำเนินการตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พบว่า
3.1 กสม. เคยได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบว่าศาลได้พิจารณาดำเนินการในกระบวนการพิจารณาตรวจสอบการจับกุม ตามมาตรา 73 ไปโดยสอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่
กสม. เห็นว่า กระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องเฉพาะของศาลที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของการจับกุมและการปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยถือเป็นการใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรตุลาการ จึงเป็นกรณีตามมาตรา 39 (1) และ (2) ประกอบมาตรา 39 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติฯ ซึ่งบัญญัติให้ กสม. ยุติเรื่อง หากมีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาลหรือเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษา คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว
3.2 กสม. ยังไม่เคยได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้พิจารณาดำเนินการในการสืบเสาะและพินิจเด็กและเยาวชน การใช้มาตรการพิเศษแทนมาตรการทางอาญา ทั้งนี้ กสม. จะนำข้อมูลรายงานในประเด็นนี้ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
.
อัยการเด็กฯ ระบุเรื่อง ม.112 ต้องไปแก้กฏหมาย – นักจิตวิทยา/นักสังคมสงเคราะห์ไม่แสดงบทบาทในการคุ้มครองเด็กเป็นเรื่องตัวบุคคล – การสั่งไม่ฟ้องเด็ก มิได้เอื้อต่อการบำบัดฟื้นฟู
ด้านอัยการตอบความเห็นกลับมาเป็นหนังสือ โดยศูนย์อัยการคุ้มครองสิทธิเด็ก เยาวชนและสถาบันครอบครัว สำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว สำนักงานอัยการสูงสุด แต่ทั้งนี้ เป็นเพียงเอกสารในรูปแบบ word ที่ไม่มีเลขที่หนังสือออกจากสำนักงานอัยการแต่อย่างใด
อัยการมีความเห็นว่า ตามรายงานเรื่อง “อิสรภาพแบบมีเงื่อนไข” มีความเห็นเป็น 2 ส่วน สามารถสรุปได้ ดังนี้
1. ความคิดเห็นในเชิงกฎหมาย เชิงหลักการและเชิงระบบ
เห็นว่า รายงานดังกล่าว มีความเห็นขัดแย้งกับกฎหมาย หลักการ และระบบการดำเนินคดีอาญาที่ใช้บังคับในปัจจุบันหลายประการ ในที่นี้จะขอแสดงความเห็นเพียงบางประการ ดังนี้
1.1 การใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญาทั้งในชั้นก่อนฟ้อง (มาตรา 86) และหลังฟ้อง (มาตรา 90) ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ เห็นว่า เงื่อนไขการต้อง “สำนึกในการกระทำ” มีเจตนารมณ์เพื่อให้จิตใจของ “เด็กหรือเยาวชน” ยอมรับในการกระทำของตนเอง เกิดความเข้าใจในการกระทำของตนที่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือดร้อน เพื่อจะได้มีโอกาสแก้ไขปรับปรุงตัวให้เป็นคนดี
หากเด็ก “สำนึกในการกระทำ” เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงความยากลำบากความจำเป็นของผู้อื่นแล้ว ก็อาจทำให้เด็กกลับตัว หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำความผิดในลักษณะเดียวกันอีก
อย่างไรก็ตาม มาตรา 112 อาจมองได้ว่า เป็นความผิดที่กำหนดกฎหมาย และเป็นเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างที่กฎหมายควรยอมรับ ในชั้นนี้ผู้บังคับใช้กฎหมายจะต้องบังคับตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน หากมีผู้ใดไม่เห็นด้วยกับกฎหมายย่อมเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากันในการแก้ไขกฎหมายในส่วนนี้ในโอกาสต่อไป
1.2 ตามความเห็นของคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิเด็ก (Committee on the Rights of the Child) ของสหประชาชาติ ข้อ 24 ย่อหน้าที่ 18 คณะกรรมการฯ เห็นว่า คดีที่จะใช้มาตราการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญาทำได้เฉพาะกรณีมีพยานหลักฐานที่หนักแน่นว่าเด็กกระทำความผิดและเด็กให้การยอมรับโดยอิสระและด้วยความสมัครใจ ปราศจากการข่มขู่ หรือความกดดันนั้น ไม่ตรงกับบริบทที่รายงานอ้างถึงในหน้าที่ 39-40 ทั้งเป็นความเห็นที่ไม่แตกต่างจากหลักกฎหมายในมาตรา 86 และ 90 เพราะคำว่า “สำนึกในการกระทำ” มีความหมายเดียวกัน หรืออย่างน้อยที่สุด ก็มีความหมายใกล้เคียงกับการที่ “เด็กให้การยอมรับโดยอิสระและด้วยความสมัครใจ”
