จาก “อากง” ถึง “บุ้ง” รพ.ราชทัณฑ์ดูแล ‘ชีวิต’ ผู้ต้องขังอย่างไรเมื่อเจ็บป่วย

จาก “อากง” ถึง “บุ้ง”

กี่ครั้งแล้วที่สังคมตั้ง ‘คำถาม’ กับมาตรฐานการดูแลรักษาผู้ต้องขังของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 

กรณีการเสียชีวิตของ “บุ้ง” เนติพร ในวัยเพียง 28 ปี ระหว่างถูกควบคุมตัวในคดีมาตรา 112 เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘ประชาชน’ ต้องเป็นผู้สูญเสียและเจ็บปวด ก่อนหน้านี้มีอดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองหลายคนที่ต้องรับการรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ ด้วยหลากหลายความเจ็บป่วย อาทิ โรคโควิด – 19, การอดอาหารประท้วง, ได้รับบาดเจ็บและมีบาดแผล ต่างก็ได้เผชิญกับมาตรฐานการรักษาที่แตกต่างจากนอกเรือนจำ 

เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2567 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้จัดรายการ TLHR LIVE เรื่อง ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ดูแล ‘ชีวิต’ คุณแบบไหน ? ร่วมสนทนาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดย เอกชัย หงส์กังวาน และแซม สาแมท อดีตผู้ต้องขังการเมือง พร้อมกับ พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้


“เอกชัย” เล่าประสบการณ์พบ ‘ฝีในตับ’ ระหว่างถูกขัง เมื่อปี 66

ช่วงเดือนกันยายน ปี 2566 ขณะถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ‘เอกชัย’ มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง มีไข้ เขาจึงลงชื่อขอพบแพทย์ เมื่อได้พบแพทย์ ครั้งนี้แพทย์ถึงได้เข้ามาจับดวงตาดู ซึ่งต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่แพทย์แทบจะไม่เงยหน้าขึ้นมองคนไข้เลยด้วยซ้ำ

ไทม์ไลน์ก่อนถูกส่งตัวรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์

1 ก.ย. มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง และจองคิวขอพบแพทย์
4 ก.ย. ได้พบแพทย์ตามคิวในเรือนจำ
6 ก.ย. ได้รับการตรวจเลือดและได้รับแจ้งผลการตรวจเลือด
7 ก.ย. แพทย์ตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันอาการ
8 ก.ย. ได้รับการส่งตัวไปรักษาต่อยัง รพ.ราชทัณฑ์

“กว่าจะได้ไปโรงพยาบาล 1 อาทิตย์พอดี ตอนนั้นทรมานมาก มีอาการหนาวสั่น เป็นไข้ และมีอาการอีกหลายอย่าง” เอกชัยกล่าว

เมื่อถูกย้ายตัวมารักษาต่อที่ รพ.ราชทัณฑ์ ในวันศุกร์ ครั้งนั้นเอกชัยยังไม่ได้พบแพทย์และไม่ได้รับการรักษาโดยทันที มีเพียงเจ้าหน้าที่เข้ามาพบเพื่อทำประวัติผู้ป่วย จากนั้นต้องนอนรอที่เตียงคนไข้และรับน้ำเกลือทางหลอดเลือดอยู่ 2 วัน เนื่องจากวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้ยังคงไม่ได้พบแพทย์อีก 

กระทั่งในวันจันทร์ หรือเข้าสู่วันที่ 4 ของการอยู่ รพ. เอกชัยจึงได้พบแพทย์ โดยแพทย์ได้ทำการตรวจและได้นัดตรวจช่องท้องด้วยการอัลตราซาวด์ ซึ่งต่อมาพบว่าช่องท้องมีก้อนเนื้อใหญ่ขนาดเท่ากำปั้น แต่ตอนนั้นแพทย์ยังไม่ได้ระบุว่าเป็นผลมาจากโรคอะไร 

ไทม์ไลน์กว่าจะถูกส่งตัวไปรักษาที่ รพ. ภายนอก

8 ก.ย. ได้รับการส่งตัวไปรักษาต่อยัง รพ.ราชทัณฑ์
14 ก.ย. ได้รับการ CT Scan ผลออกมาว่าเป็นฝีในตับ
15 ก.ย. ถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ราชวิถี

รพ.ราชวิถี เหมือน รพ.ทั่วไป เป็นห้องนอน 5 คน มีแอร์ แต่ รพ.ราชทัณฑ์เป็นห้องใหญ่มาก นอน 30 กว่าคน ไม่มีแอร์ ตอนนั้นรักษาอยู่หลายวันกว่าจะส่งกลับมาที่ รพ.ราชทัณฑ์ ในวันที่ 25 ก.ย. เพื่อมาพักฟื้น” เอกชัยกล่าว

