เปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม:  ไปให้ไกลกว่ายุติการดำเนินคดีต่อนักโทษทางการเมือง

8 ก.พ. 2567 ที่โคลัมโบ คราฟต์ วิลเลจ จ.ขอนแก่น เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนและแอมเนสตี้ประเทศไทย จัดงาน “Amnesty Regional Meet Up: นิรโทษกรรม ประชาชน เปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม” เพื่อชวนประชาชนทำความรู้จักและเข้าใจเรื่อง “นิรโทษกรรมประชาชน” รวมถึงการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน 

ผู้ร่วมวงเสวนาได้แก่ ทรงพล สนธิรักษ์ ผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุม, รศ.อลงกรณ์ อรรคแสง อาจารย์ประจำวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, เฝาซี ล่าเต๊ะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และ พัฒนะ ศรีใหญ่ ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยมี ณัฐพร อาจหาญ นักพัฒนาเอกชน เป็นผู้ดำเนินรายการ 

ก่อนเริ่มวงเสวนา เวลา 17.45 น. มีการอ่านบทกวี จาก เมฆ’ ครึ่งฟ้า ภายใต้ชื่อ นกยังคง/บินจากไป/ในเสรี จากนั้นผู้ดำเนินรายการ ณัฐพร อาจหาญ ผู้ดำเนินรายการ กล่าวนำถึงความเป็นมาของ “เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน” พร้อมทั้งฉายภาพรวมถึงที่ไปที่มาในเรื่องปัญหาการดำเนินคดีทางการเมืองกับนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว รวมทั้งประชาชนที่ลุกขึ้นเรียกร้องประเด็นทรัพยากร ที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหารปี 2557 ของ คสช. นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีการออกประกาศ/คำสั่งในนามคณะรัฐประหาร 

หนึ่งในประกาศ/คำสั่งที่ออกมาแล้วส่งผลกระทบกับประชาชนจำนวนมาก อันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน คือ คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ที่สั่งห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และสามารถเรียกตัวนักเคลื่อนไหวนักกิจกรรมไปทำการปรับทัศนคติ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 ที่สร้างผลกระทบต่อพี่น้องที่ออกมาพูดถึงปัญหาเรื่องปากท้องและเรื่องที่ดินทำกินซึ่งได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน

นอกจากคำสั่งที่กล่าวมานี้ กรณีประชามติเสนอร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 เพื่อที่จะให้มีการจัดการเลือกตั้ง ก็ยังได้นำมาซึ่งคดีความ จากการที่นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักเรียกร้องสิทธิที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นกับกระบวนการประชามติดังกล่าวที่ก่อร่างมาจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งในด้านกฎหมายที่มีการกลั่นแกล้งด้วยข้อกล่าวหาต่าง ๆ รวมไปถึงผลกระทบทางกายและจิตใจ 

ผลกระทบเหล่านี้เป็นภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจนถึงหลังการเลือกตั้ง 2562 และการยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการตัดสิทธิทางการเมือง เกิดเหตุการณ์มากมายในปี 2563 ที่เกิดการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชนจนเกิดคดีทางการเมืองขึ้นมากมาย มีการดำเนินคดีทางการเมืองกับนักเคลื่อนไหวมากขึ้นอย่างมาก ในขณะที่อายุของผู้ถูกดำเนินคดีก็อยู่ในระดับเยาวชน แม้กระทั่ง 2566 ผ่านการเลือกตั้งมาอีกหน แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงไม่ได้หายไป เพราะหลายคนยังคงพัวพันอยู่กับคดีความในนามของกระบวนการยุติธรรม การร่วมกันผลักดันร่างนิรโทษกรรมฉบับประชาชนจึงถูกหยิบยกนำมาเพื่อเป็นทางออกของผลพวงดังกล่าวซึ่งทำให้เกิดการพูดคุยในวันนี้ขึ้น

.

