องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนยื่นจดหมายถึงประธานศาลฎีกาขอให้ศาลยุติธรรมมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในคดีอาญาทางการเมืองตามหลักสิทธิในการประกันตัว

วันที่ 1 ก.ย. 2566 เวลา 10.00 น. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA) และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเดินทางขอเข้าพบและยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา เพื่อให้กำกับดูแลให้ศาลยุติธรรมใช้ดุลยพินิจในทางที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของจำเลยที่พึงได้รับซึ่งสิทธิในการได้ปล่อยชั่วคราว และสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยมีนายธนากร พรวชิราภา นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักเลขาธิการประธานศาลฎีกา เป็นตัวแทนลงมารับหนังสือที่หน้าศาลฎีกา

ด้วยสถานการณ์ข้อเท็จจริงว่า ตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 มีคดีที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หมิ่นประมาทกษัตริย์ และกลุ่มคดีเกี่ยวกับการชุมนุมที่ดินแดงหลายคดีเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่คดียังไม่ถึงที่สุดเพราะต้องการต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์และฎีกา กลับไม่ได้รับการประกันตัวชั่วคราว

จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ในปี 2566 ยังคงมีผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี อย่างน้อย 19 คน เป็นคดีตามมาตรา 112 จำนวน 7 คน และมีผู้ต้องขัง 2 รายอดอาหารเพื่อเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานในการปล่อยตัว

องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจึงเห็นว่า บุคคลเหล่านี้ควรได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว ให้เป็นไปตามประกาศข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกหลักประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 และสิทธิตามรัฐธรรมนูญของบุคคลผู้ถูกดำเนินคดีอาญา

จดหมายเปิดผนึก

1 กันยายน 2566

เรื่อง   ขอให้ศาลยุติธรรมมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในคดีอาญาตามหลักสิทธิในการประกันตัว

เรียน   ประธานศาลฎีกา

            ตามที่ท่านในฐานะประธานศาลฎีกาได้ประกาศนโยบายของศาลยุติธรรมไว้ในข้อ 2 และข้อ 3 ว่าจะอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรมอย่างทั่วถึงและมีมาตรฐานเดียวกัน บนระบบการทำงานที่เน้นผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ส่วนรวม เพื่อธำรงความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนต่อองค์กรศาลยุติธรรม และภายใต้นโยบายดังกล่าว เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 ได้มีประกาศข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกหลักประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ข้อบังคับดังกล่าวได้กำหนดกฎเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใน ข้อ 24 โดยให้อำนาจศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยต่อไปได้เอง เมื่อจำเลยถูกพิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และจำเลยไม่เคยถูกคุมขังมาก่อนหรือได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลชั้นอุทธรณ์ ประกอบกับถ้าจำเลยไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนีหรือก่อภัยอันตรายใด ๆ โดยการสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้น ให้ใช้วิธีการอย่างเดียวกับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณา หรือจะใช้เงื่อนไขหรือมาตรการที่เข้มงวดเพิ่มขึ้นก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องส่งให้ศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกาสั่ง 

           แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ข้อบังคับดังกล่าวยังไม่ถูกนำไปบังคับใช้ตามเจตนารมณ์ของประธานศาลฎีกา โดยเฉพาะคดีที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
หมิ่นประมาทกษัตริย์ ในช่วงครึ่งปีแรก 2566  ตัวอย่างเช่น คดีในศาลอาญา ได้แก่ คดีของ “เวหา แสนชนชนะศึก” (คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2697/2564) ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นระยะเวลา 3 ปี 18 เดือน คดีของ “ทีปกร” (คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.329/2565) ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นระยะเวลา 3 ปี  คดีของ “วารุณี” (คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.429/2565) ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน คดีของ “วัฒน์” (คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1253/2565) ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน  และคดีของ “เก็ท โสภณ” (คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1447/2565) ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นระยะเวลา 3 ปี 6 เดือน รวมถึงอีกหลายคดีที่จำเลยถูกฟ้องในกลุ่มคดีเกี่ยวกับการชุมนุมที่ดินแดง เมื่อปี 2564                               

           โดยทุกคดีในข้อหา มาตรา 112 ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และประสงค์จะใช้สิทธิต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ และในระหว่างสอบสวนตลอดจนในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมาโดยตลอด แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาและจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลอาญากลับมีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของจำเลยให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา ทั้งๆ ที่ตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ข้อ 24 ข้างต้น ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยต่อไปได้เอง 

           อีกทั้ง การที่ศาลชั้นต้นมิได้เป็นผู้สั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยตามคำร้องดังกล่าวก็ไม่ได้ให้เหตุผลไว้โดยชัดแจ้งว่ามีความจำเป็นประการใดที่ศาลชั้นต้นไม่อาจสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยด้วยตนเอง และไม่ได้มีข้อเท็จจริงหรือเหตุผลโดยละเอียดเพียงพอให้จำเลยสามารถเข้าใจได้ว่าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เช่นใดของตนเองที่ทำให้ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1

            สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และองค์กรที่มีรายชื่อแนบท้ายจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ในฐานะที่เป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและทำงานเพื่อส่งเสริมการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมจึงขอเรียนมายังท่าน ขอเข้าพบเพื่อหารือและนำเสนอสถานการณ์ให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน อีกทั้ง ขอให้ท่านกำกับดูแลให้ศาลยุติธรรมใช้ดุลยพินิจในทางที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของจำเลยที่พึงได้รับซึ่งสิทธิในการได้ปล่อยชั่วคราว และสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด โดยจะปฏิบัติต่อจำเลยเสมือนว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วมิได้ ท้ายที่สุดแล้วเพื่อให้ศาลยุติธรรมทั้งหลายใช้ดุลยพินิจพิจารณาให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้เป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการปล่อยชั่วคราวและวิธีเรียกหลักประกันในคดีอาญา พ.ศ. 2565 

            ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายของศาลยุติธรรมที่ท่านประกาศไว้ในข้อ 2 และข้อ 3 ในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรมอย่างทั่วถึงและมีมาตรฐานเดียวกัน บนระบบการทำงานที่เน้นผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ส่วนรวม เพื่อธำรงความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนต่อองค์กรศาลยุติธรรม สามารถบรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป   

  1. สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)
  2. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
  3. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
  4. สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
  5. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
  6. มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)
  7. กลุ่ม Non-Binary Thailand
  8. ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD)​
X