“แซม” เล่าประสบการณ์ติดโควิดในเรือนจำ

ระหว่างถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อปี 2564 แซมได้ตรวจพบว่าตัวเองติดเชื้อโควิด-19 ตอนนั้นแซมและผู้ติดเชื้อโควิดคนอื่น ๆ ถูกย้ายตัวไปอยู่รวมกันที่แดนที่ 8 ของเรือนจำ ซึ่งเขาให้ความเห็นว่าเป็นแดนที่ไม่มีใครอยากไปอยู่เลย เพราะเสียงดังและมีแต่คนทำงาน 

การติดเชื้อวันที่ 2-3 แซมเริ่มมีอาการหนักขึ้น เริ่มไอเป็นเลือด เขาจึงร้องขอเจ้าหน้าที่ออกไปรักษาตัวที่ รพ.ราชทัณฑ์ ในวันเดียวกันเวลาประมาณเที่ยงกว่าเจ้าหน้าที่จึงได้พาตัวแซมไป รพ.ราชทัณฑ์

“ตอนนั้นเราออกซิเจนต่ำ อยู่ที่ประมาณ 94% ไอเป็นเลือด ความดันสูงมาก หัวใจเต้นเร็วมาก ๆ จนไม่ไหวแล้ว จนผู้ต้องขังตะโกนกันว่า น้องไม่ไหวแล้ว แซมไม่ไหว หายใจลำบาก! … 

“แต่ผู้คุมตะโกนกลับขึ้นมาว่า ‘มึงจะป่วยอะไรกันนักหนา หมอก็ไม่มี’

“อาการต้องหนักถึงขนาดนี้เขาถึงยอมส่งตัวผมไป รพ.ราชทัณฑ์ จริง ๆ มันไม่เหมือน รพ. ซะทีเดียว เป็นแค่ห้องกักโรคอีกที แล้วได้รับการรักษาด้วย ‘ยาพารา’ แค่นั้น …”


การจะได้ย้ายตัวไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ แซมเล่าว่า จะต้องป่วยด้วยอาการที่รุนแรงมากจริง ๆ ในตอนนั้นที่ได้ย้ายไป รพ.ราชทัณฑ์ แล้ว แต่กลับพบว่าต้องรักษาตัวอยู่ในห้องกักโรค ซึ่งเป็นห้องขังโล่งกว้าง อยู่ร่วมกับผู้ป่วยอื่นอีกประมาณ 50 คน ด้านการรักษาได้รับเพียงยาพาราเซตามอลสำหรับแก้ไข้และยาฟาวิพิราเวียร์ ทั้งผู้ป่วยทุกคนยังต้องช่วยเหลือกันเองในการตรวจวัดไข้และวัดความดันด้วย

“ตอนเป็นโควิดเราคาดหวังว่าจะหมอจะรักษาอะไรบ้าง แต่ไม่เลย เขาจ่ายยาพารามา 6 เม็ด แล้วก็ยาฟาวิฯ ให้ผู้ต้องขังวัดไข้กันเอง วัดความดันกันเอง ผ่านไป 6-7 วัน หมอก็แค่เข้ามาถามว่าดีขึ้นยัง แค่นั้น ไม่เคยเห็นแม้แต่หมอมายืนดู มีแต่ผู้ต้องขังยืนดูกันเอง” แซมกล่าว

แซมเล่าอีกว่า สิ่งที่ประหลาดใจมากที่สุดคือ ห้องกักโรคของ รพ.ราชทัณฑ์ ในตอนนั้นมีความเก่ามาก ไม่มีมุ้งลวดทั้งที่ยุงเยอะมาก ส่วนผ้าห่มก็ต้องใช้ต่อ ๆ กันทั้งที่ไม่ได้ซักทำความสะอาดหรือตากแดดฆ่าเชื้อเลย

เมื่อเจ็บป่วยในเรือนจำ ทำอย่างไรถึงจะได้พบแพทย์

เอกชัยและแซมยังได้เล่าถึงความยากลำบากเกี่ยวกับวิธีการขอตรวจโรคกับแพทย์เมื่อเจ็บป่วยระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ ซึ่งทั้งสองได้ให้ความเห็นไว้ตรงกันว่า การพบแพทย์ในเรือนจำไม่ใช่เรื่องง่าย เข้าถึงไม่ได้โดยทันที

