ในวันที่ 12 ธ.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาในคดี ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 ของ “อติรุจ” (สงวนนามสกุล) โปรแกรมเมอร์วัย 26 ปี จากกรณีถูกกล่าวหาว่าตะโกนว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จของรัชกาลที่ 10 ขณะเคลื่อนผ่านออกจากศูนย์การประชุมสิริกิติ์ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 15 ต.ค. 2565
ย้อนทบทวนที่มาในคดีนี้
เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2565 เวลาประมาณ 17.00 น. รัชกาลที่ 10 และราชินีได้เสด็จไปพิธีเปิดอาคารใหม่ของศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ได้เสด็จกลับเวลาประมาณ 18.00 น. ในขณะที่รถขบวนเสด็จผ่าน มีประชาชนคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ”
เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่อยู่บริเวณนั้นได้เข้าจับกุมโดยการอุ้มอติรุจไปยังห้องภายในศูนย์ประชุมฯ จากนั้นเขาถูกส่งตัวต่อไปยัง สน.ลุมพินี เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ตามมาตรา 138
วันรุ่งขึ้นหลังจากคืนเกิดเหตุ อติรุจเล่าว่าเขาถูกส่งตัวไปยังแผนกจิตเวชโรงพยาบาลเจ้าพระยา ก่อนที่เขาจะปฏิเสธการตรวจ จนในที่สุดอติรุจจึงได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้นำหมายค้นที่ออกโดยศาลจังหวัดธัญบุรี ลงวันที่ 16 ต.ค. 2565 ไปขอตรวจค้นบ้านพักอติรุจที่จังหวัดปทุมธานี ในเวลา 14.00 – 17.50 น. แต่ก็ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายใด ๆ
วันถัดมา (17 ต.ค. 2565) พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ได้นำตัวอติรุจไปยื่นขอฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เป็นเวลา 12 วัน ทนายความได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง หลังการไต่สวน ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้องของพนักงานสอบสวน แต่ได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา โดยให้วางหลักทรัพย์ 200,000 บาท ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์
หลังจากนั้น วันที่ 6 ธ.ค. 2565 อติรุจได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมที่ สน.ลุมพินี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่า ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือข้อหาตามมาตรา 138 วรรคสอง โดยระบุว่าอติรุจต่อสู้หรือขัดขวางไม่ให้ทำการจับกุมตัว โดยใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่โดยใช้เท้าถีบตำรวจที่ทำการจับกุมตัวจนได้รับบาดเจ็บ
ถัดมาหนึ่งเดือน ในวันที่ 6 ม.ค. 2566 วรวัตร สีหะ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2565 เวลาประมาณ 18.30 น. จําเลยซึ่งยืนอยู่บริเวณที่ขบวนเสด็จออกจากศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ได้ตะโกนเสียงดังไปทางขบวนเสด็จว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” อันเป็นถ้อยคํากล่าวที่มิบังควร จาบจ้วง มุ่งหมายใส่ความให้ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จและบุคคลทั่วไปเห็นว่าการเสด็จพระราชดําเนินเป็นการสร้างปัญหา สร้างภาระให้ประชาชน เสด็จไปที่ใดทําให้ประชาชนเดือดร้อน เอาแต่ประโยชน์ส่วนพระองค์ ไม่คํานึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน ก่อให้เกิดความเกลียดชังและเป็นภัยคุกคามต่อรัชกาลที่ 10 และพระราชินีฯ ทําให้ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นการใส่ความ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์ พระราชินี
นอกจากนี้ หลังจากที่จำเลยได้ตะโกนประโยคดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยในบริเวณนั้นประมาณ 5 นาย ได้เข้าจับกุมจำเลยทันทีเพื่อให้หยุดการกระทําดังกล่าว แต่จําเลยได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้เท้าถีบเจ้าพนักงานตํารวจผู้จับกุมได้รับบาดเจ็บเกิดบาดแผลถลอกและฟกช้ำ
พนักงานอัยการจึงได้สั่งฟ้องใน 2 ข้อกล่าวหาแก่อติรุจ ได้แก่ ข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหา “ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138
มาตรา 138 “ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย” ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ |
ย้อนอ่านข่าวสั่งฟ้อง >> อัยการสั่งฟ้อง ม.112 “อติรุจ” กล่าวหาตะโกน “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จ ร.10 – ราชินี ชี้เป็นการสร้างความเกลียดชังและเป็นภัยคุกคามต่อทั้งสองพระองค์
ภาพรวมการสืบพยาน: ฝ่ายจำเลยรับสารภาพข้อหา ม.112 แต่ต่อสู้ข้อหาต่อสู้ขัดขวางฯ ยันไม่ทราบว่าบุคคลที่เข้าจับกุมเป็นเจ้าหน้าที่ เพราะแต่งกายนอกเครื่องแบบและไม่สามารถสังเกตเห็นบัตรประจำตัว
คดีนี้ ศาลนัดสืบพยานทั้งสิ้น 3 นัด โดยสืบพยานโจทก์ในวันที่ 24 – 25 ต.ค. 2566 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 31 ต.ค. 2566 ก่อนการสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยได้เปลี่ยนคำให้การ เป็นรับสารภาพเฉพาะข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 แต่ยืนยันปฏิเสธและต่อสู้คดีข้อหาขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 138
