29 เม.ย. 2567 เวลา 13.30 น. ศาลทหารกรุงเทพนัดฟังคำพิพากษาของศาลทหารสูงสุด ในคดีของ “สิบโทเอ็ม” (นามสมมติ) ปัจจุบันอายุ 30 ปี หลังถูกอัยการทหารฟ้องในข้อหา นำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จอันก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 จากเหตุไปคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กว่าอยากลาออกจากราชการทหาร แต่ไม่สามารถทำได้
ศาลทหารสูงสุดพิพากษาว่า จำเลยให้การรับสารภาพและสำนึกผิด เมื่อคำนึงถึงประวัติของจำเลยเคยกระทำคุณงามความดีอยู่บ้าง เห็นควรให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี กระทำคุณงามความดีต่อไป ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลทหารกลาง (ลงโทษปรับ 40,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงปรับ 20,000 บาท ส่วนโทษจำคุก 10 เดือน ให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี)
.
ทบทวนคดี: ถูก ผบ.เรียกไปตักเตือนและขังในเรือนจำทหาร หลังคอมเมนต์ให้กำลังใจตำรวจที่ลาออกไม่ได้ – ถูกแจ้งข้อหาและสั่งฟ้อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
เดือนมีนาคม 2562 เมื่อมีกระแสข่าวเรื่องการลาออกจากราชการของเจ้าพนักงานตำรวจที่ถูกเรียกไปฝึก โดยสิบโทเอ็มเป็นนายทหารภายในหน่วยงานของกองทัพบก ถูกกล่าวหาว่าได้ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวไปคอมเมนต์ไว้ใต้โพสต์ของแฟนเพจเฟซบุ๊กชื่อ “กูรูสีกากี” ในโพสต์ว่า “สีกากีเริ่มยื่นใบลาออกแล้ว…??? เกิดอะไร” โดยระบุว่าตนเองก็อยากลาออก แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะนโยบายของหน่วย พร้อมระบุว่า อยากลาออกจากราชการทหาร แต่ไม่สามารถทำได้ “….ทำได้แค่หนี แล้วรอปลด อนาจชิบหาย ยากกว่าสอบเข้า ก็ลาออกนี้แหละ”
หลังจากนั้น สิบโทเอ็มได้ถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปกล่าวตักเตือน และสั่งขังในเรือนจำทหารเป็นเวลา 30 วัน โดยถูกทำทัณฑ์บนว่าห้ามทำอีก ไม่เช่นนั้นจะถูกให้ออกจากราชการ
แต่หลังจากเขาถูกขังไปได้ 15 วัน ผู้บังคับบัญชาได้เรียกมาพบ พร้อมกับได้มีตำรวจจาก สน.เตาปูน และทหารจากกรมพระธรรมนูญมาสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามมา สิบโทเอ็มยืนยันว่าตนเพียงต้องการให้กำลังใจตำรวจที่จะลาออก แต่ลาออกไม่ได้ ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ร้ายใคร
ในระหว่างการสอบสวน สิบโทเอ็มถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำ มทบ.11 เป็นเวลาประมาณ 6 วัน ก่อนที่ศาลทหารกรุงเทพจะมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 50,000 บาท
17 พ.ค. 2562 สิบโทเอ็มถูกสั่งฟ้องคดีต่อศาลทหารกรุงเทพ โดยมี พันเอกสุรชาติ ไชยกิตติ อัยการศาลทหารกรุงเทพเป็นโจทก์ในการสั่งฟ้องคดีนี้
เขาได้ให้การรับสารภาพในชั้นศาล แต่ต้องเลื่อนการพิจารณาคดีออกมา เนื่องจากหากจำเลยในศาลทหารรับสารภาพและต้องการขอให้ศาลรอการลงโทษ จำเลยจะต้องได้หนังสือรับรองจากผู้บังคับบัญชาก่อน
.