  1. ต้องลงชื่อเพื่อขอพบแพทย์ตามคิว

ผู้ต้องขังต้อง ‘ลงชื่อ’ ที่ห้องสมุดของเรือนจำเพื่อขอเข้าพบแพทย์ ซึ่งจะยังไม่ได้พบแพทย์ในวันนั้นทันที แต่จะได้พบในวันถัดไป 

เอกชัยยกตัวอย่างถึงแดน 4 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะมีแพทย์เข้ามาตรวจดูผู้ต้องขังที่เจ็บป่วยสัปดาห์ละ 3 วัน ได้แก่ วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ 

ถ้าวันถัดไปจากวันที่ลงชื่อขอพบแพทย์เป็น ‘วันหยุด’ นัดก็จะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะถึงวันทำการปกติและตรงกับวันที่แพทย์เข้ามาตรวจ

“อย่างช่วงวันหยุดยาว บางทีก็นานเป็นอาทิตย์เลยกว่าจะได้พบหมอ บางคนก็หายแล้ว หรือบางครั้งนัดก็ถูกเลื่อนออกไปเฉย ๆ ก็มี” เอกชัยกล่าว

  1. ลงชื่อต้องไม่เกิน 8 โมงเช้า แล้วจะได้เจอหมอในอีก 1-2 วัน

เงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามอย่างที่สอง จะต้องลงชื่อขอพบแพทย์ภายในเวลาไม่เกิน 8 โมงเช้า แล้วจะได้พบแพทย์ในวันที่มีคิวตรวจใกล้ที่สุด

“สมมติว่าป่วยวันศุกร์ คุณต้องมาลงชื่อขอพบหมอก่อน 8 โมงของวันศุกร์ แล้วจะได้พบหมอวันจันทร์ แต่ถ้าวันศุกร์คุณลงชื่อเกิน 8 โมง คุณจะได้พบหมอวันพุธเลย” เอกชัยกล่าว

  1. จำกัดโควตา หมอ 1 คน ตรวจคนไข้ได้ไม่เกิน 20 คน 

เรือนจำจำกัดให้แพทย์ 1 คนตรวจคนไข้ได้ไม่เกินวันละ 20 คน โดยแพทย์จะเริ่มตรวจตอนประมาณ 11.00 น. ของแต่ละวัน มีหมอด้วยกันทั้งหมด 2 คน ใช้ห้องกว้างโล่ง ๆ ในเรือนจำเป็นห้องตรวจ ผู้ต้องขังต้องเรียงแถวตามคิว แถวละไม่เกิน 20 คน 

เมื่อถึงคิว ผู้ต้องขังต้องยืนเว้นระยะห่างกับหมอพอสมควร ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย และหมอไม่ได้แตะตัวผู้ป่วยเลยด้วยซ้ำไป บางครั้งหมอไม่ได้มองหน้าผู้ต้องขังเลยก็มี ส่วนใหญ่จะซักประวัติเร็ว ๆ ก้มหน้าอ่านเอกสาร และจด ๆ บนกระดาษ

การรักษาของ รพ.ราชทัณฑ์ ‘แตกต่าง’ จาก รพ.ภายนอก อย่างไร

  1. ห้องนอนผู้ป่วยแออัด แน่นกว่า 30 เตียง

เอกชัยเล่าว่าห้องผู้ป่วยมีความแออัด ไม่เหมือนกับ รพ. ทั่วไปข้างนอกที่ห้องหนึ่งอาจนอนกันแค่ 2-5 คน แต่ที่ รพ.ราชทัณฑ์จะเป็นห้องขนาดใหญ่มาก มีผู้ป่วยนอนประมาณ 30 กว่าคน 

  1. โอกาสพบแพทย์-พยาบาลมีน้อยมาก

ผู้ป่วยมีโอกาสได้พบหมอและพยาบาลน้อยมาก ตอนที่เอกชัยป่วยเป็นฝีในตับช่วงแรกยังมีหมอมาดูอาการอยู่บ้าง ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่มีหมอเข้ามาตรวจดูอีกเลย ส่วนพยาบาลเอกชัยก็จะได้เจอแค่ตอนจ่ายยา ซึ่งจะมาอยู่แค่หน้าห้องแล้วให้ผู้ต้องขังอาสารับยาไปให้ผู้ป่วยที่เตียง พยาบาลไม่ได้เดินเข้ามาถึงเตียงผู้ป่วยแต่อย่างใด 

  1. คนดูแลผู้ป่วย คือ นักโทษด้วยกันเอง

เอกชัยเล่าว่าคนที่ดูแลผู้ป่วยก็คือ ‘นักโทษ’ ด้วยกันเอง ห้องผู้ป่วยทุกห้องจะมี ‘นักโทษพี่เลี้ยง’ อยู่ประจำห้อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยป่วยและรับการรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ มาก่อนจนหายดีแล้ว จากนั้นผันตัวมาทำหน้าที่คอยดูแลผู้ป่วยเหมือนเป็น ‘จิตอาสา’ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเช็ดตัว คอยป้อนอาหาร อำนวยความสะดวกในการขับถ่าย ฯลฯ 

“คนที่ดูแลก็คือนักโทษเนี่ยแหละ จะมีนักโทษพี่เลี้ยงอยู่ประจำห้อง เป็นพวกที่เคยป่วยแต่หายแล้วจะมาช่วยเช็ดตัว บางคนต้องเช็ดขี้ เช็ดเยี่ยวให้ คอยป้อนอาหาร ถ้าเป็นข้างนอกงานพวกนี้จะเป็นงานของพยาบาล แต่ที่ รพ.ราชทัณฑ์พยาบาลแทบจะไม่เคยเข้ามาเลยในห้อง ยกเว้นว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรง” เอกชัยกล่าว

  1. การขอเอกสารได้ล่าช้า

พูนสุขเล่าว่า แม้ในสถานการณ์ปกติการขอเอกสารการรักษาจาก รพ.ราชทัณฑ์ ก็เป็นไปอย่างล่าช้า เช่น เมื่อปี 2564 ขณะที่ แซมป่วยเป็นโควิด พูนสุขในฐานะทนายความได้ยื่นขอใบรับรองแพทย์ แต่ รพ.ราชทัณฑ์ ใช้เวลาดำเนินการนานประมาณ 1 สัปดาห์ และในปี 2567 เมื่อไม่นานนี้ พูนสุขได้ยื่นขอใบรับรองแพทย์ของ “น้ำ” วารุณี ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ รพ.ราชทัณฑ์ ก็ได้แจ้งว่าต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณ 2 สัปดาห์  

“ในภาวะที่ไม่ได้มีใครคนเสียชีวิต ช่วงแซมเป็นโควิด รพ.ราชทัณฑ์ใช้เวลาประมาณอาทิตย์หนึ่งกว่าจะได้ใบรับรองแพทย์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ไปขอใบรับรองแพทย์ของวารุณี เขาก็แจ้งมาว่าใช้เวลา 2 อาทิตย์ นี่คือเรื่องพื้นฐานมากเลย แต่ใช้เวลาขนาดนี้แล้วบอกว่ามีมาตรฐานในการรักษา” พูนสุขกล่าว

  1. เจ้าหน้าที่เคร่งครัดกับระเบียบ ‘ติดขัง’  

เอกชัยและแซมให้ข้อมูลตรงกันว่า เงื่อนไขการคุมขังอย่างเคร่งครัดทำให้โอกาสเข้าถึงการรักษาหรือการกู้ชีพกรณีฉุกเฉินเป็นไปอย่างยากลำบาก 

ปัญหานี้ผู้ต้องขังเรียกกันว่า ‘การติดขัง’ คือ การที่ผู้ต้องขังต้องถูกคุมขังอยู่บนเรือนนอนไม่สามารถออกไปไหนได้ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ไปต้นไป จนถึงเวลา 06.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เอกชัยเล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีออดให้กดเรียกเจ้าหน้าที่ด้วย สิ่งนี้เพิ่งมีไม่นานมานี้เอง แม้ปัจจุบันจะมีออดแล้ว แต่เมื่อมีผู้ต้องขังกดออดเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้รีบมาโดยทันที บางครั้งจึงเกิดกรณีการเสียชีวิตในห้องขัง

นอกจากนี้ คนที่ขึ้นมาเมื่อมีผู้ต้องขังกดออดจะเป็น ‘เจ้าหน้าที่’ ซึ่งจะสอบถามอาการเบื้องต้นก่อน หากอาการรุนแรงมากเจ้าหน้าที่จึงจะเดินกลับลงไปตามหมอ ซึ่งกว่าหมอจะมาถึงห้องขังส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว ด้วยเหตุนี้ระหว่างการรักษาอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ เอกชัยได้พบกรณีผู้ต้องขังเสียชีวิตในห้องผู้ป่วยระหว่างรอแพทย์ถึง 3 รายด้วยกัน

จาก “อากง” ถึง “บุ้ง” สะท้อนให้เห็นปัญหาอะไรบ้าง?