อัยการได้นำพยานโจทก์เข้าสืบพยานทั้งสิ้น 9 ปาก ได้แก่ ทหารผู้ถ่ายวิดีโอขณะเกิดเหตุ 1 นาย, ตำรวจผู้จับกุม 5 นาย , ทหารผู้จับกุม 1 นาย, ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมและเทคโนโลยี (บก.ปอท.) 1 นาย และพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี 1 นาย
ส่วนทนายความจำเลยได้นำพยานจำเลยเข้าสืบพยานทั้งสิ้น 1 ปาก คือ อติรุจผู้เป็นจำเลยในคดีนี้ ก่อนศาลจะนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 12 ธ.ค. 2566
โจทก์นำสืบว่า เจ้าหน้าที่ได้รับมอบหมายให้แต่งกายนอกเครื่องแบบด้วยสีเสื้อต่าง ๆ และมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ติดที่เสื้อทุกคน มีการเฝ้าระวังหลังจากที่จำเลยไม่นั่งลง เมื่อจำเลยตะโกนขึ้นจึงต้องระงับเหตุเนื่องจากไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก แต่จำเลยขัดขืนไม่ยอมให้ควบคุมตัวจึงต้องมีการอุ้มในลักษณะหิ้วปีก จำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางขณะถูกจับกุมโดยการดิ้นและใช้เท้าถีบเจ้าพนักงานจนได้รับบาดเจ็บ
ด้านจำเลยต่อสู้ว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งมายืนประกบตัวจำเลยไม่ได้แต่งกายด้วยเครื่องแบบ และไม่สามารถสังเกตเห็นบัตรประจำตัวได้ อีกทั้งตั้งแต่ก่อนจับกุมจนกระทั่งถูกอุ้มตัวไปในห้องปฏิบัติการที่ลับตาคน เจ้าหน้าที่ไม่เคยตอบคำถามหรือพูดคุยกับจำเลย จำเลยไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ที่มาควบคุมตัวอยู่นั้นเป็นใคร จึงทำให้โกรธและดิ้นในขณะที่ถูกจับกุม รวมถึงขณะที่ถูกอุ้มรู้สึกได้ว่ามีมือมากระทบใบหน้าเพื่อให้จำเลยหยุดดิ้น
บันทึกการสืบพยานโจทก์
ทหารผู้ถ่ายวิดีโอในเหตุการณ์เบิกความว่าสังเกตเห็นชายต้องเฝ้าระวัง จึงยืนถ่ายวิดีโอเผื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น หลังจำเลยตะโกนมีการระงับเหตุ ชี้การกระทำเป็นภัยต่อสถาบันฯ
พลโทสุเมธ พรหมตรุษ ขณะเกิดเหตุ รับราชการทหารอยู่ที่กองบังคับการ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ มีหน้าที่ถวายความปลอดภัยบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
พยานเบิกความว่า ในหลวงและพระราชินีฯ มาเปิดศูนย์ประชุมสิริกิติ์ตามหมายกำหนดการวันที่ 15 ต.ค. 2565 ซึ่งพยานได้รับแจ้งล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน มีการประชุมเตรียมพร้อมเป็นระยะ ในวันเกิดเหตุมีการประชุมเวลา 13.00 น. เพื่อเตรียมการรับเสด็จ การแต่งกายของเจ้าหน้าที่จะมีทั้งในเครื่องแบบ นอกเครื่องแบบ และใส่สูท มีบัตรประจำตัวติดที่เสื้อทุกคน
ในวันเกิดเหตุพยานใส่ชุดสูท อยู่ในพื้นที่ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ในช่วงขามา เสด็จถึงก่อน 18.00 น. และเสด็จกลับประมาณ 19.00 น. เมื่อรถเตรียมออก พยานต้องเตรียมพื้นที่และตรวจสอบความปลอดภัยเพราะต้องย้ายคนจากจุดทางเข้า มายังจุดทางออก
ก่อนเกิดเหตุ ในวันนั้นชั้นใต้ดินมีงานสัปดาห์หนังสือ จำเลยซึ่งใส่เสื้อสีดำ กางเกงสีดำ สะพายกระเป๋า สวมหน้ากากอนามัยสีดำเดินมาจากชั้นใต้ดินและเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ จึงมีการเฝ้าระวัง
วันนั้นจะมีการเชิญชวนให้ประชาชนไปนั่งเพื่อรอรับเสด็จ ใครจะไม่นั่งลงก็ไม่เป็นไร จากนั้นมีเจ้าหน้าที่ซึ่งใส่เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงสีดำและติดบัตรประจำตัวไปเชิญให้จำเลยนั่งลง แต่จำเลยไม่ได้นั่งลง ซึ่งคนทั่วไปจะเข้าใจได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากบัตรประจำตัว
เมื่อเห็นว่าจำเลยไม่นั่งลง เจ้าหน้าที่ก็จะเตรียมการหากเกิดเหตุ เนื่องจากจำเลยมีกระเป๋า ซึ่งไม่ทราบว่ามีอาวุธหรือไม่ และการที่จำเลยยืนจะควบคุมตัวได้ยากกว่านั่ง พยานถ่ายวิดีโอเผื่อเกิดเหตุขึ้น ส่วนเจ้าหน้าที่เตรียมรับเหตุทั้งซ้ายและขวาประมาณ 4-5 นาย ส่วนจำเลยนั้นยืนหันหน้าเข้าหาขบวนเสด็จ เมื่อขบวนเสด็จผ่าน มีการตะโกน “ไปไหนก็เป็นภาระ” มีการระงับเหตุโดยการปิดปาก เนื่องจากไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกว่ามีคนประสงค์ต่อพระองค์ท่านไม่ดีและเกิดการกระทบกระทั่ง
หลังจากเจ้าหน้าที่ยกตัวจำเลยทั้งแขนและขา มีการใช้เท้าถีบ ดิ้นรนขัดขืน และด่าทอ จุดประสงค์ของพยานคืออยากให้จำเลยใจเย็นลง จึงพาลงไปข้างล่างในห้องปฏิบัติการฯ โดยไม่มีการทำร้ายร่างกาย ทั้งนี้ เวลาเกิดเหตุเป็นเวลาค่ำ มีโคมไฟ และแสงไฟจากศูนย์ประชุมฯ จึงมองเห็นได้ชัดเจน
พยานเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันฯ ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศและไม่เหมาะสมต่อหน้าประชาชนที่จงรักภักดี
ตอบทนายจำเลยถามค้าน พยานกล่าวว่าที่เกิดเหตุไม่ได้มีการปิดถนน ประชาชนสามารถเดินได้ ยกเว้น 1 นาทีในช่วงที่มีขบวนเสด็จ วันดังกล่าวทหารมีหลายส่วน รวมแล้วประมาณ 100 นาย ในจุดเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณ 50 นาย บางส่วนปะปนอยู่กับประชาชน มีหลากหลายสีเสื้อ ไม่ได้สวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ แต่จะติดบัตรประจำตัว