“อุ้ย” พัฒนะ ศรีใหญ่ ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เล่าว่า ในบรรยากาศที่ไม่ปกติก็จะเจอปัญหาหลายอย่าง ในการที่ฝ่ายรัฐฝ่ายที่มีอำนาจก็จะมีแนวคิดหนึ่งของฝ่ายรัฐที่บ่อยครั้งจะเป็นการโยนภาระในคดีที่เป็นการแสดงออกทางการเมือง ทั้งที่ในฐานะผู้ถือกฎหมายควรต้องทำให้ชัดเจนและโปร่งใสให้มากที่สุด ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง  เพราะกลับกลายเป็นว่า ไม่ว่าการกระทำจะเข้าข้อกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ขอดำเนินคดีไว้ก่อน เกิดเป็นภาวะของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติกับผู้ออกมาใช้สิทธิในการแสดงออกทางการเมืองอย่างการชุมนุม ในลักษณะที่ว่า

“พี่ไม่รู้หรอกว่าเอ็งทำอะไร แต่ต้องดำเนินคดีก่อนนะ เดี๋ยวนายพี่ว่า..”

ซึ่งมักจะเห็นในลักษณะนี้ ต่อให้ตัวผู้มาชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองยืนยันว่า การชุมนุม การแสดงออกนั้นไม่ผิดกฎหมาย แต่ตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายปกครอง ก็จะเลือกดำเนินคดีไว้ก่อน โดยมีเจตนาที่ว่าต้องการที่จะปิดปาก กันไม่ให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพ 

ทนายอุ้ยเล่าอีกว่า ถ้าอย่างดีคือถูกดำเนินคดีไป แล้วเจ้าหน้าที่ทำสำนวนไปตามจริง แต่ในหลาย ๆ ครั้ง การทำสำนวนนั้นก็ไม่ปกติ เช่น การกระทำไม่ได้เข้าข้อกฎหมาย ก็ไปคิดพิสดารขึ้นมา จากที่ปกติการกระทำนั้นไม่ผิด ก็สามารถมีความผิดขึ้นมาได้จากเรื่องราวที่เกี่ยวโยงกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งตัวนักเคลื่อนไหวเองก็เสมือนตกอยู่ในสถานะ ทนได้ก็ทนไป

คนที่ต้นทุนต่ำที่อาจจะมาชุมนุมเพียงครั้งเดียวแล้วถูกดำเนินคดีนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับประชาชนคนหนึ่ง ในส่วนของทนายสิทธิเองก็จะช่วยได้เท่าที่ช่วยคือเป็นทนายความให้กับผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองเหล่านี้

ทนายให้ภาพอีกว่า สถานการณ์กระบวนการยุติธรรมช่วงรัฐประหาร มาจนถึงหลังการเลือกตั้งที่ผ่านไป 2 หน ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังมีการฟ้องยิ่งโดยเฉพาะมาตรา 112 นั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งได้มีข้อสังเกตในช่วงปี 2561-2563 ที่จะเป็นช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงออกว่า จะไม่ใช้มาตรา 112 ซึ่งคิดว่าสถานการณ์คงจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า ถ้าโดนฟ้องมาตรา 112 นั้น ศาลอาจจะตัดสินว่าคุณไม่ผิด 112 แล้วตามข้อกล่าวหา แต่คุณผิด 116 แทน ซึ่งเป็นข้อหายุยงปลุกปั่น ถามว่าในคำฟ้องได้ฟ้องไหม ก็ไม่ได้ฟ้องมา ในฐานะทนายก็สู้คดีในประเด็นที่ว่า เราไม่ได้ผิด 112 ปรากฏว่า คำพิพากษาก็ออกมาว่า ไม่ผิด 112 แต่ผิด 116 แทน ในฐานะทนายเองก็รู้สึก จึ้ง พอสมควร เพราะเรียนกฎหมายมาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้

พอถึงปี 2563 พล.อ.ประยุทธ์ ก็แสดงท่าทีชัดเจนว่า จะใช้กฎหมายทุกมาตรา ซึ่งความหมายคือ รวมถึงมาตรา 112 ด้วย ซึ่งนี่คือสภาพความเป็นจริงของสถานการณ์กระบวนการยุติธรรมกับคดีความทางการเมือง

มีการแจ้งข้อกล่าวหาทุกวัน มีการฟ้องคดีเพิ่มขึ้นทุกวัน และมีผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้รับการประกันตัวในข้อหานี้ มากขึ้นทุกวัน

.