พูนสุข ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในทีมทนายความในคดีมาตรา 112 ของ “อากง” อำพล ตั้งนพกุล ได้กล่าวถึงการสูญเสีย “บุ้ง” ว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจและน่าเสียใจมาก ซึ่งได้เกิดขึ้นอีกแล้ว 

ย้อนกลับไปในปี 2555 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาจำคุกอากง 20 ปี ต่อมา อากงและครอบครัวตัดสินใจถอนอุทธรณ์คำพิพากษา ไม่สู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ แต่สุดท้ายยังไม่ทันได้รับอภัยโทษก็กลับต้องเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังเสียก่อน

พูนสุขกล่าวว่า หลายคนชอบอ้างประโยคที่ว่า “คุกนะ ไม่ใช่โรงแรม” แน่นอนว่า ไม่มีใครคิดว่าคุกคือโรงแรมที่อยากจะไปพักผ่อนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ประเด็นสำคัญของปัญหานี้เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดในชีวิต และเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญด้วย 

มาตรา 55 ของรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า “รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับการบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง” พูนสุขขยายความคำว่า ‘อย่างทั่วถึง’ หมายถึง ต้องได้รับทุกคน ต้องไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นคนในเรือนจำหรือเป็นคนที่มีความคิดแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในเรือนจำ ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงการบริการสาธารณสุข 

“มันไม่ใช่แค่การเจ็บป่วยแล้วต้องได้รับการรักษา แต่รวมถึงต้องมีการดูแล การป้องกัน ควบคุมโรคต่าง ๆ ด้วย สิ่งที่สำคัญ รัฐธรรมนูญยังระบุไว้ว่า จะต้องมีมาตรฐานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” 

พูนสุขตั้งคำถามว่า “ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว รพ.ราชทัณฑ์ ได้มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องหรือเปล่า?” 

ก่อนที่อากงจะเสียชีวิต ทนายความได้ยื่นประกันต่อศาลฎีกาเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2555 

โดยศาลฎีกามีคำสั่งว่า “พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยถึง 20 ปี หากปล่อยตัวชั่วคราวเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ส่วนที่จำเลยอ้างความเจ็บป่วยนั้น เห็นว่าจำเลยมีสิทธิการรักษาพยาบาลโดยหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์” 

พูนสุขเล่าว่า สรุปง่าย ๆ คือ ศาลเห็นว่ามีบริการสาธารณสุขอยู่แล้ว หรือพูดอีกอย่างก็คือให้รักษาตัวในเรือนจำต่อไป

ทั้ง “อากง” และ “บุ้ง” เสียชีวิตในระหว่างการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ตามหลักกฎหมายแล้วต้องมีการชันสูตรพลิกศพโดยแพทย์ กรณีของบุ้งตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานสรุปสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงอยู่ จากนั้นพนักงานอัยการจะเป็นคนยื่นสำนวนคดีต่อศาลเพื่อใช้ในการไต่สวนการตาย 

ก่อนถูกคุมขังอากงเคยเป็นโรคมะเร็งที่โคนลิ้น แต่ได้รับการรักษาจนหายแล้ว แต่อย่างที่หลายรู้ว่าโรคนี้มีโอกาสกลับมาเป็นได้ใหม่อีก ฉะนั้นจึงต้องพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างสม่ำเสมอ แต่ระหว่างอากงอยู่ที่เรือนจำมีการส่งตัวไป รพ. แต่ไม่ได้พบหมอแต่อย่างใด เป็นการไปตรวจด้วยเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) ที่ช่วงคอและลิ้นของอากง ซึ่งก็ไม่พบอาการ 

พูนเล่าอีกว่า แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 2555 เรือนจำก็ไม่ได้พาอากงไปตรวจเป็นระยะ ๆ ที่ รพ.อีก แต่จากประวัติการรักษาของอากงก่อนเสียชีวิตมีข้อสังเกต ดังนี้

  • 5 เม.ย. อากงไปพบแพทย์ แพทย์ให้การรักษาตามอาการ 
  • 24 เม.ย. อากงไปด้วยอาการปวดท้อง แพทย์ให้การรักษาตามอาการ 
  • 30 เม.ย. อากงไปด้วยอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องโต แพทย์ให้ยาไปแล้วไม่ทุเลา เลยพิจารณาส่งไปที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ 