ส่วนที่รายงานฯ อ้างว่า เด็กอยู่ในสภาวะกดดันจากศาลและไม่อาจกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า เป็นการกระทำ “โดยอิสระและด้วยความสมัครใจ” (หน้า 40) นั้น เห็นว่า หากเด็กเห็นว่าการกระทำของตนไม่เป็นความผิด เป็นการชุมนุมอย่างสงบ สามารถกระทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ เด็กอาจต่อสู้คดีจนถึงที่สุด และอาจร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมาตรา 112 ว่าขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ได้เช่นกัน
1.3 การที่อัยการสูงสุดจะมีคำสั่งไม่ฟ้องตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการฯ มาตรา 21 และตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนฯ นั้น
เห็นว่า หากไม่ปรากฏว่าคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้องว่า เด็กกระทำความผิดตามมาตรา 112 อัยการสูงสุดไม่ควรที่จะมีคำสั่งไม่ฟ้อง เพราะการดำเนินคดีเด็กตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มีกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อคุ้มครองเด็กโดยละเอียดทุกขั้นตอน รวมถึงในการพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการ การสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่เป็นเด็กโดยใช้ช่องทางตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มิได้มีมาตรการใดที่เอื้อต่อการแก้ไข บำบัดฟื้นฟู หรือสวัสดิภาพของเด็กในอนาคตแต่อย่างใด
2. ความคิดเห็นในเรื่องการบริหารการจัดการและในเรื่องผู้ปฏิบัติงาน
2.1 การที่รายงานฯ อ้างว่า เด็กอยู่ในสภาวะกดดันจากศาลหรือเจ้าพนักงานนั้น อาจมองได้ว่า เป็นเรื่องที่ศาลหรือเจ้าพนักงานแสดงความหวังดีและประสงค์ที่จะให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุด กล่าวคือ ไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา สืบพยาน เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลาในการเรียน หรืออาจถูกศาลพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำความผิด
ส่วนในเรื่องที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ไม่ได้แสดงบทบาทในการคุ้มครองหรือลดผลกระทบจากกระบวนการยุติธรรม หรือใช้คำพูดไม่เหมาะสม (หน้า 34) นั้น เป็นเรื่องตัวบุคคลซึ่งน่าจะเป็นส่วนน้อยในทุก ๆ อาชีพย่อมมีทั้งผู้ทำงานด้วยอุดมคติ และผู้ที่ไม่ตั้งใจทำงานปะปนอยู่ด้วย และเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวเป็นรายบุคคล
2.2 การแสวงหาข้อมูลและการเก็บข้อมูลของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นการแสวงหาข้อมูลเพื่อให้ได้รับข้อมูลรอบด้าน การซักถามประวัติส่วนบุคคลมีหลักวิชาการทางด้านจิตวิทยาเด็กและข้อมูลทางสถิติรองรับ ยกตัวอย่างเช่น ตามหลักวิทยาศาสตร์ เด็กที่เป็นวัยรุ่น จะมีการใช้อารมณ์หรือความรู้สึก มากกว่าเหตุผล หรือ ตามสถิติแล้ว เด็กที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น มีบิดามารดาดูแลให้ความรักความเอาใจใส่เป็นอย่างดี จะมีประวัติการกระทำความผิดน้อยกว่าเด็กที่บิดามารดาไม่มีเวลาดูแลบุตรตามสมควร เนื่องจากมีรายได้น้อย และใช้เวลาไปกับการทำงานหาเลี้ยงครอบครัวมากกว่าครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินดีกว่า หรือการที่เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร อาจทำให้เด็กหมกมุ่นกับเรื่องดังกล่าว เป็นสาเหตุให้ผลการเรียนไม่ดีเท่ากับเด็กที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
ทั้งนี้การเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าว อาจมองได้ว่า เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของเด็กเอง เพื่อให้ผู้วิเคราะห์สามารถเข้าใจพฤติกรรมเด็ก และสามารถนำวิธีการที่เหมาะสมมาใช้กับเด็กแต่ละคนได้
2.3 ตามกลไกของกฎหมายปัจจุบันที่เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนในการกำหนดมาตรการตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู โดยการขอให้ผู้พิพากษา ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก พนักงานคุมประพฤติ และ/หรือนักจิตวิทยาของศูนย์ให้คำปรึกษาแนะนำของศาล กำหนดมาตรการตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูโดยคำนึงความต้องการของเด็ก ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 87 และ 91 และตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกําหนดมาตรการแทนการพิพากษาคดีฯ ข้อ 7 นั้น เป็นมาตรการสากล