ทรงพล สนธิรักษ์ นักกิจกรรมกลุ่ม “ทะลุฟ้า” กล่าวถึงความผิดหวังในกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ต้องเรียกว่า รัฐบาลเผด็จการ เพราะกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ มันไม่เหมือนขั้นตอนที่เราเคยเรียนมา ที่ว่าจะมีการพิจารณาตามระบบระเบียบ หรือตามตัวบทกฎหมาย ซึ่งเราคาดหวังว่า กระบวนการจะสร้างความยุติธรรมให้กับประชาชน หรือคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

ที่ผ่านมา จากที่ตนออกไปชุมนุมก็จะถูกดำเนินคดีเกือบทุกครั้ง ในบางการชุมนุมไม่ได้ขึ้นปราศรัยหรือขึ้นไปพูด เพียงแค่ไปร่วม ตำรวจก็จะเป็นชั้นต้นน้ำที่จะเล็งว่า สามารถดำเนินคดีใครได้ แค่เพียงอยู่ในพื้นที่ชุมนุม แค่มารวมกัน ก็จะมีการยัดคดี โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในช่วงโควิด-19 ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีการระบาดอย่างรุนแรง แต่การบริหารจัดการในลักษณะที่เป็นรัฐบาลเผด็จการที่ไม่ได้มีการรับมือที่ดีพอนั้น เราก็ต้องออกมาพยายามประท้วงจนตอนนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวว่าจะโดนคดี “แต่สุดท้าย อย่างผมคนเดียวก็โดนไป 22 คดี จากการที่เขาไล่ฟ้องทุกวัน ในทุกครั้งที่เราไปชุมนุม”

ก่อนที่ทรงพลจะไล่เรียงลำดับจากต้นน้ำที่เจ้าหน้าที่ก็จะฟ้องคดี หาจำเลย เสมือนหนึ่งว่าทำผลงานให้กับนาย ส่งสำนวนไปยังกลางน้ำ ให้กับอัยการ ซึ่งก็จะรวบรวมสำนวนส่งฟ้องศาล เป็นการโยนความรับผิดชอบไปให้กับศาลในชั้นปลายน้ำ 

ส่วนใหญ่ ถ้าเป็นในกรุงเทพฯ เมื่อไปถึงศาลแล้วมักจะถูกตัดสินว่า ผิด ขอแค่ไปร่วม ไม่ได้พิสูจน์ แม้ว่าทนายจะโต้แย้งว่า การชุมนุมเป็นสิทธิเสรีภาพภายใต้รัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยอ้างถึงปฏิญญาสากลที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการชุมนุมไปให้ศาลพิจารณา แต่ศาลก็ไม่ได้พิจารณาในจุดนั้น และมองข้ามไปว่า สถานการณ์ตอนนั้นมีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีการฝ่าฝืนออกมาร่วมชุมนุม ทั้งที่มีคำสั่งห้าม ทั้งที่ศาลไม่ได้ลงมาดูกับตัวเองว่าพื้นที่จริง สถานการณ์ความเป็นจริงเรามีมาตรการอะไรบ้างที่พยายามทำให้รัดกุมที่สุดในการชุมนุมแต่ละครั้งเพื่อให้ไม่มีเงื่อนไขในการกล่าวหาได้ ซึ่งก็ไม่เป็นผล

การถูกดำเนินคดีจากการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเฉพาะที่ตนเจอนั้นก็ถือได้ว่า นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองที่ต้องไปรายงานตัวประจำแล้ว ยังเสมือนหนึ่งว่าสร้างบรรยากาศความหวาดกลัวให้กับคนที่เห็นเราถูกกระทำ ทำให้เขาไม่กล้าออกมาเรียกร้อง หรือใช้สิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญที่มี

.