วันที่ 5, 24, 30 เม.ย. ทั้งสามครั้งเป็นการรักษาภายในสถานพยาบาลของเรือนจำ ยังไม่มีการส่งตัวไป รพ. ทั้งที่อากงมีอาการปวดท้องตั้งแต่ 24 เม.ย. แล้ว และในวันที่ 30 เม.ย. เรือนจำก็ยังไม่ได้ส่งตัวไป รพ.ราชทัณฑ์ ภายในวันนั้นโดยทันที แต่ส่งไปในวันที่ 4 พ.ค. หรือหลังจากนั้น 4 วันแล้ว 

ปรากฏว่า วันที่ 4 พ.ค. เป็นวันศุกร์ วันที่ 5 พ.ค. เป็นวันฉัตรมงคล ทำให้วันจันทร์ที่ 7 พ.ค. ต้องเป็นวันหยุดชดเชยด้วย ระหว่างนั้นอากงจึงได้รับการรักษาตามอาการ ยังไม่มีการวินิจฉัยโดยแพทย์ว่า สาเหตุของการปวดท้องที่แท้จริงเกิดจากอะไร รวมถึงไม่มีการเจาะเลือดไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการด้วย 

รพ.ราชทัณฑ์ วางแผนว่า จะตรวจอากงในวันอังคารที่ 8 พ.ค. แล้วส่งเลือดไปตรวจที่แล็บข้างนอก เพราะราชทัณฑ์ตอนนั้นไม่มีความสามารถในการตรวจผลเลือดได้เอง ต้องส่งแล็บภายนอก แต่อากง ‘เสียชีวิต’ ในวันนั้น ก่อนจะตรวจพบภายหลังว่า อากงเป็น ‘โรคมะเร็งตับ’ ระยะลุกลาม 

พูนสุขให้ความเห็นว่า คำถามสำคัญต่อกรณีอากง คือ หากว่าอากงได้รับการรักษาอยู่ที่ รพ.ภายนอก อากงมีโอกาสที่จะได้รับการวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องรอเวลานานถึง 3-4 วัน เพื่อส่งเลือดไปตรวจที่อื่นก่อนแล้วค่อยกลับมาวินิจฉัยอีกครั้ง 

นอกจากนี้ ในระหว่างการกู้ชีพอากงที่ รพ.ราชทัณฑ์ พูนสุขระบุว่า ‘ไม่มีแพทย์’ อยู่ร่วมด้วย มีแต่เพียงพยาบาลกู้ชีพด้วยการทำ CPR และใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Ambu Bag

“เรือนจำบอกว่า ‘นี่คือการกู้ชีพตามมาตรฐาน’ 

“เราฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น แต่คดีไปไม่ถึงอุทธรณ์ เพราะป้าอุ๊ (ภรรยาอากง) บอกว่าไม่ไหวแล้ว พอแล้ว ไม่อยากสู้แล้ว เลยทำให้คดีนี้ไปไม่ถึงที่สุด อีกไม่กี่ปีต่อมาสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกหนกับบุ้ง เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก” พูนสุขกล่าว

พูนสุขให้ความเห็นต่อกรณีของบุ้งว่า คดีของบุ้ง หลายคนมักจะพูดว่า ก็ศาลเคยให้ประกันแล้ว แต่เป็นบุ้งเองที่กระทำผิดซ้ำอีกจึงเป็นเหตุผลให้ศาลสั่งถอนประกัน 

พูนสุขยืนยันว่า คดีของบุ้งศาลยังไม่มีคำพิพากษาด้วยซ้ำไป ฉะนั้นจึงยังต้องใช้หลักการสันนิษฐานว่า “ทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด”

บุ้งต้องอยู่ในเรือนจำทั้งที่ยังไม่มีคำพิพากษาว่าผิดด้วยซ้ำ คดีที่ถูกกล่าวหาก็เกิดจาก ‘การทำโพล’ ถามว่า ขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อนหรือไม่ ซึ่งเป็นการตั้งคำถามกับสังคม แต่กลับกลายเป็นอาชญากรรมร้ายแรงได้อย่างไร คดีนี้ทำให้บุ้งต้องถูกนำเข้าเรือนจำจนกลายสาเหตุให้ต้องอดอาหารประท้วงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และเรียกร้องว่าต้องไม่มีคนถูกคุมขังเพราะคดีทางการเมืองอีกต่อไป 

ทนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า ในหนังสือรับรองการเสียชีวิตของบุ้ง แพทย์ให้ความเห็นว่าบุ้งเสียชีวิตเพราะสาเหตุภาวะเกลือแร่ไม่สมดุล ประกอบกับโรคหัวใจโต 