ก่อนเกิดเหตุมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเชิญให้จำเลยนั่ง แต่จำเลยไม่นั่งลง ก็เป็นสัญชาตญาณที่ทำให้รู้ได้ ทำให้มีตำรวจ 4 นายเดินประกบ พยานไม่ได้ยินที่จำเลยพูดขณะที่ถูกประกบตัวว่า “มาประกบตัวทำไม” ทั้งนี้ พยานได้สั่งเจ้าหน้าที่ว่าอย่าไปทำอะไรเพราะจำเลยยังไม่ได้ก่อเหตุ ให้ระงับเหตุให้ทันเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทั้งนี้จากสายตาของพยาน ไม่เห็นว่ามีใครเข้าไปคุยกับจำเลยหลังจากที่มีเจ้าหน้าที่ไปคุยครั้งแรก
พยานใส่สูทยืนถ่ายคลิปวิดีโออยู่ด้านหลังก่อนที่จำเลยตะโกนด้วยเสียงดังว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” จนถูกล็อกตัว ความยาววิดีโอประมาณ 4 นาที เริ่มถ่ายตั้งแต่รถขบวนออก จนสิ้นสุดในวิดีโอ พยานได้พูดว่า “เอาลงไปข้างล่าง”
พยานยืนยันว่ามีการกดให้จำเลยนั่งลง แต่จำเลยไม่ไปและขัดขืนจึงมีการหิ้วปีก จับแขนและขา ขณะนั้นยังไม่ได้ใส่กุญแจมือ ซึ่งขณะควบคุมตัวไปที่ห้องปฏิบัติการ จำเลยดิ้นตลอดเพื่อให้หลุดพ้น และยืนยันว่าหลังจากเกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บจากการดิ้นของจำเลย และเนื่องจากจำเลยกำหมัด จึงเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้จำเลยหลุดออกจากการจับกุม แต่ก็มีขาและแขนหลุดที่ออกเป็นช่วง ๆ
ในห้องปฏิบัติการฯ พยานเห็นว่าจำเลยเอาเท้าวางไว้บนโต๊ะ แสดงกิริยาไม่พอใจ แต่ไม่เห็นว่าจำเลยได้รับบาดเจ็บจากการจับกุม และมีการตรวจค้นอาวุธหลังเกิดเหตุ พยานกล่าวว่าไม่ได้แนะนำตัวกับจำเลย เนื่องจากพยานมีหน้าที่เฝ้าระวัง
ตอบอัยการถามติง พยานเห็นว่าถ้ามีการมองมายังบุคคลและพยานตรงนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่แน่นอน
ตำรวจเบิกความไปเชิญชวนให้จำเลยนั่งลง แต่จำเลยไม่นั่ง พยานจึงส่งสัญญาณให้ผู้อื่นเฝ้าระวัง เมื่อมีการตะโกน ก็เข้าไปปิดปากจำเลยร่วมกับทหารอีกคนหนึ่งทันที
พันตำรวจโทชยาคมน์ โพธิ์ปรึก ขณะเกิดเหตุเป็นรองผู้กำกับสอบสวน สน.หลักสอง และ พลตรีธีรเดช กลัมพสุต ขณะเกิดเหตุเป็นทหารที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย
พยานทั้งสองคนเบิกความในทำนองเดียวกันว่าได้รับคำสั่งให้ถวายความปลอดภัยที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ฯ ในวันที่ 15 ต.ค. 2565 เวลา 17.00 น. ซึ่งพลตรีธีรเดชเบิกความต่อว่า พยานมีหน้าที่ในการประมวลและรายงานข่าวสารที่จะส่งผลกระทบต่อขบวนเสด็จ
การแต่งกายในวันเกิดเหตุ พันตำรวจโทชยาคมน์เบิกความว่า พนักงานตำรวจสอบสวนกลางจะใส่เสื้อสีขาวและกางเกงสีครีม ส่วนพยานได้รับมอบหมายให้ใส่เสื้อสีน้ำเงินและกางเกงสีดำ ส่วนพลตรีธีรเดชแต่งกายด้วยสูทสากลสีเข้ม เนคไทสีเหลือง โดยทั้งสองคนติดบัตรประจำตัว
หลังจากประชุมชี้แจงแผนงาน พลตรีธีรเดชและพลโทสุเมธไปดูแลความเรียบร้อยบริเวณสถานที่รับเสด็จ เมื่อถึงเวลาขบวนเสด็จกลับ พันตำรวจโทชยาคมน์ ซึ่งเบิกความว่าได้รับมอบหมายให้ประจำจุดเพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณประตูเอเทรียมซึ่งเป็นประตูทางออกของขบวนเสด็จ และเป็นทางขึ้นลงไปดูนิทรรศการ
พยานสังเกตเห็นจำเลยที่ใส่เสื้อสีดำใส่หน้ากากอนามัยเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน จึงไปประชาสัมพันธ์สอบถามว่ามารับเสด็จหรือไม่ ถ้ามา ก็ให้นั่งลง แต่จำเลยไม่นั่งลงและขอยืน จากนั้นพยานจึงส่งสัญญาณให้ผู้อื่นและเฝ้าระวังชายคนนั้นด้วยการมายืนด้านหน้าจำเลยและหันหน้าไปทางเดียวกัน ซึ่งจุดที่พยานยืนอยู่ห่างจากขบวนเสด็จประมาณ 5 เมตร
ด้านพลตรีธีรเดชเบิกความว่าพยานได้รับราบงานว่ามีจำเลยที่แต่งกายเสื้อสีดำ สะพายกระเป๋าสีดำ ใส่หน้ากากอนามัยสีดำเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดินมายังบริเวณที่มีขบวนเสด็จ จากนั้นมีเจ้าหน้าที่แจ้งให้จำเลยนั่งลงด้วยความสุภาพ แต่จำเลยเดินหลบไปอีกทาง เจ้าหน้าที่จึงเดินตาม พยานพิจารณาดูแล้วอาจส่งผลกระทบต่อการเสด็จ จึงมีการเฝ้าระวังบุคคลดังกล่าวโดยที่พยานยืนอยู่ด้านหลังทางขวาของจำเลย ส่วนด้านซ้ายมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใส่เสื้อสีขาวและเสื้อสีนำเงินอยู่ 2 นาย
พยานทั้งสองคนเบิกความตรงกันว่าเมื่อขบวนเสด็จผ่าน มีการตะโกนว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” พยานทั้งสองคนใช้มือปิดปากจำเลย โดยพันตำรวจโทชยาคมน์เบิกความต่อว่าเหตุที่ทำเช่นนั้นเพราะว่าน้ำเสียงมีความเกรี้ยวกราด เห็นว่าการกระทำเป็นภัยต่อกษัตริย์ เป็นการเหยียดหยามและดูหมิ่นกษัตริย์ฯ และพลตรีธีรเดชเบิกความว่าการกระทำของจำเลยทำให้กษัตริย์และพระราชินีฯ เสื่อมเสียพระเกียรติยศ
หลังจากมีการปิดปาก พันตำรวจโทชยาคมน์เบิกความว่ามีการจับและกดตัวเพื่อให้ขบวนเสด็จผ่านไป และในขณะที่เริ่มยกตัวจำเลย ประชาชนเริ่มหันมามอง จึงมีการบอกว่ามีคนเป็นลมชัก เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเพราะกลัวคนจะเข้ามาทำร้ายจำเลย จำเลยตะโกนขึ้นมาว่า “กูไม่ได้เป็นโว้ย”
พันตำรวจโทชยาคมน์และพลตรีธีรเดชเบิกความต่อไปในทำนองเดียวกันว่า ขณะที่จับกุมจำเลยดิ้นและใช้เท้าถีบ โดยพันตำรววจโทชยาคมน์กล่าวต่อว่าจากการถีบทำให้รองเท้าจำเลยหลุด และจำเลยร่วง 1 ครั้ง แต่ก็มีการอุ้มใหม่