รศ.อลงกรณ์ อรรคแสง เล่าถึงประโยค “เปลี่ยนผ่านสู่ความยุติธรรม” นั้น เป็นคำที่ต่างประเทศมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่พูดถึงมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา เพื่อใช้ในการจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีความแตกแยก โดยเฉพาะสังคมที่ผ่านความเป็นเผด็จการ ผ่านอำนาจนิยมมา ซึ่งคำนี้ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Transitional Justice หรือเรียกสั้น ๆ ว่า TJ

ส่วน “นิรโทษกรรม” เท่าที่รีวิวก็เป็นแขนงหนึ่งและองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ TJ เกิดขึ้นได้ โดยเป้าหมายของ TJ คือ ต้องการทำให้สังคมที่ขัดแย้งกลับไปสู่การปรองดอง ซึ่งจะมีหลายมาตรการที่ทำให้เกิดการปรองดอง 

สำนักงานเลขาธิการสหประชาติให้นิยาม TJ ว่า คือกระบวนการและกลไกที่ครบวงจร เป็นความพยายามของสังคมที่ตกลงร่วมกันเพื่อจัดการกับมรดกของการละเมิดที่เกิดกับประชาชนในอดีตว่าจะจัดการอย่างไร เป็นแนวคิดและกระบวนการที่ครอบคลุมเครื่องมือและกลไกทางกฎหมาย การเมือง และวัฒนธรรม กฎหมายนิรโทษกรรมคือมุมหนึ่ง แต่ถ้าจะก้าวข้ามความขัดแย้งไปได้ ให้เกิดความปรองดองและความยุติธรรมในการเปลี่ยนผ่าน เราต้องมองในมิติการเมืองและมิติทางวัฒนธรรมด้วย

พัฒนาการและกระบวนการของ TJ เริ่มต้นที่การตั้งคณะกรรมการแสวงหาความจริง แต่ในประเทศไทย เราเกิดความขัดแย้ง เรามีคณะกรรมการที่ลุกขึ้นมาแสวงหาความจริงตรงนี้หรือไม่ ? ซึ่งเป็นมาตรการที่ต้องไปพร้อมกันในทางกฎหมาย 

หรือการดำเนินคดีจากนโยบายรัฐรวมศูนย์อย่างทวงคืนผืนป่า ในมุมมองที่แยกคนออกจากป่า โดยดำเนินคดีภายใต้กฎหมายที่ดินและป่าไม้ ทั้งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คนที่อยู่ในป่านั้น ซึ่งเวลาพูดถึงปัญหาที่ดินและป่าไม้ ก็ต้องนำเรียนว่า ผู้ถูกดำเนินคดีไม่ใช่ว่าเขาไปรุกป่า แต่เขาอยู่ในป่ามาก่อน แล้วกฎหมายมาทีหลัง เขาถูกทำให้กลายเป็นผู้รุกป่าโดยกฎหมาย ซึ่งเป็นเคสที่เกิดขึ้นเยอะมาก ในกรณีนี้คณะกรรมการแสวงหาความจริงอยู่ตรงไหน?

ต่อมาในเรื่องการพิจารณาคดี มันเป็นธรรมหรือไม่ ซึ่งทนายก็ได้พูดไปแล้ว ถัดมาเป็นการรำลึก เพื่อให้เรื่องนี้ไม่ได้อยู่เพียงในอากาศ มันจำเป็นจะต้องมี Memorial มีความทรงจำบางอย่าง นอกจากกฎหมายนิรโทษกรรม อาจจะต้องมีการผลักดันไปถึงการสร้างอนุสรณ์สถานว่าด้วยการทำร้ายประชาชน ว่าด้วยกฎหมายรุกป่า ว่าด้วยคำสั่ง คสช. เป็นต้น

เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือ การจะทำให้คนตระหนักถึงความทรงจำเหล่านี้มากกว่าการพูดกันลอย ๆ จะทำยังไงให้เรื่องราวความขัดแย้งเข้าไปอยู่ในภาพยนตร์ ในละคร ในหนังสือ เพื่อให้ชนรุ่นหลังรับรู้ว่า คนรุ่นปู่ย่าตายายของพวกเขานั้นมีความขัดแย้งทั้งในเรื่องการเมือง เรื่องที่ดินป่าไม้ เพื่อที่ว่าชนรุ่นหลังจะได้ไม่ทำซ้ำรอยกับอดีต มันต้องมีสิ่งนี้ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องทางวัฒนธรรม

และอีกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ของ TJ คือ การชดเชย คำถามต่อมาว่า ชดเชยยังไง เพราะคนที่อยู่ในกระบวนการทางกฎหมายนั้นมีมากมายและโหดร้ายมาก กระทบไปถึงในระดับครอบครัว เพียงแค่มีใครสักคนในครอบครัวถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย

.

เฝาซี ล่าเต๊ะ อธิบายถึง concept ของนิรโทษกรรมว่า คือ การลืม แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้ลืมว่าเจ้าหน้าที่รัฐเคยทำอะไรกับเราบ้าง แต่หมายถึงว่า เราทุกคนหรือเจ้าหน้าที่รัฐเองต้องลืมว่า เราเคยถูกดำเนินคดีอะไรบ้าง หมายความว่า คดีที่ยังอยู่ในชั้นสอบสวนก็ต้องยุติ คดีที่รอสั่งฟ้องก็ต้องไม่ฟ้อง คดีที่ตัดสินแล้วก็ต้องยุติ

แม้กระทั่งหากมีคนโดนจำคุกแล้วก็ต้องสั่งปล่อยตัว และยุติคดี

พูดถึงการนิรโทษกรรมเราไม่ได้พูดถึงเรื่องของการนอกเหนือกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่หลักการระหว่างประเทศหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศรับรองไว้ ว่าด้วยสิทธิในการได้รับการเยียวยาจากรัฐ สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิที่จะได้รับรู้ความจริงว่าเกิดอะไรบ้าง

การนิรโทษกรรมก็มีขอบเขตเหมือนกันในแง่ที่ว่า การกระทำบางอย่างไม่เข้าข่ายที่จะนิรโทษกรรม เพราะถือว่าผิดหลักสิทธิมนุษยชน เช่น คดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คดีซ้อมทรมาน คดีบังคับสูญหาย คดีการฆ่านอกระบบต่าง ๆ 

ตามหลักการของสหประชาชาติ การนิรโทษกรรมหรือกฎหมายนิรโทษกรรมที่ไม่ถือว่าดี คือ การนิรโทษกรรม ‘ตนเอง’ และการนิรโทษกรรมแบบ ‘เหมาเข่ง’ ซึ่งถือว่าเป็นการนิรโทษกรรมที่ไม่มีขอบเขต และไม่ถูกหลัก

สำหรับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน นั้น มีขอบเขตอยู่ในแง่ที่ว่า เรากำหนดขอบเขตของตัวกฎหมายอย่างชัดเจนว่า มีกฎหมายลักษณะใดบ้างที่เข้าข่ายในการนิรโทษกรรมภายใต้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ 

สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีเพียงผู้ต้องคดีทางการเมืองเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่หมายถึงว่า กระบวนการนิติรัฐ นิติธรรมไทย และสถาบันทางการเมืองไทยนั้นไม่ได้อยู่ในหลักนิติรัฐ นิติธรรม อย่างแท้จริง ซึ่ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ อาจจะเป็นตัวช่วยในการฟื้นฟูหลักนิติรัฐนิติธรรมของไทยให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอย่างเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง

การนิรโทษกรรมเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่จะนำสังคมออกจากความขัดแย้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมา ที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น 2 ครั้ง มีการชุมนุมทั้งกลุ่มพันธมิตร, นปช., กปปส. รวมถึงกลุ่มราษฎร 2563 ซึ่งหมายความว่า มีความขัดแย้งจากหลากหลายสีเสื้อ ซึ่งไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐ โดยเฉพาะในการชุมนุมตั้งแต่ปี 2563 ได้มีการดำเนินคดีไปแล้วเกือบ 2,000 คดี มีคนถูกจำคุกไปเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน เสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมา โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

