จากกรณีสำนักข่าวประชาไทรายงานสถานการณ์ที่ญาติและเพื่อนของผู้ต้องขังคดีทางการเมืองหลายคน ประสบปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสารผ่านจดหมาย โดยเฉพาะผู้ต้องขังภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่พบทั้งการที่เรือนจำไม่นำปากกามาขายในร้านค้าสวัสดิการประมาณ 1 เดือนแล้ว โดยอ้างว่าขาดตลาด ทำให้ผู้ต้องขังไม่มีปากกาใช้เขียนจดหมาย
หรือการที่แอพพลิเคชั่น “DomiMail จดหมายหลังกำแพง” ซึ่งเป็นช่องทางที่ทางเรือนจำออกแบบให้ผู้ต้องขังและบุคคลภายนอกได้ใช้รับ-ส่งจดหมายถึงกันได้ ถูกเพิ่มข้อจำกัดมากขึ้นหลายประการ ทั้งการกำหนดให้ผู้ต้องขังแต่ละคนสามารถรับจดหมายได้เฉพาะจากบุคคลใน 10 รายชื่อ ที่ลงทะเบียนเข้าเยี่ยมกับทางเรือนจำเท่านั้น และมีการกำหนดเพิ่มเติมให้ผู้ต้องขังแต่ละคนใน 1 วัน จะสามารถส่งจดหมายออกได้ 1 ฉบับ และรับจากภายนอกได้ 1 ฉบับเท่านั้น จากเดิมที่ไม่เคยมีข้อจำกัดเหล่านี้ รวมถึงปัญหาการถูกเจ้าหน้าที่ของเรือนจำเซนเซอร์เนื้อหาในจดหมายที่ส่งออกมา ซึ่งมีเรื่อยมาเป็นระยะอยู่แล้ว
ต่อสถานการณ์ดังกล่าว ทนายความพบว่าผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเฉพาะที่อยู่ในแดน 6 ได้เขียนคำร้องอุทธรณ์ให้ทบทวนคำสั่งดังกล่าวต่อผู้บัญชาการเรือนจำแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า หลายคนจึงได้ร่วมกันสะท้อนปัญหาเรื่องนี้ออกมาให้คนภายนอกได้ทราบ
.
.
“ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ ได้สะท้อนข้อจำกัดในการสื่อสารที่เพิ่มขึ้นว่า ประการแรก หากขณะนี้มีผู้ส่งจดหมายผ่านแอพพลิเคชั่น 2-3 ฉบับเข้ามาในวันเดียว คนที่ส่งเป็นคนแรกจะถูกนำไปตรวจเนื้อหา เพื่อส่งต่อมาให้เขา แต่คนที่ส่งตามหลังมา นอกจากจะเสียค่าส่งจดหมายฉบับละ 10 บาทแล้ว ยังถูกตีตกทิ้งไปเลย โดยไม่นำมาส่งให้ โดยการส่งจดหมายออกมากกว่าหนึ่งฉบับ จะต้องเขียนคำร้องและแนบจดหมายที่เกินนั้น ให้ตรวจสอบโดยใช้เวลา 2-3 วัน
หากมีคนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อเยี่ยม ได้ซื้อสิทธิ์รับส่งจดหมายไว้ 10 ฉบับ (ทั้งขาเข้าและออก) รวมเป็นเงิน 200 บาท ก็ไม่ทราบว่าจะถูกตัดสิทธิ์และเสียเงินไปฟรี ๆ เลยหรือไม่
นอกจากนั้น ยังมีการจำกัดจำนวนบรรทัดในการเขียน จากเดิมตัวกระดาษจดหมายมี 19 บรรทัด มีการกำหนดให้เขียนไม่เกิน 15 บรรทัด ให้เหลือไว้ 4 บรรทัดล่างสุด
ขนุนระบุว่าดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะพยายามแก้ปัญหาคนตรวจจดหมายไม่เพียงพอ แต่กลับใช้วิธีสร้างข้อจำกัดเพิ่มขึ้นให้กับผู้ต้องขัง โดยตอนนี้ผู้ต้องขังในเรือนจำหลายคน ที่ไม่ใช่เพียงผู้ต้องขังในคดีทางการเมือง ก็กำลังให้ความสนใจปัญหานี้ และอยากร่วมร้องเรียนต่อทางเรือนจำ เพราะทุกคนประสบปัญหาเหมือนกัน
ขนุนกล่าวว่าปัญหาเรื่องนี้เพิ่มความเครียดให้กับตัวเขาในการใช้ชีวิตในเรือนจำ เพราะปกติเขาจะใช้เวลาระบายเรื่องราวต่าง ๆ หลังถูกคุมขังผ่านการเขียนจดหมายออกมา ทั้งส่งถึงครอบครัว ถึงคนรัก หรือถึงเพื่อน ๆ แต่ตอนนี้กลับมีข้อจำกัดมากขึ้น และทำไม่ได้เหมือนเดิม
.