พูนสุขเห็นว่า โรคหัวใจโตอาจจะไม่มีใครรู้มาก่อน แต่สำหรับภาวะเกลือแร่ไม่สมดุลราชทัณฑ์ ‘ต้องรู้แน่นอน’ แต่ทำไมไม่หาทางรักษา ไม่ว่าจะด้วยการฉีด ดื่ม ผสมกับอาหาร หรืออะไรก็ตาม

สุดท้าย พูนสุขให้ข้อมูลว่า บุ้ง คือ ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 รายที่ 2 ที่เสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัวของ รพ.ราชทัณฑ์ แต่หากเป็นผู้ต้องขังคดี มาตรา 112 ที่ต้องตายในเงื้อมมือ ‘ราชทัณฑ์’ ก่อนหน้านี้ในปี 2558 มี 2 ราย ได้แก่ “หมอหยอง” สุริยัน สุจริตพลวงศ์ และปรากรม วารุณประภา ซึ่งทั้งสองเสียชีวิตที่เรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครชัยศรี 

ตามแถลงของราชทัณฑ์ระบุว่า ปรากรมเสียชีวิตด้วยการผูกคอ ส่วนหมอหยองเสียชีวิตด้วยสาเหตุติดเชื้อในกระแสเลือด พูนสุขตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตของทั้งสองยิ่งมีความแปลกกว่ากรณีของอากงและบุ้งมาก โดยที่ทั้งหมอหยองและปรากรมไม่มีแม้กระทั่ง ‘งานศพ’ และไม่มีข่าวให้ได้ยินด้วยซ้ำไป 

ข้อเรียกร้องต่อ รพ.ราชทัณฑ์ เพื่อให้ประชาชนวางใจฝากชีวิตได้

ในความเห็นของ “แซม” มองว่า จะกล่าวโทษต่อราชทัณฑ์เพียงหน่วยงานเดียวไม่ได้ แต่จะต้องกล่าวโทษต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะระบบยุติธรรมที่ ‘ผิดเพี้ยน’ มาตั้งแต่แรก โดยเฉพาะการไม่ให้สิทธิประกันตัวในระหว่างการต่อสู้คดีกับผู้ต้องขังคดีการเมือง

ส่วน รพ.ราชทัณฑ์ นั้น แซมเคยได้รับการรักษาโรคโควิดอยู่ถึง 2 ครั้ง เป็นเวลารวมกันเกือบ 2 เดือน แซมเห็นว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่ รพ.ราชทัณฑ์ ต้องได้รับการแก้ไขและปรับปรุง มิฉะนั้นผู้ต้องขังจะไม่สามารถฝากชีวิตไว้ได้หากว่าทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิมอยู่

ข้อเรียกร้องจากแซม

  1. ขอให้ รพ.ราชทัณฑ์ ‘ลดขั้นตอน’ การเข้าถึงตัวผู้ป่วยของเจ้าหน้าที่ โดยระหว่างถูกคุมขังในห้องขังต้องให้สิทธิผู้ต้องขังได้ออกไปพบแพทย์ได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเปิดประตูห้องขังในตอนเช้า

ด้าน “พูนสุข” ขอให้กรมราชทัณฑ์ ‘ยอมรับความจริง’ ว่า รพ.ราชทัณฑ์ มีปัญหาในเรื่องอะไรบ้าง และเชื่อว่าหน่วยงานรัฐพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนการให้การรักษาของ รพ.ราชทัณฑ์ 

ข้อเรียกร้องจากพูนสุข 

  1. ต้องให้ประกันตัวผู้ต้องขังคดีการเมือง 
  2. สิ่งที่ทำได้เลยโดยไม่ต้องออกกฎหมาย คือการสั่งไม่ฟ้อง หรือยุติคดีในคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ตามมาตรา 21 ของ พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 โดยใช้อำนาจของพนักงานอัยการ 
  3. ขอให้รัฐสภาเร่งรัดหาข้อสรุปเกี่ยวกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนโดยเร็ว เพื่อนิรโทษกรรมให้กับประชาชนทุกสี ทุกฝ่าย ทุกมาตรา และต้องทำโดยเร็วที่สุด
  4. รพ.ราชทัณฑ์ จะต้องมีมาตรฐานในการรักษา

ส่วน “เอกชัย” ให้ความเห็นว่า โรงพยาบาลทั่วไปไม่ว่าจะเอกชนหรือรัฐจะอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงสาธารณสุข แต่สำหรับ รพ.ราชทัณฑ์ นั้นต่างออกไป โดยอยู่ใต้สังกัด ‘กระทรวงยุติธรรม’ เอกชัยจึงคาดว่า ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เข้ามาตรวจ รพ.ราชทัณฑ์ บ่อยนัก หรืออาจจะไม่มาตรวจเลยด้วยซ้ำไป 