พันตำรววจโทชยาคมน์เบิกความต่อว่า เมื่อถึงห้องปฏิบัติการฯ เพื่อทำการซักประวัติ ฝ่ายสอบสวน สน.ลุมพินี ขอดูกระเป๋าเงินเพื่อหาชื่อ ทีมของพยานเป็นผู้ค้นตัวเพื่อที่จะนำชื่อนามสกุลให้กับ สน.ลุมพินี โดยบอกแล้วจำเลยก็ดิ้น ต่อมา จำเลยนั่งและเอาเท้าขึ้นมาไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นตำรวจพาตัวจำเลยไปที่ สน.ลุมพินี เพื่อทำบันทึกการจับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา
พยานทั้งสองเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ มีแสงจากอาคารและจากไฟริมทาง จึงทำให้มองเห็นได้
ในช่วงตอบทนายจำเลยถามค้าน พันตำรวจโทชยาคมน์ตอบทนายว่าไม่ทราบว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรววจมาปฏิบัติงานทั้งหมดกี่นาย และลักษณะการยืนของพยานที่ล้อมตัวจำเลยไว้ เป็นการยืนที่พร้อมจะระงับเหตุ
พลตรีธีรเดชตอบทนายว่า ทราบถึงการจัดงานสัปดาห์หนังสือที่ชั้นใต้ดิน แต่ไม่ทราบว่าจุดทางเข้างานจะมีจุดคัดกรองอาวุธด้วยหรือไม่ ส่วนที่เกิดเหตุเป็นจุดที่พยานยืนอยู่ ซึ่งไม่ได้มีจุดคัดกรองอาวุธ และก่อนเกิดเหตุพยานไม่สามารถค้นตัวจำเลยได้ เนื่องจากจำเลยยังไม่ได้กระทำความผิด บริเวณนั้นมีเจ้าหน้าที่ทั้งยืนและนั่งอยู่ด้วย รวมกันแล้วมีหลายนาย ในช่วงที่มีการยืนประกบตัว พยานยืนยันว่าจำเลยได้ถามว่า “มาล้อมทำไม พวกพี่เป็นใคร” แต่พยานไม่ได้ตอบออกไป ในขณะที่พันตำรวจโทชยาคมน์เบิกความว่าไม่ได้ยินที่จำเลยถาม
พลตรีธีรเดชยืนยันว่าขณะที่จับกุมแล้ว จำเลยได้ตะโกนออกมาว่า “จับผมทำไม” แต่ไม่มีใครตอบออกไป และกล่าวต่อว่าพยานปิดปากจำเลยตลอดทางจนไปถึงห้องดังกล่าว จำเลยดิ้นเพื่อให้พ้นจากการจับกุม แต่จำเลยก็ไม่ได้หลุดออกจากการควบคุมตัว ส่วนพันตำรวจโทชยาคมน์ตอบว่าพยานไม่ได้ปิดปากจำเลยแน่นมากเพื่อที่จะให้จำเลยหายใจได้ และพยานไม่ทราบว่าขณะที่ดิ้นจะมีการชกต่อยใบหน้าจำเลยหรือไม่
ทั้งนี้ พยานทั้งสองคนยืนยันว่าในขณะที่ปิดปากจำเลยไม่ได้กัดมือหรือนิ้วของพยาน และในระหว่างทางที่เดินมายังห้องปฏิบัติการ ทั้งสองระบุว่ามีเจ้าหน้าที่เดินตามมาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากที่ถึงห้องปฏิบัติการฯ พลตรีธีรเดชกล่าวว่าเห็นจำเลยนั่งอยู่กับพื้นและพยานก็เดินออกมาข้างนอก ในขณะที่พันตำรวจโทชยาคมน์ตอบทนายว่าพยานอยู่ในห้องและเห็นว่ามีการใส่กุญแจมือ แต่ไม่ทราบว่าจำเลยนั่งคุกเข่าที่พื้น และไม่ทราบว่าจะมีการใช้เท้าไปกดที่มือจำเลยหรือไม่
พันตำรวจโทชยาคม์พยานกล่าวต่อว่า จำเลยน่าจะได้รับบาดเจ็บจากการหล่นลงที่พื้น แต่ก็ไม่ทราบว่าบาดเจ็บอย่างไร แต่เจ้าหน้าที่มีแผลถลอก ยืนยันว่าจำเลยไม่มีอาวุธ มีเพียงแต่หนังสือ
ในช่วงอัยการถามติง พันตำรวจโทชยาคมน์ตอบอัยการว่าระยะห่างจากจุดที่พยานยืนกับขบวนรถเสด็จ ถ้าเทียบจากในห้อง พยานยืนอยู่บริเวณบัลลังก์พยาน รถอยู่บริเวณกำแพงห้องพิจารณาคดีด้านหลัง และยืนยันว่าไม่มีภาพถ่ายบริเวณใบหน้าของจำเลยที่ถูกทำร้าย
ส่วนพลตรีธีรเดชตอบอัยการว่า เหตุผลที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายนายในการพาตัวจำเลยออกนอกพื้นที่ เนื่องจากจำเลยดิ้น จึงต้องจับไว้เพื่อไม่ให้ตัวหลุดจากการควบคุม และยืนยันว่าตำรวจทุกคนจะต้องมีบัตรประจำตัว และการแต่งกายจะเห็นได้ว่าต่างจากประชาชนปกติทั่วไป
ตำรวจ-ทหาร 4 นาย ที่จับแขนขา 4 ข้าง เบิกความว่าขณะจับกุมจำเลยดิ้นและใช้เท้าถีบ
พันตำรวจตรีอรรถพร คนไหวพริบ ขณะเกิดเหตุรับราชการที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ผู้จับกุมขาซ้าย,
ร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์ ดูพันนา ขณะเกิดเหตุรับราชการที่ สน.ภาษีเจริญ ผู้จับกุมขาขวา,
สิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์ ยางสิสาร ขณะเกิดเหตุรับราชการที่กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ ผู้จับกุมแขนซ้าย,
จ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมล ศิสารักษ์ ขณะเกิดเหตุรับราชการที่ สน.เทียมทะเล ผู้จับกุมแขนขวา
พยานทั้งสี่คน เบิกความในทำนองเดียวกันว่าได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติภารกิจถวายความปลอดภัยให้กับกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ศูนย์ประชุมฯ ในวันที่ 15 ต.ค. 2565 ในวันเกิดเหตุ แต่งกายด้วยเสื้อสีน้ำเงิน กางเกงสีดำ ยกเว้นสิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์ แต่งกายด้วยเสื้อสีขาว กางเกงสีครีม โดยพยานทั้งสี่คนระบุว่ามีการติดบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่
พยานทั้งสี่คนเดินทางมารับภารกิจและเข้าประชุมชี้แจง จากนั้นจึงไปเตรียมความพร้อมในพื้นที่รับเสด็จ โดยหมายกำหนดการจะเสด็จมาถึงเวลา 17.00 น. และมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไปรอรับเสด็จบริเวณทางออก
สิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์, จ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมล และร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์ เบิกความว่าพยานสังเกตเห็นชายที่ใส่เสื้อสีดำ กางเกงสีดำ มีลักษณะผิดแปลกไปจากคนทั่วไป ต่อมาพยานทั้งสี่คนเบิกความต่อว่าสังเกตเห็นพันตำรวจโทชยาคมน์เข้าไปพูดคุยกับบุคคล มีร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์และสิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์ได้ยินการพูดคุยว่าให้จำเลยนั่งลง ด้านจ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมลเห็นพันตำรวจโทชยาคมน์ส่งสัญญาณว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ขึ้น ส่วนพันตำรวจตรีอรรถพรเข้าใจได้ว่ามีเรื่องต้องเฝ้าระวัง เพราะยืนส่งเสด็จ จากที่ปกติจะนั่งตลอด
เมื่อเกิดเหตุขึ้น พันตำรวจตรีอรรถพรสังเกตเห็นว่าพันตำรวจโทชยาคมน์พยายามนำตัวจำเลยออกมาจากพื้นที่โดยการปิดปากและอุ้มตัว จำเลยดิ้นและขัดขืน พันตำรวจตรีอรรถพรจึงเข้าไปช่วยจับที่ขาซ้าย สิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์เข้าไปจับที่แขนข้างซ้าย จ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมลจับแขนข้างขวา หลังจากนั้นร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์เห็นว่ายังไม่มีคนจับที่ขาขวาจึงเข้าไปช่วยจับ
ในขณะที่ถูกควบคุมตัว พยานทั้งสี่คนเบิกความกันว่าจำเลยดิ้นและใช้เท้าถีบ โดยพันตำรวจตรีอรรถพรเบิกความว่าไม่มีใครทำร้ายจำเลยขณะที่ควบคุมตัว ทั้งนี้จำเลยถีบโดนแขนซ้ายของพยานหลายครั้งจนพยานได้รับบาดเจ็บและถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ส่วนร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์เบิกความว่าโดนจำเลยถีบหลายครั้ง และถีบหน้าอกจนทำให้บัตรประจำตัวหลุดและเจ้าหน้าที่คนอื่นมาเก็บให้ จ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมลเบิกความว่า ระหว่างทาง จำเลยหลุดและหล่นไปที่พื้นบ้าง แต่ก็จับได้เหมือนเดิมและนำไปยังพื้นที่ปลอดภัย และพยานไม่ได้รับบาดเจ็บจากการจับกุม
พื้นที่ปลอดภัยหรือห้องปฏิบัติการฯ ร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์และจ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมลเบิกความตรงกันว่ามีระยะห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร หลังจากถึงห้องแล้ว สิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์เบิกความว่าพยานอยู่ข้างในห้องด้วย มีการถามชื่อและเหตุว่าทำไมจึงตะโกนเช่นนั้น มีการใส่กุญแจมือจำเลย แต่ใครใส่พยานไม่
ทราบ หลังจากนั้นจำเลยมีอาการไม่พอใจและเอาเท้าวางบนโต๊ะ ส่วนร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์ และจ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมล รออยู่ด้านนอก จากนั้นพยานทั้งสี่คนไปที่ สน.ลุมพินี เพื่อลงชื่อในบันทึกการจับกุม
ในช่วงตอบทนายจำเลยถามค้าน จ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมล กล่าวว่าในวันเกิดเหตุมีงานสัปดาห์หนังสือ แต่ไม่ทราบว่าทางเข้าและทางออกของงานจะมีจุดคัดครองอาวุธหรือไม่ โดยปกติแล้วจะต้องมีจุดตรวจ ส่วนร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์ทราบว่ามีการจัดงานอยู่ที่ชั้นใต้ดิน แต่ไม่ทราบว่าเป็นงานใด
สิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์ และ ร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์ เป็นผู้ที่ประกบตัวจำเลยก่อนเกิดเหตุ สิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์จำไม่ได้ว่าจำเลยได้พูดอะไรด้วยหรือไม่ แต่พยานและเจ้าหน้าที่ไม่ได้พูดอะไรกับจำเลย
พยานทั้งสี่คนตอบทนายจำเลยในทำนองเดียวกันว่า การควบคุมตัวจำเลยเป็นไปในลักษณะยกตัวขึ้น จ่าสิบตำรวจศักดิ์สิริวิมล (จับแขนขวา) กล่าวว่าพยานใช้สองมือจับล็อก ไม่สามารถดิ้นหลุดได้ จนไปถึงที่ห้องก็ไม่หลุดจากมือพยาน ส่วนร้อยตำรวจเอกชิณกรณ์ (จับขาขวา) กล่าวว่าขณะเข้าไปจับกุมตัวในขณะที่จำเลยเอียงตัวอยู่ พยานจับจำเลยในลักษณะมือซ้ายคล้องขา มือขวาจับที่ข้อเท้า ไม่ทราบว่าจำเลยจะดิ้นเพื่อให้หลุดจากการจับกุมหรือไม่ ทราบแต่ว่าจำเลยดิ้นแรง ซึ่งมีหลุดจากการควบคุมบ้าง แต่ก็จับใหม่ พยานยืนยันว่าในการจับกุมมีพันตำรวจโทชยาคมน์เพียงคนเดียวที่เป็นผู้ปิดปากจำเลย และยืนยันว่าไม่มีการชกใบหน้าจำเลย
ส่วนสิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์ (จับแขนซ้าย) กล่าวว่าพยานล็อกตัวจำเลยในลักษณะหิ้วปีก จำเลยดิ้นเพื่อให้หลุดจากการจับกุม มีขากับเท้าที่ดิ้นได้และจะหลุดบางครั้ง โดยมีช่วงหนึ่งที่จำเลยหลุดและหลังกระแทกลงที่พื้น
ด้านพันตำรวจตรีอรรถพร (จับขาซ้าย) กล่าวว่าพยานใช้มือขวาจับกับมือซ้ายล็อค และมีบางช่วงที่หลุดจากการควบคุม
ขณะที่จับกุมจำเลยไปที่ห้องปฏิบัติการฯ พยานทั้งสี่คนกล่าวในทำนองเดียวกันว่าจำไม่ได้ว่าจำเลยได้พูดว่า “จับผมทำไม” หรือไม่ โดยพันตำรวจตรีอรรถพรกล่าวด้วยว่าไม่ได้พูดคุยกับจำเลย นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่เดินนำหน้าและตามหลังรวมแล้วประมาณ 14 นาย ข้างในห้องปฏิบัติการฯ สิบตำรวจตรีอภิสิทธิ์กล่าวยืนยันว่ามีการนำจำเลยคุกเข่าไขว้หลังและใส่กุญแจมือ แต่จำไม่ได้ว่าใช้เท้ากดหลังจำเลยด้วยหรือไม่ และหลังจากใส่กุญแจมือ จำเลยก็ไม่ได้ดิ้นอีก
พันตำรวจตรีอรรถพรกล่าวตอบทนายจำเลยว่ามีบาดแผลถลอกจากการโดนถีบ จากการไปตรวจที่โรงพยาบาลได้ยาชนิดรับประทานกลับบ้าน