.
ด้าน “บุ๊ค” ธนายุทธ ระบุว่ากฎของระเบียบเกี่ยวกับการส่งจดหมายใหม่ดังกล่าว มีการออกเป็นเอกสารและนำมาติดไว้ภายในเรือนจำ ลงลายมือชื่อโดยผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเริ่มทยอยบังคับใช้ในแต่ละแดนตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา
บุ๊คเห็นว่ากฎระเบียบที่ถูกเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้ต้องขังลำบากมากขึ้น ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้ยากขึ้น ทั้งที่เดิมก็ยากอยู่แล้ว ยิ่งกับคนที่มีเรื่องต้องติดต่อทางคดี หรือคนที่มีญาติหรือครอบครัวอยู่ไกล โดยในเรื่องญาติในรายชื่อ 10 คนนั้น หมายถึงคนที่มาเยี่ยมที่เรือนจำได้ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการส่งจดหมาย ที่มักเอาไว้ติดต่อกันทางไกล หรือกับคนที่อยู่ไกล
บุ๊คเห็นว่ากฎเหล่านี้มีความไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก และเป็นการละเมิดสิทธิในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งเพื่อน ๆ ที่ซื้อสิทธิ์การส่งจดหมายไว้แล้ว ก็อาจจะต้องเสียเงินฟรี ต้องเรียกร้องกับทางเรือนจำ ให้แก้ไข หรือคืนค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ส่วนในเรื่องปากกานั้น บุ๊คระบุว่าทางร้านค้าในเรือนจำแจ้งว่าขณะนี้ระงับการขายปากกาชั่วคราว และยังไม่สามารถสั่งจากข้างนอกเข้ามาได้ เขาบอกว่าเจ้าหน้าที่บางคนอ้างเหตุผลว่าผู้ต้องขังจะเอาปากกามาจุดไฟได้ เป็นการเอามาใช้ผิดวิธี
“ผมก็งงว่ามันจุดยังไง แล้วถ้าว่าแบบนั้น อย่างอื่นมันก็จุดได้หมด ตอนนี้ก็เลยทำให้ปากกาเป็นของหายาก ของที่มีอยู่ก็เริ่มหมึกหมดไปทีละด้าม ทำให้เราเขียนจดหมายออกไปยากด้วย เรื่องนี้ยังไม่เห็นเอกสารคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ผมคิดว่าอาจจะไม่มี อาจเป็นคำสั่งลอย ๆ
“ผมคิดว่าเขาชอบออกกฎมาแก้ปัญหาการจัดการของเขาเอง เน้นให้ง่ายกับเจ้าหน้าที่ โดยที่ไม่ได้สนใจชีวิตของผู้ต้องขังเลย” บุ๊คสะท้อนปัญหา
.
“ก้อง” อุกฤษฏ์ ยังสะท้อนถึงเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกว่า นอกจากการจำกัดจำนวนบรรทัดในจดหมายไม่เกิน 15 บรรทัดแล้ว ทางเรือนจำยังห้ามระบายสี หรือวาดเป็นภาพด้วย และตัวหนังสือยังเขียนได้เฉพาะภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเท่านั้น ขณะที่ในเรือนจำไม่ได้เป็นมีแต่คนที่ใช้สองภาษานี้เท่านั้น ยังมีคนเมียนมา คนจีน หรือกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ไม่สามารถเขียน-อ่านสองภาษานี้ได้ ทำให้คนกลุ่มนี้ก็มีข้อจำกัดในการส่งจดหมายเพิ่มขึ้นอีก เขาอยากให้สังคมร่วมกันติดตามและแก้ไขเรื่องนี้
ทั้งนี้ ระบบการส่งจดหมายผ่านแอพพลิเคชั่น DomiMail นั้น ยังมีใช้อยู่ภายในเรือนจำประมาณ 10 แห่งเท่านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นเรือนจำภายในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดมีการนำร่องใช้ที่เรือนจำในจังหวัดสงขลา และนครศรีธรรมราช
ส่วนเรือนจำอื่น ๆ ยังต้องใช้การรับส่งจดหมายทางไปรษณีย์ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่าบางเรือนจำใช้ระยะเวลาในการพิจารณาส่งจดหมายเข้าออกค่อนข้างนาน กว่าญาติจะได้รับจดหมายที่ผู้ต้องขังเขียนด้วยลายมือส่งออกมา ใช้เวลาเกือบ 2 เดือน
.
.