ข้อเรียกร้องจากเอกชัย

  1. ปรับปรุง รพ.ราชทัณฑ์ เพื่อให้มีมาตรฐานการรักษาที่ดีกว่านี้ 
  2. ปรับลดขั้นตอนการเข้าถึงแพทย์ที่ซับซ้อน เพื่อให้แพทย์และพยาบาลได้เข้าถึงผู้ต้องขังโดยเร็วหากเกิดเหตุฉุกเฉิน และการันตีว่าเมื่อผู้ต้องขังเจ็บป่วยจะต้องได้พบแพทย์ในเวลาอันรวดเร็ว
  3. ขอให้ย้าย รพ.ราชทัณฑ์ ไปอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข

‘บุ้ง’ คือใคร ในมุมที่เคยสัมผัส

เอกชัย: ส่วนตัวไม่เคยเจอบุ้งเลย เจอแต่ “ตะวัน” และ “แบม” เพราะไปศาลบ่อย เรารู้ว่าแต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง มีบางนิสัยที่คนอื่นอาจจะไม่ชอบ อย่างเราก็เหมือนกัน แต่เราไม่ได้อยู่ด้วยลมหายใจคนอื่น เราอยู่ด้วยลมหายใจตัวเอง ฉะนั้นไม่ต้องแคร์ใครหรอก ตราบใดที่เราไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

แซม: ถ้าคนได้อยู่กับบุ้ง ไปกินข้าวกับบุ้ง หนูไปกินบุฟเฟต์กับบุ้งบ่อยมาก จะเห็นว่า บุ้งตอนที่เรียกร้องสิทธิก็เป็นอีกคน พออยู่กับเพื่อนก็เป็นอีกคนหนึ่ง 

บุ้งเคยส่งข้อความมาหาหนู บอกว่า ‘ถ้าไม่ส่งข้อความมาก็โทรมาได้ตลอดเวลา’ บุ้งเป็นคนที่ให้กำลังใจคนรอบข้างตลอดเวลา คนอาจจะดูว่าบุ้งก้าวร้าว แต่ชีวิตจริง ‘ไม่ใช่’ เขาแค่รู้สึกว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง ถ้าพูดแล้วผู้ใหญ่ไม่ฟัง เป็นผมก็อาละวาดเหมือนกัน ขอยืนยันบุ้งไม่ใช่คนก้าวร้าว

พูนสุข: เราเป็นทนายช่วยเยี่ยมบุ้ง ตอนที่ใบปอและบุ้งอดอาหารประท้วงด้วยกันครั้งแรก เมื่อปี 2565 ตอนนั้นเราจะได้คุยกับเขาเกือบทุกวัน ก่อนหน้านั้นเราคิดว่า การคุยกับบุ้งจะยากมั้ย เรามีความคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่พอได้ไปเยี่ยมบุ้งแล้วก็รู้ว่าเขาไม่ได้ก้าวร้าว และเขาอ่อนโยนด้วยซ้ำ  

กรณีเพื่อนนักกิจกรรมที่มีปัญหากัน และถูกกล่าวหาว่าค้ามนุษย์จากคุณเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ตอนที่ได้คุยกันบุ้งก็บอกว่า “เขารอคดีนั้นอยู่ ต้องการพิสูจน์ตัวเองในชั้นศาลว่ามันไม่ได้เป็นความจริง” 

เราไม่ได้บอกว่าเพื่อนนักกิจกรรมที่ออกมาเสนอปัญหานั้นไม่จริง แต่เราคิดว่ามันเป็นความไม่เข้าใจกันในหลายส่วน ณ ตอนที่เกิดปัญหาบุ้งก็เข้าเรือนจำไปแล้ว ไม่ได้สื่อสารกัน 

เราไม่ได้ก้าวล่วงว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่มันมีโอกาสที่คนจะเข้าใจผิด ไม่เข้าใจกัน ไม่ได้คุยกัน ความเปราะบางของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน มองที่เรื่องหลัก ๆ ในสิ่งที่เขาทำดีกว่า 

สิ่งที่จะไว้อาลัยบุ้งที่ดีที่สุดคือ การทำตาม ‘ข้อเรียกร้อง’ ของบุ้ง คือ

หนึ่ง ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 

สอง ต้องไม่มีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองอีกต่อไป

X