ตำรวจ บก.ปอท. เบิกความพบภาพชุมนุม 2 ภาพ ในโทรศัพท์จำเลย แต่ไม่พบว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์-ถ่าย
ร.ต.อ.สิทธิชัย มะเส รองสารวัตรกลุ่มงานสนับสนุนคดีเทคโนโลยี กองบังคับการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีอำนาจหน้าที่ตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน วัสดุ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ที่กระทำความผิด
เกี่ยวกับคดีนี้ พยานตรวจสอบโทรศัพท์ของจำเลย โดยการทำสำเนาข้อมูล และโปรแกรมบีบอัดข้อมูล จึงได้ไฟล์มาตรวจสอบและพบ 2 ภาพ ซึ่งอยู่ในแอปพลิเคชั่น Telegram ซึ่งเป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ มีความเกี่ยวข้องกับคดีมาตรา 112 ปรากฏตามสำนวนในคดี โดยเป็นภาพเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง
สิทธิชัยตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานยืนยันว่าทั้ง 2 ภาพ ไม่ได้เป็นภาพที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ และไม่พบว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ ไม่ทราบว่าจะมีการโพสต์ต่อกันหรือไม่ และยืนยันว่าภาพที่เจอนั้นอยู่ในแอปพลิเคชั่น Telegram ซึ่งจะมีกลุ่มติดตามข่าวสารอยู่ และตอบว่าการเข้าถึงภาพนั้นหมายถึงการกดเข้าไปดู แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าจำเลยเข้าไปดูกลุ่มใด เนื่องจากพยานใช้โปรแกรมดึงข้อมูลออกมา
ทั้งนี้ อัยการไม่ถามติง
พนักงานสอบสวนเบิกความ ส่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล พบ 2 นายได้รับบาดเจ็บ ส่วนจำเลยได้รับบาดเจ็บที่แขนและขาจึงส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเช่นกัน
พ.ต.ต.สุทวัฒน์ ศรีพรวรรณ พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2565 เวลาประมาณ 01.00 น. มีตำรวจชุดจับกุมที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์มานำส่งจำเลยให้กับพยานที่ สน.ลุมพินี
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากตำรวจนครบาลให้ไปถวายความปลอดภัย ระหว่างรัชกาลที่ 10 และพระราชินีเสด็จมาในพิธีเปิดอาคารศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ในช่วงขากลับหลังจากเสร็จสิ้นพิธี มีประชาชนมารอส่งเสด็จจำนวนมาก
ในช่วงเกิดเหตุมีชุดจับกุมสังเกตเห็นความผิดปกติของจำเลย เนื่องจากคนอื่นนั่งรอรับเสด็จ แต่จำเลยยืน มีการบอกให้จำเลยนั่งแล้วแต่ไม่นั่ง จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 5 คนมายืนประกบไว้ เมื่อรถพระที่นั่งขับผ่าน จำเลยตะโกนว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” จากนั้น ชุดจับกุมปิดปากจำเลย และล็อกแขนขา เพื่อที่จะนำตัวออกไป
ตำรวจชุดจับกุมกล่าวกับพยานว่า จำเลยต่อสู้ ไม่ยินยอมให้จับกุม มีการดิ้นและถีบเจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บ และได้ส่งเจ้าหน้าที่ 5 คนไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ผลคือ 2 คนได้รับบาดเจ็บ ส่วนอีก 3 คนไม่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้นแล้วก็ส่งจำเลยซึ่งได้รับบาดเจ็บไปตรวจร่างกายเช่นกัน มีภาพถ่ายชุดจับกุมที่ได้รับบาดเจ็บ และภาพจำเลยที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณแขนและขาซึ่งจำเลยได้แจ้งพยานไว้ ส่วนบริเวณใบหน้า จำเลยไม่ได้แจ้งว่าบาดเจ็บ โดยขณะเกิดเหตุเป็นเวลาค่ำ พยานตรวจสอบจากแผ่นซีดีและการลงตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พบว่ามีไฟข้างทางที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ในชั้นสอบสวน พยานแจ้งข้อกล่าวหาตามที่ตำรวจชุดจับกุมแจ้งความ คือ มาตรา 112 และ มาตรา 138
หลังได้รับผลตรวจร่างกายแล้ว พยานแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่า “โดยใช้กำลังประทุษร้าย” จากที่ตอนแรกที่แจ้งข้อกล่าวหาว่า “ต่อสู้ขัดขวางพนักงานเจ้าหน้าที่” โดยจำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองครั้ง
ขณะเกิดเหตุที่มีการจับกุม มีวิดีโอที่เจ้าหน้าที่ทหารได้บันทึกไว้ และแผ่นซีดีบันทึกเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุที่พนักงานสอบสวนได้ส่งมอบให้ พยานได้ส่งไปพิสูจน์ว่ามีการตัดต่อหรือไม่อย่างไร และได้ตรวจยึดโทรศัพท์ไปตรวจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ หรือไม่อย่างไร ส่วนการตรวจสอบเฟซบุ๊ก มีการตรวจสอบโดยตำรวจสืบสวน สน.ลุมพินี
คดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 พยานได้ตรวจสอบความเห็นของนักวิชาการและประชาชนเพิ่มเติมคือ ได้แก่ คมสัน โพธิ์คง, ระพีพงษ์ ชัยยารัตน์ และ อานนท์ กลิ่นแก้ว คำให้การของพยานเป็นไปตามสำนวนคดี
ตอบทนายจำเลยถามค้าน พยานไม่ทราบว่าในวันเกิดเหตุมีการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และไม่เคยเข้าไปในงาน แต่ทราบว่าปกติจะมีเครื่องสแกนโลหะและอาวุธบริเวณทางเข้า พยานไม่ได้เข้าไปตรวจสอบสถานที่ในศูนย์ประชุมฯ และไม่ทราบว่าห้องศูนย์ปฏิบัติการจะห่างจากจุดเกิดเหตุเท่าใด