ส่วนที่รายงานฯ เสนอว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าวควรคำนึงถึงความเป็นคดีการเมืองที่แตกต่างจากคดีอาญาปกตินั้น เป็นเรื่องตัวบุคคลที่ใช้ดุลยพินิจที่อาจแก้ไขได้โดยการบริหารจัดการ ยกตัวอย่างเช่น เด็กอาจแสดงข้อดีข้อเสียของมาตรการต่าง ๆ ให้ผู้มีอำนาจหน้าที่พิจารณากำหนดวิธีการที่เหมาะสมสำหรับตนได้ ทั้งนี้ โดยต้องยอมรับในความมุมมองของผู้มีอำนาจใช้ดุลยพินิจที่อาจแตกต่างจากความคิดเห็นของตนด้วย
.
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR), สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA), และมูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (Save the Children Thailand) จัดงานเวทีแลกเปลี่ยน “4 ปี กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของเด็กและเยาวชนในคดีทางการเมือง: ความรุนแรง ความสับสน ความเงียบ และความหวัง” ที่ อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว
การเสวนานี้จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์และความท้าทายในกระบวนการยุติธรรมของเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง รวมถึงรับฟังความคิดเห็นเป็นสาธารณะ โดยเน้น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ความรุนแรงที่เด็กเผชิญ ความสับสนในกระบวนการยุติธรรม ความเงียบจากสังคม และความหวังในการแก้ไขปัญหา พร้อมเปิดตัวรายงาน 2 ฉบับที่ส่งให้หน่วยงานรัฐข้างต้น
รายงานฉบับที่ 1 “จากห้องเรียนสู่ห้องพิจารณาคดี: การทำให้การแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของเด็กและเยาวชนเป็นความผิดทางอาญา” นำเสนอข้อมูลทางด้านสิทธิเด็ก ในประเด็นเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบของเด็กและเยาวชน นับตั้งแต่การชุมนุมเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2563 ถึงช่วงเดือนธันวาคม 2566 โดยรวมไปถึงการสะท้อนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและวิเคราะห์ปัญหาจากการดำเนินคดีและกระบวนการยุติธรรมของเด็กและเยาวชน
รายงานฉบับที่ 2 “อิสรภาพแบบมีเงื่อนไข: การใช้มาตรการพิเศษแทนการใช้มาตรการทางอาญาสำหรับเด็กและเยาวชนในคดีการเมือง” นำเสนอข้อมูลการใช้มาตรการพิเศษแทนการใช้มาตรการทางอาญาสำหรับเด็กและเยาวชนในคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2563 ถึงปี 2567 ในรายงานนี้ได้รวบรวมสถานการณ์ปัญหาจากประสบการณ์ตรงของเด็กและเยาวชนในคดีการเมือง ตลอดจนผู้ปกครอง ในการเข้าสู่การใช้มาตรการพิเศษแทนการใช้มาตรการทางอาญา ทั้งมาตรการแทนการดำเนินคดีก่อนฟ้อง มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีหลังฟ้อง มาตรการแทนการพิพากษาคดี และการเปลี่ยนโทษหรือการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนหรือการคุมประพฤติ ตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 (พ.ร.บ.ศาลเยาวชนฯ) เพื่อชี้ให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับปัญหาแตกต่างกันไปในแต่ละขั้นตอนที่เด็กและเยาวชนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและเข้ามาตรการพิเศษแทนการใช้มาตรการทางอาญาฯ
โดยในวันดังกล่าว มีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐและองค์กรอิสระเดินทางมาร่วมเวทีแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น 6 องค์กร ได้แก่ ตัวแทนจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน, ตัวแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ตัวแทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ตัวแทนจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน, ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และตัวแทนจากสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากสถานทูต องค์กรภาคประชาสังคม และนักวิชาการเข้าร่วมงานด้วย
.
.