1. คดีที่ได้รับการนิรโทษกรรมทันทีโดยไม่ต้องพิจารณามูลเหตุจูงใจ เฝาซีได้แจกแจงรายละเอียดในส่วนแรกนี้ว่า ประกอบด้วยคดีในความผิดเกี่ยวกับคำสั่งของ คสช., คดีที่พลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหาร, คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, คดีความผิดจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, คดีความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2559

เฝาซีอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ต้องรวมมาตรา 112 เข้าไปด้วยนั้นมีเหตุที่ว่า ตั้งแต่การชุมนุม 2563 เป็นต้นมา มีการใช้มาตรา 112 กับประชาชนที่ออกมาใช้เสรีภาพในการแสดงออก แสดงความคิดเห็นทางการเมืองกว่า 200 คดี ซึ่งเป็นการใช้มาตรา 112 สูงสุดในประวัติศาสตร์

ในส่วนคดีความผิดจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งในช่วงสถานการณ์ชุมนุมคุกรุ่นมีคนถูกดำเนินคดีจำนวนมาก ปัจจุบันสถานการณ์ฉุกเฉินได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ความผิดจึงควรถูกนิรโทษกรรม

2. คดีที่ต้องมีการพิจารณามูลเหตุจูงใจจากสถานการณ์ทางการเมือง ตัวอย่างเช่น เราไปชุมนุม เราไม่ได้ปราศรัย เราขับรถผ่านแล้วเกิดโดนจับ หรือการเมืองทำให้เศรษฐกิจไม่ดี ทำให้คนออกมาเคลื่อนไหวแม้ว่าจะไม่ได้มีทัศนคติทางการเมืองก็ตาม 

ผมขอยกเคสในช่วงการชุมนุมปี 2564 ที่ดินแดง ที่มีเยาวชนวัย 14 ปี เป็นกลุ่มเปราะบางที่อาจจะมาจากพิษเศรษฐกิจ ได้ปั่นจักรยานเข้ามาในที่ชุมนุมเพื่อมารับข้าวกล่องที่แจกในที่ชุมนุมไปประทังชีพ แล้วถูกจับกุมและดำเนินคดี คดีลักษณะนี้อาจจะต้องเข้าคณะกรรมการพิจารณาว่า มีเหตุจูงใจหรือมูลเหตุจูงใจจากสถานการณ์ทางการเมืองหรือไม่ รวมไปถึงคดีพี่น้องประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิที่ดิน ที่โดน พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียง ฯลฯ ที่ต้องให้คณะกรรมการนิรโทษกรรมประชาชนเป็นผู้พิจารณา

สำหรับประโยชน์ของการนิรโทษกรรม ประเทศไทยอาจจะกลับมามีหน้ามีตาในเวทีโลก เพราะมีการประกาศกร้าวว่าจะลงสมัครเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ที่ต้องผ่านการเลือกตั้งจากเวทีโลก ซึ่งหากยังมีกฎหมายปิดปากประชาชน ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับการรับรองจากเวทีโลก 

การนิรโทษกรรมประชาชนจะเป็นกลไกสำคัญที่นำพาประเทศไทยออกจากความขัดแย้ง ไปอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐนิติธรรม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมมีความอิสระอย่างแท้จริงไม่ถูกควบคุมและแทรกแซง

หากไม่รวมมาตรา 112 เข้าไปในการนิรโทษกรรม ความขัดแย้งก็จะไม่สามารถจบลงได้ เพราะความขัดแย้งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ประชาชนออกมาพูดเรื่องบางเรื่องไม่ได้ พูดในเรื่องบางเรื่องแล้วโดนดำเนินคดี พูดในเรื่องบางเรื่องแล้วถูกจำคุก ซึ่งความขัดแย้งก็จะไม่สามารถจบลงได้

.

