13 ก.พ. 2566
ช่วงนี้ชีวิตในเรือนจำของใบปอเหมือนหยุดอยู่กับที่ การเรียนที่มหาลัยก็ต้องหยุดพักไว้ซึ่งอาจจะทำให้ใบปอต้องลงเรียนใหม่หมด ใบปอเลยอยากอ่านหนังสือและชีทเรียน แต่ใบปอเล่าว่า
“ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้ว หนังสือประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่เหนือการเมืองที่ส่งเข้ามายังไม่ได้เลย เอกสารการเรียนที่ส่งเข้ามาก็ยังไม่ได้ แค่ส่งหนังสือกับเอกสารไม่กี่อย่างใช้เวลานานอะไรขนาดนี้ ทั้งที่ภาษี ปีหนึ่งๆ ที่ราชทัณฑ์ได้ไปก็ไม่ใม่น้อย ทำไมทำงานช้าขนาดนี้ ติดคุกคราวก่อน ใช้เวลาแค่สองวันก็ส่ง Harry Potter 7 เล่มรวดเข้ามาได้เลย”
ใบปอถามต่อว่าอาการของเก็ทกับตะวันและแบมเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนให้ความเห็นว่า
“อยากให้ทุกคนสนใจประเด็นการฝืนตื่นประท้วงของเก็ท การที่เราไม่ได้นอนมันส่งผลกระทบต่ออารมณ์และสุขภาพร่างกายสูงมาก ไม่อยากให้ทุกคนนิ่งเฉย ไม่อยากให้การต่อสู้เรื่องนี้เงียบ
“ส่วนอาการของตะวันกับแบม เข้าใจว่ามันคือการพยุงไม่ให้ทรุดเร็ว เพื่อนยังไม่ได้รับการรักษา เหมือนทุกคนจะลืมจุดนี้ไปหมดแล้วภายในเวลาไม่กี่วันว่าผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนยังไม่ได้ถูกปล่อยออกจากเรือนจำ”
สังเกตอาการทั่วไป ใบปอดูเครียดและไม่สบายใจกับสถานการณ์ในตอนนี้
ใบปอเล่าว่า “มีสำนักข่าวในเรือนจำชื่อว่า ‘เรื่องเล่าในเรือนจำ’ น่าจะเลียนแบบเรื่องเล่าเช้านี้มา นักข่าวซึ่งก็คือผู้คุมนั่นแหละนั่งอ่านจดหมายของเพื่อนในเรือนจำว่า ช่วงนี้ใกล้วาเลนไทน์แล้ว อยากแชร์คำคมจากชาวเรือนจำเช่น ‘คิดถึงอย่างแรง กำแพงอย่างสูง’ (หัวเราะ) ตลกดีค่ะ อยากแชร์ให้ทุกคนรู้ ทีมทะลุวังอย่าลืมเล่าให้คนข้างนอกฟังนะ”
เมื่อถามเรื่องหนังสือ ใบปอสะท้อนว่า “ช่วงนี้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเลยอยากแชร์คำพูดนี้ที่จำได้ เข้าใจว่าเป็นหนังสือที่เคยอยู่ในรัฐสภา แต่ถูกบริจาคเข้ามาในเรือนจำช่วงยุคที่พล.อ.ประยุทธ์ รัฐประหาร คือคำว่า ‘การเมืองที่มองแค่ระบบรัฐสภาเป็นการมองโลกแคบ ไม่ต่างจากกบในกะลา’ ชอบคำพูดนี้ แปลกดีที่หนังสือเล่มนี้เข้ามาอยู่ในเรือนจำได้ ประยุทธ์คงไม่ได้สนใจมั้ง ว่ามีหนังสือเล่มไหนอยู่ในรัฐสภาบ้าง”
ใบปอฝากบอกถึงเพื่อน ๆ ทะลุแก๊ซ ว่า “ครั้งที่แล้วเพื่อนๆ ทะลุแก๊ซเข้ามาในเรือนจำช่วงที่บุ้งกับใบปอติดอยู่ แต่ครั้งนี้เราจะต้องได้ออกไปพร้อมๆ กันนะ อย่าเพิ่งหมดหวัง อย่างที่เก็ทบอกเลย ครั้งนี้เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ฝากข้อความด้วยว่า “ต่อให้ตอนนี้มันไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นในท้องถนน แต่ตอนนี้มันมีความรุนแรงเกิดขึ้นกับใบปอ, เก็ท, จตุพล