พยานยืนยันตามทนายความว่าจากกล้องวงจรปิด จำเลยใส่เสื้อยืดสีดำคาดลายสีขาวเดินทางมางานหนังสือคนเดียวตั้งแต่ 15.23 น. โดย MRT ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจากการตรวจค้นพบว่ามีหนังสือหลายเล่มอยู่ในกระเป๋า ไม่มีอาวุธ
จากที่พยานเบิกความไปว่ามีการนำโทรศัพท์ไปตรวจสอบ พบว่ามีภาพที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ แต่ไม่ทราบว่าเป็นภาพที่จำเลยกดเข้าไปดูเพียงอย่างเดียว และพยานไม่ได้ดำเนินคดีกับภาพดังกล่าว และจำเลยยินยอมให้ตรวจเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่ได้มีการดำเนินคดีเช่นกัน
พยานยืนยันว่า จำเลยให้การปฏิเสธข้อหาการต่อสู้ขัดขวางฯ ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการแสดงตน พาไปในที่ลับตาคน ไม่ได้พาไป สน. และยืนยันว่าจำเลยเคยให้การว่าได้รับบาดเจ็บ และจากการสอบสวนพบว่าได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย การจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้จำเลยดิ้นและหลุดเป็นช่วง ๆ
เช้าวันที่ 16 ต.ค. 2565 พยานสั่งให้จำเลยไปโรงพยาบาลเจ้าพระยาเพื่อตรวจอาการทางจิตเวช เท่าที่พยานทราบคือสรุปแล้วไม่ได้มีการตรวจที่โรงพยาบาลเจ้าพระยา และได้ส่งตัวจำเลยกลับมาที่ สน. ซึ่งเหตุที่ส่งไปนั้น พยานต้องการรวบรวมพยานหลักฐานว่าจำเลยมีอาการใดหรือไม่ ที่จะนำมาต่อสู้คดี
พยานกล่าวตอบทนายว่าจำเลยมีรูปร่างผอมสูง และจากการตรวจสอบจำเลยไม่มีประวัติอาชญากรรม ทั้งนี้ อัยการไม่ถามติง
บันทึกการสืบพยานจำเลย
จำเลยเบิกความต้องการเดินทางกลับบ้าน แต่โดนบุคคลประกบตัวไว้ ไม่มีใครตอบคำถามตั้งแต่ก่อนจับกุมจนกระทั่งถูกอุ้มตัวเข้าไปในห้อง ไม่ทราบว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าหน้าที่จึงทำให้ดิ้น ชี้เหตุที่ตะโกนออกไปเนื่องจากโกรธและกดดันที่ถูกยืนล้อม-เหตุการณ์กราดยิงหนองบัวลำภู-ขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อน
อติรุจ จำเลยอ้างตัวเองเป็นพยาน ระบุว่าปัจจุบันพยานทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจากสถาบันเทคโนโลยีสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2563
เกี่ยวกับคดีนี้ ในวันเกิดเหตุพยานใส่เสื้อยืดสีดำคาดขาว กางเกงยีนส์ แมสสีดำ สะพายกระเป๋าสีกรมท่า เดินทางมาจากบ้านโดยใช้รถไฟฟ้า MRT ลงสถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ประมาณ 15.00 น. เพื่อมางานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ โดยปกติการโดยสารรถไฟฟ้าจะมีการตรวจอาวุธโดยเครื่องสแกนโลหะอยู่แล้ว และก่อนเข้าศูนย์ประชุมฯ ก็จะมีการตรวจอีกครั้งหนึ่ง
พยานมาซื้อหนังสือและร่วมกิจกรรมประมาณ 2 ชั่วโมง จนเมื่อถึงเวลาประมาณ 18.00 น. ผู้ร่วมงานเริ่มทยอยกลับบ้านกัน พยานจึงกลับ โดยเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS เพราะรถไฟฟ้า MRT มีคนจำนวนมาก จึงเดินขึ้นจากชั้นใต้ดินมายังประตูเอเทรียม
บริเวณประตูเอเทรียมไม่ได้เชื่อมกับรถไฟฟ้า ทำให้ต้องเดินออกมาด้านนอกและข้ามทางม้าลายไปฝั่งสวนเบญจกิติแล้วไปขึ้นวินมอเตอร์ไซค์หรือเดินต่อไปยังรถไฟฟ้า BTS สถานีอโศก ทันทีที่พยานเดินขึ้นมาก็มีผู้ชายสวมเสื้อยืดมาบอกว่าให้ไปนั่งรวมกับกลุ่มประชาชน พยานไม่ประสงค์นั่ง จึงต้องการเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ พยานทราบว่าในวันดังกล่าวมีขบวนเสด็จ แต่ไม่ทราบว่าเป็นบริเวณนั้น
พยานกล่าวต่อว่า แต่ก่อนที่จะเดินข้ามทางม้าลายมีบุคคลมาล้อมตัวพยาน ซึ่งไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ และมาทราบในขณะที่สืบพยานในชั้นศาล เพราะวันนั้นบุคคลดังกล่าวแต่งกายแตกต่างกัน จากนั้นพยานจึงเดินไปมา แต่ก็พบว่าตนเองยังถูกล้อมตัวอยู่ จึงเลือกหยุดอยู่บริเวณที่มีคนเยอะและไม่อับสายตา พยานยืนอยู่ประมาณ 10 นาที และถามเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ว่าเขาเป็นใคร มาล้อมพยานทำไม ก็ไม่มีคำตอบแต่อย่างใด
หลังจากนั้นเริ่มมีขบวนเสด็จผ่าน ประชาชนต่างเปล่งเสียง ‘ทรงพระเจริญ’ คนที่อยู่ใกล้พยานก็มีการโค้งคำนับ ซึ่งในขณะนั้นประชาชนก็ยังเดินข้ามทางม้าลายได้ พยานตะโกนใส่ขบวนว่า ‘ไปไหนก็เป็นภาระ’ ซึ่งมีหลายเหตุผลที่ทำให้เลือกตะโกนออกไป
ประการแรก พยานโกรธและกดดันจากการถูกยืนล้อมเป็นเวลา 10 นาที
ประการที่สอง ช่วงนั้น (6 ต.ค. 2565) มีเหตุการณ์กราดยิงที่หนองบัวลำพู มีภาพข่าวการปูพรมแดงในที่เกิดเหตุและครอบครัวผู้สูญเสียมายืนรับเสด็จเป็นเวลานาน พยานเห็นว่าทางครอบครัวสูญเสียมากพอที่จะไม่ต้องมาทำอะไรเช่นนี้แล้ว ซึ่งพยานเคยโพสต์เรื่องนี้ไว้ในโซเชียลมีเดียของตน
และ ประการสุดท้าย ในปี 2565 เรื่องขบวนเสด็จสร้างความเดือดร้อน การจราจรติดขัด ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมออนไลน์มาก พยานเห็นว่าขบวนเสด็จไม่ควรที่จะทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว
หลังจากตะโกนแล้ว มีกลุ่มคนเอามือมาปิดปาก ล็อคคอ และลากพยานออกไป เมื่อลากไปได้ประมาณ 2-3 เมตร ก็ถูกกดให้ย่อตัวลง และมีเจ้าหน้าที่มาล็อกแขนขาพาตัวไปโดยที่ยังถูกปิดปากอยู่ โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าผู้ที่เข้ามาควบคุมตัวจะมีการติดบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่หรือไม่