ทรงพล มองว่าการนิรโทษกรรมเหมือนเป็นประตูบานแรกที่ลดความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน ยิ่งเป็นรัฐบาลชุดใหม่ที่เราคาดหวังว่าคงต่างกับรัฐบาลเผด็จการในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา “ผมคาดหวังว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน จะได้รับการผลักดันเข้าไปสู่สภาและพิจารณาให้เกิดการบังคับใช้ได้จริง เป็นประตูบานแรกให้นักเคลื่อนไหวและผู้ได้รับผลกระทบที่เกิดจากกฎหมาย ได้ยุติลงด้วยกฎหมาย ส่วนขั้นต่อไปควรมีคณะกรรมการค้นหาความจริงในแต่ละเหตุการณ์ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย”

พัฒนะ กล่าวว่า หากจะมองในมุมประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐหากมีการนิรโทษกรรมก็คือว่า ตัวเจ้าหน้าที่เองก็จะได้ไม่ต้องมีภาระมาเป็นพยาน ไม่มีภาระต้องมาขึ้นศาล มาเบิกความ เพราะในสภาวะปัจจุบันก็มีคดีความที่ค้างอยู่ที่ศาลว่ากันเป็นหลักพันคดี อย่างน้อยที่สุดตัวเจ้าหน้าที่เองก็ไม่ต้องมาเป็นพยาน คดีก็ยกหายไป เอาเวลาไปคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนทั่วไป เอาสรรพกำลังที่มีไปใส่ใจกับคดีอื่น ๆ เช่น คดียาเสพติด คดีที่เกี่ยวกับปากท้องของประชาชนโดยตรง ลักวิ่งชิงปล้น ไม่ต้องมาเปลืองเวลา เสียทรัพยากร เกิดความสะดวกกับทุกฝ่าย

แต่ต้องไม่ลืมในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตกับประชาชน ใช้อำนาจในทางที่ไม่ดี กลั่นแกล้งประชาชน อันนี้ก็ต้องแยกออกไป ไม่ใช่จะเหมารวมไปได้ทั้งหมด

รศ.อลงกรณ์ ชี้ว่ากฎหมายนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องใหม่ของบ้านเรา เรามีมาแล้ว 23 ฉบับ แต่โดยส่วนใหญ่มันคือการนิรโทษกรรมให้กับคนทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ การนิรโทษกรรมให้กับพี่น้องประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวก็มีบ้าง คือ เหตุการณ์การเมืองปี 2516, 2519, 2535 

ถ้าถามว่าสังคมได้อะไรกับการนิรโทษกรรม ก็คงต้องถามกลับว่า ถ้าไม่นิรโทษกรรมแล้วได้อะไร อันนี้หมายถึงถามกลับไปยังภาครัฐ เพราะหน้าที่นิรโทษกรรมคือหน้าที่ที่รัฐต้องทำ ซึ่งองค์ประกอบความเป็นรัฐมี 4 อย่าง คือ ดินแดน อธิปไตย รัฐบาล ซึ่งไม่ใช่แค่ ครม. แต่หมายถึง ทุกองคาพยพที่ใช้อำนาจในนามของรัฐ และประชากร ซึ่งก็คือ 1 ใน 4 องค์ประกอบ คือ ประชากรนั้นได้อะไรหากคุณไม่นิรโทษกรรม 

ยกตัวอย่างเช่น พี่น้องประชาชนที่ถูกดำเนินคดีในคดีรุกป่า 40,000 กว่าคดี ถ้าคุณปลดล็อคแล้วเริ่มต้นใหม่ ทำให้เขาลืมตาอ้าปาก ไม่ต้องเทียวขึ้นโรงขึ้นศาล เขาก็กลับมาทำมาหากินได้ แทนที่จะเอาชีวิตเอาเงินที่หาได้ไปขึ้นโรงขึ้นศาล เขาก็จะได้ทำมาหากิน ซื้อข้าวซื้อของ เสียภาษี เอาไปพัฒนาประเทศต่อ

เฝาซี เสนอว่า concept มันง่าย ๆ เลยว่า ไม่ควรมีใครถูกดำเนินคดีจากการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกผ่านการชุมนุม แต่สิ่งที่รัฐทำก็คือการใช้กฎหมายปิดกั้นการกระทำดังกล่าว ซึ่งหากไม่มีการนิรโทษกรรม นั่นหมายความว่า ปัญหาหลาย ๆ อย่างจะบานปลายและไม่ได้รับการแก้ไข อย่างพี่น้องบางกลอยที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องต่าง ๆ แต่ถูก พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ควบคุมและมีคนถูกดำเนินคดี ทำให้ประชาชนไม่สามารถเสนอปัญหากับรัฐได้ มันมีระยะห่างระหว่างรัฐกับประชาชนที่จะเข้าหากัน 