พลพล, ณัฐพล, วัชรพล, คทาธร และ พรพจน์ ไม่ใช่ความรุนแรงที่ทุกคนเห็นได้ง่ายเหมือนการยิงแก๊สน้ำตาเพราะเขาเอาพวกเรามาขังไว้ในนี้ แต่มันรุนแรงไม่แพ้กัน มันพรากชีวิต พรากความฝัน เอาเวลาของพวกเราไป ใครจะชดใช้ แล้วสังคมเปลี่ยนไปแล้ว แต่รัฐยังใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชน ครั้งนี้มันจะเปลี่ยนไป สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม ”
ส่วนบรรยากาศเรือนจำใบปอเล่าว่า “ตอนนี้ร้อนและแออัดมาก ร้อนจนมีคนเป็นลม เพราะคนเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก มีเข้าใหม่ทุกวัน”
ใบปอสะท้อนความรู้สึกทิ้งท้ายว่า “วันแห่งความรักแต่ยังมีนักโทษทางการเมืองอีก 8 คนที่ต้องพรากจากครอบครัวที่รัก เพื่อน คนรอบข้าง”
14 ก.พ. 2566
วันนี้ใบปอบอกทนายว่า ให้เพื่อนส่งหนังสือ ‘รัฐราชาชาติ’ ของธงชัย วินิจจะกูล มาให้ เพราะต้องใช้อ่านเพื่อการเรียน
ใบปอเล่าถึงหนังสืออีกว่า “ที่อ่านอยู่ช่วงนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองและประชาธิปไตยในประเทศไทย เลยรู้สึกว่าต้องติดคุกเพราะการเมืองทีหนึ่งแล้ว วิชาที่เราลงเรียนยังเกี่ยวกับการเมืองอีก มันทับซ้อนกันดี”
แต่ในความคิด ไปๆ มาๆ ใบปอก็รู้สึกเป็นกำลังใจดี มันผลักดันว่า กำลังสู้อยู่ พร้อมกับอ่านทฤษฎีไปด้วย สู้กับรัฐที่ปล้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนไป
วันที่ตรงกับวันแห่งความรัก ใบปอเล่าถึงบรรยากาศในเรือนจำว่า “มีคนเยี่ยมญาติเยอะดีเพราะเป็นวันวาเลนไทน์ มีช็อคโกแลตขาย มีรูปการ์ดสีชมพูขายเขียนว่า Happy Valentine’s Day มีรูปหัวใจขาย มีวุ้นรูปดอกกุหลายขาย แต่ก็ไม่มีไรมากกว่านี้ ตามสภาพ”
ใบปอบอกเล่าว่า “อยากฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษาที่สั่งขังเราโดยไม่ชอบ ทำเกินกว่าเหตุกับเรามาโดยตลอด ทำไมคนเหล่านี้มันไม่เคยรับผิดชอบอะไรเลย ปฏิบัติหน้าที่ แบบทำร้ายประชาชน ก่อนตายอยากเห็นผู้พิพากษาถูกลงโทษ ที่ตัดสินชีวิตคนอื่น แล้วไม่ได้เป็นไปตามหลักนิติธรรม”
เมื่อพูดถึงอิสรภาพ ใบปอสะท้อนว่า “ถ้าออกไปรอบนี้ไม่เอาแล้วอิสรภาพจอมปลอม ไม่ติดกำไล EM เพราะอยากนั่งเครื่องบินไปหาญาติบ้าง ไม่ได้เจอญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดเลย เพราะครอบครัวส่วนใหญ่จะอยู่ภาคใต้ ถ้าไม่ได้ติด EM รับรองว่าไม่หนี จะสู้จนกว่าจะชนะนี่แหละ”
ใบปอยังรักการทำโพลตั้งคำถามเสมอ ทะลุวังเกิดขึ้นมาได้จากการตั้งคำถามแล้วให้ประชาชนมีส่วนร่วม ก่อนย้อนภาพจำว่า เหตุการณ์ทำโพลครั้งนั้นมันยังมอบพลังให้เธอเสมอ
“เราไม่จำเป็นต้องเชื่อง พวกเราล้วนมีสิทธิในการไม่เชื่อฟังรัฐ เพราะพลังในการตั้งคำถามของประชาชนมันมีอำนาจมหาศาลจนรัฐกลัวได้ขนาดนี้”