พยานถูกยกตัวไปในลักษณะที่นอนหงาย และยังไม่ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ เพราะไม่มีผู้ใดบอก พยานถามว่าเป็นใคร มาจับพยานทำไม จะพาไปไหน พยานก็ไม่ได้รับคำตอบ จึงทำให้พยานดิ้นเพื่อให้หลุดจากการจับกุม และยังรู้สึกว่ามีการใช้มือมากระทบใบหน้าเพื่อให้เลิกดิ้น บางจังหวะมีหล่นลงพื้น แต่ตลอดทางก็ไม่ได้หลุดออกจากการควบคุม
ห้องศูนย์ปฏิบัติการฯ ใช้เวลาจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 นาที ข้างในมีคนนั่งรออยู่แล้ว เมื่อไปถึงก็จับพยานนั่งคุกเข่าและกดหน้าลงที่พื้น มีการใช้แรงจากขาหรือเข่ากดที่ศีรษะเพื่อไม่ให้พยานเงยหน้าขึ้นมา โดยพยานยังถามคนเหล่านั้นอยู่ว่าเป็นใคร จับมาทำไม แต่ก็ไม่มีคำตอบ แต่หลังจากพยานถูกใส่กุญแจมือ ก็ไม่ได้ดิ้นแล้ว
หลังจากนั้นประมาณ 5-10 นาที ก็ถูกจับไปนั่งเก้าอี้ มีกลุ่มคนเข้ามาคุยกับพยาน แต่ก็ไม่ได้ตอบเพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ศูนย์ประชุมฯ เข้ามาแนะนำตัวพร้อมกับแสดงบัตรประจำตัว พยานก็พูดคุยตอบว่ามาซื้อหนังสือพร้อมกับแสดงหลักฐาน
จากที่พยานโจทก์เบิกความว่าพยานวางเท้าบนเก้าอี้ ซึ่งขณะนั้นพยานยังถูกใส่กุญแจมืออยู่ โดยมีเหตุสืบเนื่องจากความโกรธจากการถูกจับกุม ไม่ทราบว่าคนที่จับเป็นเจ้าหน้าที่
สักพักหนึ่ง พยานไม่ได้มีการขัดขืน พยานถูกถอดกุญแจมือ แต่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องโดยที่ยังไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา จากนั้นก็ถูกพาตัวไป สน. โดยรถตำรวจ จึงทำให้พยานทราบแล้ว พยานยินยอมให้ตรวจปัสสาวะ โดยผลคือไม่มีสารเสพติด จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ขอดูโซเชียลมีเดียในมือถือ พยานก็ให้ดู ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด
หลังจากนั้น พยานก็ให้ความยินยอมในการตรวจทำสำเนาข้อมูลโทรศัพท์ พบว่ามีภาพจาก Telegram ที่อยู่ในกลุ่มข่าวสารที่พยานกดติดตาม และพยานเคยเข้าไปดูเมื่อปี 2563 อีกภาพหนึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ชุมนุมจากที่กดติดตามด้วยเช่นกัน พยานกล่าวว่าการดึงข้อมูลออกมาอาจไม่ละเอียดนัก ซึ่งภาพดังกล่าว พยานเพียงติดตามข่าว ไม่ได้กดดาวน์โหลด โพสต์ หรือถ่ายภาพ
หลังจากที่พยานถูกจับกุมมายัง สน. วันที่ 16 ต.ค. 2565 ในช่วงสาย พยานถูกส่งไปแผนกจิตเวช โรงพยาบาลเจ้าพระยา ซึ่งไม่ทราบมาก่อน เพราะตอนแรกทราบว่าจะไปโรงพยาบาลตำรวจเพื่อตรวจร่างกาย พยานจึงไม่ยินยอมให้ตรวจ เพราะพยานไม่มีประวัติรักษาด้านจิตเวชมาก่อน จนได้รับคำยืนยันจากญาติว่าไม่ต้องการตรวจ จึงกลับไปที่ สน. และหลังจากนั้นก็ได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งนี้ พยานก็ได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกต่อย และได้มีการถ่ายภาพบาดแผลไว้
พยานไม่เคยต้องคดีอาญาได้รับโทษมาก่อน และกล่าวว่าให้การรับสารภาพข้อหาตามมาตรา 112 และปฏิเสธข้อหาต่อสู้ขัดขวางฯ ตามมาตรา 138
อติรุจตอบอัยการถามค้านว่า ในวันเกิดเหตุพยานเดินทางไปงานสัปดาห์หนังสือ โดยเริ่มจากการขับรถส่วนตัวไปจอดที่คอนโด และนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่ MRT ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยที่ไม่ต้องออกมาภายนอก จากนั้นอัยการกล่าวว่าพยานก็สามารถเดินทางกลับโดยใช้ MRT ได้เช่นกัน
พยานยืนยันตามที่อัยการกล่าวว่า BTS สถานีอโศก อยู่ห่างจากศูนย์ประชุมฯ พอสมควร และกล่าวว่าถ้าหากต้องการเดินทางไป BTS อโศก ก็สามารถเดินทางโดยใช้ MRT ได้ แต่ต้องเพิ่มเงิน และมีคนจำนวนมาก
พยานทราบว่าจะมีพิธีเปิดศูนย์ประชุมฯ ในขณะที่อยู่ในงานสัปดาห์หนังสือแล้ว จากนั้นพยานออกจากงาน โดยขาออกไม่ได้มีการตรวจอาวุธ และเดินขึ้นมาข้างบน พบว่ามีคนนั่งอยู่ ไม่ทราบว่าเป็นขบวนเสด็จเพราะอีกทางหนึ่งคนยังเดินได้ปกติ
พยานเดินไปมาอยู่ประมาณ 10 นาที มีกลุ่มชายดังกล่าวเดินตามตลอดเวลา พยานไม่เห็นคนอื่นที่มีลักษณะเดียวกันในบริเวณนี้เพราะว่าโดนล้อมตัวอยู่ พยานไม่ได้คิดจะกลับลงไปชั้นใต้ดินเพราะจะข้ามทางม้าลาย แต่ไปไม่ได้เนื่องจากโดนล้อม
เมื่อขบวนเสด็จมาถึงตรงหน้า และคนที่ยืนล้อมตัวพยานอยู่ก็ไม่ตอบคำถาม พยานจึงตะโกนขึ้น และถูกคนดังกล่าวเข้าควบคุมตัวทันที พยานจึงดิ้นให้หลุดจากการควบคุมและหล่นลงที่พื้นประมาณ 1-2 ครั้ง โดยที่พยานไม่ได้สังเกตว่าคนที่จับกุมจะติดบัตรประจำตัวหรือไม่
ขณะที่พยานให้การในชั้นสอบสวน ไม่ได้ระบุว่าถูกชกที่ใบหน้า แต่ให้การว่าถูกใช้กำลังทำร้าย ขณะที่พนักงานสอบสวนถ่ายภาพการบาดเจ็บ รวมถึงผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ ก็ไม่มีรายงานถึงอาการบาดเจ็บบริเวณใบหน้า
อติรุจตอบทนายจำเลยถามติงว่าขณะที่ถูกเจ้าหน้าที่ประชิดตัว ไม่ได้สังเกตเห็นบัตรประจำตัวพนักงาน เพราะยืนหันหน้าไปในทางเดียวกัน จึงทำให้ไม่ทราบว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นใคร ทั้งนี้พยานเลือกที่จะไม่โดยสารกลับด้วยรถไฟฟ้า MRT และตอบทนายว่าแม้ทราบว่าจะมีการเสด็จ แต่ไม่ทราบกำหนดการว่าจะมาเวลาใด
ฐานข้อมูลคดีนี้ คดี 112 “อติรุจ” ยืนตะโกน “ไปไหนก็เป็นภาระ” ใส่ขบวนเสด็จ ตร.อ้างเป็นภัยคุกคาม ร.10-ราชินี