การนิรโทษกรรม อาจจะเป็นการลดระยะห่างระหว่างรัฐกับประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถที่จะเสนอปัญหากับรัฐโดยตรงโดยที่ไม่มีระยะห่างดังที่กล่าวมา

เหนือสิ่งอื่นใดก่อนจะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตอนนี้ต้องหยุดการดำเนินคดีเพิ่มกับคนที่แสดงออกทางการเมืองหรือออกมาเคลื่อนไหว อยากให้ภาครัฐหยุด ตั้งสติ และกลับมามองก่อนว่า สังคมโลก สังคมไทย และประชาชนเขาพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ซึ่งหากไม่มีคดีเพิ่มขึ้น เราก็กลับมาดูที่ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่าควรจะเป็นลักษณะไหน 

และขอให้มองว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้นเกี่ยวข้องและต้องการส่วนร่วมจากพวกเราทุกภาคส่วน เพราะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือภาพรวมการบริหารประเทศของรัฐบาล มันคือหน้าตาและกลไกของชาติที่จะทำให้ประชาชนสามารถที่จะอยู่ภายใต้รัฐบาลที่น่าเชื่อถือ และเปิดรับฟังเสียงประชาชนอย่างจริงใจ พร้อมทั้งเป็นการนำสถาบันทางการเมืองกลับเข้าสู่หลักนิติรัฐ นิติธรรม อย่างแท้จริง

พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับนี้จะไม่รวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐ นั่นหมายความว่า ต้องไปสืบเสาะหาความจริงและพิสูจน์ให้ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดและเยียวยาประชาชนอย่างแท้จริงและจริงจัง สาเหตุที่ไม่รวมเจ้าหน้าที่รัฐเพราะว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และปี 2560 หากเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติตามกฎหมายและทำหน้าที่ตามกฎหมายอย่างแท้จริง ถ้าเรานิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่รัฐ มันจะเกิดสภาวะ ลอยนวลพ้นผิด นั่นความว่า หากมีการชุมนุมต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถทุบตีประชาชนได้อีก ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับสังคมไทยที่เรียกว่าสังคมประชาธิปไตย

ข้อเสนอหลัก 5 ข้อ คือ

1. รัฐต้องยุติการดำเนินคดีต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน มีเยาวชนถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 เยอะมาก และอายุน้อยลง ซึ่งปัจจุบันยังมีเด็กถูกขังในสถานพินิจอยู่

2. หากรัฐไทยจะเข้าไปสู่เวทีโลก รัฐไทยเองที่รับอนุสัญญากติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง คือ ICCPR ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวโดยเฉพาะข้อที่ 19 ที่ว่าด้วยการแสดงความคิดเห็น และข้อ 21 สิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ต้องรับรองสิทธิเหล่านี้ให้กับประชาชนในชาติ

3. ปล่อยตัวนักโทษทางความคิดและนักกิจกรรมทางการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข

4. ทบทวนและแก้ไขมาตรา 112 ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและแนวทางของสหประชาชาติ ทบทวน พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐบาล คสช. ซึ่งโดยปกติกฎหมายต้องได้รับการทบทวนทุก ๆ 5 ปี แต่ขณะนี้รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน พร้อมด้วยพรรคร่วมรัฐบาลยังคงใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ฉบับดังกล่าว จึงอยากเสนอให้มีการทบทวนและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

5. รัฐต้องผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชนฉบับนี้โดยเร็วที่สุด อย่างน้อยภายในปี 2567 เพื่อที่ประเทศไทยจะไปยืนอย่างสง่างามในเวทีโลกในปีถัดไปที่จะลงสมัครเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ 

X