ศาลทหารกรุงเทพและศาลทหารกลางเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 10 เดือน โดยศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษ แต่ศาลทหารกลางเห็นควรให้รอการลงโทษไว้
17 ก.ย. 2562 ศาลทหารกรุงเทพพิพากษาว่าสิบโทเอ็มมีความผิดตามฟ้อง โดยเห็นว่าข้อความตามฟ้องเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับกองทัพบกและสถาบันอันเป็นที่เคารพยิ่งของประชาชน โดยประการที่ก่อให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก
ศาลทหารพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 8 เดือน แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาให้ลดโทษจำคุกเหลือ 10 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ เพราะเห็นว่าจำเลยกระทำไปโดยไม่มีเหตุผลสมควรที่จะให้รอการลงโทษ และศาลก็ลงโทษจำเลยในสถานเบาอยู่แล้ว หลังศาลมีคำพิพากษา ศาลทหารอนุญาตปล่อยตัวสิบโทเอ็มระหว่างการอุทธรณ์คดีโดยใช้หลักทรัพย์เดิม จำนวน 50,000 บาท
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์คดี โดยขอให้ศาลลงโทษสถานเบา และบรรเทาโทษโดยให้รอการลงโทษ
1 ก.ย. 2563 ศาลทหารกลางพิพากษาว่าโทษที่ศาลทหารกรุงเทพพิพากษาไว้นั้น เหมาะสมกับสภาพความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุจะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ได้พิเคราะห์คำอุทธรณ์ของจำเลย เชื่อว่ายังอยู่ในวิสัยที่จะให้โอกาสจำเลยประพฤติตนเป็นพลเมืองดีได้ การที่จะให้ต้องรับโทษจำคุก นอกจากจะไม่เกิดผลในการแก้ไขความประพฤติแล้ว ยังทำให้จำเลยต้องมีประวัติเสื่อมเสีย เมื่อพ้นโทษแล้วก็ยากจะกลับตัวเป็นพลเมืองดี ประกอบสัมมาชีพโดยสุจริตต่อไปได้ ย่อมส่งผลให้ครอบครัวได้รับความทุกข์ยากไปด้วย การให้โอกาสได้แก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมเสียใหม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยรวมมากกว่า รูปคดีมีเหตุอันควรปรานี สมควรรอการลงโทษจำคุก แต่เพื่อให้จำเลยรู้สึกหลาบจำ สมควรวางโทษปรับด้วยอีกสถานหนึ่ง
ศาลทหารกลางจึงได้พิพากษาให้ลงโทษปรับ 40,000 บาท ให้การรับสารภาพ มีเหตุให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือปรับ 20,000 บาท ส่วนโทษจำคุก 10 เดือน ให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี
ต่อมา โจทก์ได้ยื่นฎีกา โดยขอให้ศาลพิพากษาลงโทษตามคำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพ ก่อนที่ศาลทหารสูงสุดจะนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 มี.ค. 2567 แต่ในวันดังกล่าว จำเลยไม่ได้เดินทางมาศาล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากคลองรังสิต แจ้งว่าบ้านของจำเลยถูกปล่อยร้าง ไม่สามารถส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยได้ ส่วนทนายความและศาลไม่สามารถติดต่อจำเลยได้ จึงให้เลื่อนไปฟังคำพิพากษาในวันนี้ (29 เม.ย. 2567)
.
ศาลทหารสูงสุดพิพากษายืนตามศาลทหารกลาง ให้รอการลงโทษ ชี้จำเลยรับสารภาพและสำนึกผิด เห็นควรให้กลับตัวเป็นพลเมืองดี
วันนี้ (29 เม.ย. 2567) เวลา 12.25 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 8 ของศาลทหารกรุงเทพ ศาลออกนั่งพิจารณาคดี และสอบถามทนายความว่า จำเลยเดินทางมาศาลหรือไม่ ทนายความแถลงต่อศาลว่า จำเลยไม่ได้เดินทางมาศาล และไม่สามารถติดต่อจำเลยได้
ศาลกล่าวว่า ศาลสั่งให้มีการปิดประกาศวันนัดฟังคำพิพากษาหน้าศาลแทนการส่งหมายแล้ว เนื่องจากไม่สามารถส่งหมายให้จำเลยได้ ก่อนอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ สามารถสรุปได้ดังนี้
โจทก์คัดค้านคำพิพากษาของศาลทหารกลาง ระบุว่า จำเลยได้ทำผิดกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 15 – 18 มี.ค. 2562 จำเลยได้ทำให้ปรากฏต่อประชาชนทั่วไปโดยแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความ “สีกากีเริ่มยื่นใบลาออกแล้ว…??? เกิดอะไร” ในเฟซบุ๊กชื่อ “กูรูสีกากี” ด้วยการนำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยโพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยว่า อยากลาออกจากราชการทหาร แต่ไม่สามารถทำได้ “….ทำได้แค่หนี แล้วรอปลด อนาจชิบหาย ยากกว่าสอบเข้า ก็ลาออกนี้แหละ” อันเป็นเท็จและประชาชนเข้าถึงได้ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อกองทัพบก กรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 รักษาพระองค์ และสถาบันอันเป็นที่เคารพยิ่งของประชาชน ขอให้ศาลทหารสูงสุดพิพากษาตามศาลทหารกรุงเทพ
คดีนี้ ศาลทหารสูงสุดได้ปรึกษาและวินิจฉัยแล้ว โจทก์ฎีกาว่าจำเลยควรอ้างหนังสือรับรองความประพฤติจากผู้บังคับบัญชาการ แต่กลับมีเพียงหนังสือรับรองความประพฤติจากผู้ใหญ่บ้านที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ โดยไม่ได้มีพยานหลักฐานอื่นรับรอง แต่ศาลเห็นว่าการรับรองความประพฤติไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
เห็นว่า จำเลยให้การรับสารภาพและสำนึกผิด เมื่อคำนึงถึงประวัติของจำเลยเคยกระทำคุณงามความดีอยู่บ้าง เห็นควรให้จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี กระทำคุณงามความดีต่อไป ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลทหารกลาง