ความเคลื่อนไหวบัญชีธนาคารบอกไม่ได้ว่าจะนำไปก่อเหตุ พยานโจทก์เบิกความคดีเตรียมปาระเบิดศาลอาญา

ความเคลื่อนไหวบัญชีธนาคารบอกไม่ได้ว่าจะนำไปก่อเหตุ พยานโจทก์เบิกความคดีเตรียมปาระเบิดศาลอาญา

ศาลทหารนัดสืบพยานคดีเตรียมก่อการร้ายปาระเบิดศาลอาญา พนักงานธนาคารเบิกความตำรวจที่ขอข้อมูลไม่ชี้แจงเหตุที่ขอข้อมูลของจำเลย อีกทั้งข้อมูลความเคลื่อนไหวบัญชีก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะนำไปก่อเหตุ

29 ส.ค. 2560 ศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานคดีตระเตรียมก่อการร้าย เชื่อมโยงเหตุปาระเบิดศาลอาญา ถนนรัชดาฯ เมื่อ 7 มี.ค. 2558 ซึ่งคดีนี้อัยการฟ้องจำเลย 6 คน ได้แก่ นางสุภาพร มิตรอารักษ์, นางวาสนา บุษดี, น.ส.ณัฎฐิดา มีวังปลา, นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ, นายวสุ เอี่ยมละออ, และนายสมชัย อภินันท์ถาวร ในข้อหาร่วมกันตระเตรียมก่อการร้ายและมียุทธภัณฑ์และเครื่องกระสุนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต พยานที่มาในวันนี้เป็นพนักงานธนาคารต้นทางของการโอนเงินและธนาคารปลายทางที่ น.ส.ณัฎฐิดาเป็นเจ้าของบัญชี

พยานปากแรกเป็นอดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโลตัส แจ้งวัฒนะ เบิกความว่ามีตำรวจจำชื่อยศและสังกัดไม่ได้ มาขอตรวจสอบบัญชีของ น.ส.ณัฎฐธิดา โดยขอดูเอกสารเกี่ยวกับการขอเปิดบัญชี และขอข้อมูลความเคลื่อนไหวทางการเงิน โดยคนที่มีอำนาจในบัญชีมีเพียง น.ส.ณัฎฐธิดา เท่านั้น น.ส.ณัฎฐธิดายังได้มีการเปิดบริการเสริมบัตร ATM ด้วย

พยานเบิกความต่อว่า จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวบัญชีในวันที่ 13 ก.พ. 2558 มีการโอนเงินเข้ามาในบัญชีจากบัญชีธนาคารกรุงเทพเป็นจำนวน 5,000 บาท จากนั้นในวันเดียวกันก็มีการถอนเงินจาก ATM เป็นจำนวน 5,000 บาทจากบริเวณ Popular เมืองทอง

พยานเบิกความตอบช่วงทนายความถามค้านว่าการโอนเงินและความเคลื่อนไหวทางบัญชีที่เบิกความไปข้างต้นเป็นธุรกรรมทางการเงินที่เป็นงานปกติของธนาคารและไม่ได้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งการโอนเงินก็ไม่ได้มีการให้ระบุวัตถุประสงค์ว่าโอนเพื่ออะไร

พยานเบิกความต่อว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเพียงหนังสือหมายเรียกพยานเอกสารมาแสดงให้พยานดูเพื่อขอทราบข้อมูลการเปิดบัญชีและข้อมูลส่วนตัวของน.ส.ณัฎฐธิดาเท่านั้นแต่ไม่ได้มีหมายศาลมาด้วย ซึ่งในหมายเรียกพยานเอกสารก็ไม่ได้ระบุว่า น.ส.ณัฎฐธิดาเป็นผู้ต้องหาหรือกระทำความผิดทางอาญาเอาไว้

ทั้งนี้ ทางธนาคารของพยานมีนโยบายเก็บรักษาข้อมูลลูกค้าเป็นความลับ แต่ทางสำนักงานใหญ่ก็มีระเบียบที่จะให้เอกสารกับทางเจ้าหน้าที่รัฐหากมีการร้องขออยู่แล้ว

พยานจำไม่ได้ว่าวันที่ตำรวจมาพบนั้นมี พ.ต.อ.ชัยรพ  จุณณวัตต์ ผู้กำกับการ สน.โชคชัย ซึ่งมีชื่อระบุอยู่ในหมายเรียกพยานเอกสารมาด้วยหรือไม่ และจะมากันกี่นายเขาก็จำไม่ได้ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งตอนนี้เขาก็จำไม่ได้อีกด้วยว่าเอกสารที่ให้ไปนั้นให้ไปกับใคร และเอกสารสำเนาข้อมูลที่ยื่นต่อศาลนี้ก็ไม่มีลายมือชื่อของตำรวจที่มาขอข้อมูล

พยานเบิกความว่าเอกสารข้อมูลการเปิดบัญชีและความเคลื่อนไหวทางบัญชีที่โจทก์แสดงต่อศาลนี้ ไม่มีจุดใดที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่า น.ส.ณัฎฐธิดาที่เป็นเจ้าของบัญชีได้ไปก่อเหตุกระทำความผิด และจากข้อมูลความเคลื่อนไหวในบัญชีที่มีการโอนเงินเข้า 5,000 บาทแล้วถอนออกเป็นจำนวน 5,000บาท จึงเหลือเงินคงเหลือในบัญชี 36.50 บาท ซึ่งหากดูแต่ข้อมูลการเคลื่อนไหวทางบัญชีก็ไม่สามารถบอกได้ว่าการถอนเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ทำอะไร และนอกจากรายการดังกล่าวก็ไม่มีการโอนเงินไปบัญชีใดอีก

พยานตอบคำถามของทนายความอีกว่า ในวันที่ 27 ก.พ. 2558 มีการโอนเงินจากบัญชีธนาคารของกสิกรไทยเป็นจำนวน 3,000 บาท ผ่านตู้ ATM แต่พยานไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นบัญชีของใคร ต้องทำการตรวจสอบจากในระบบของธนาคารถึงจะสามารถทราบได้ ทั้งนี้ การโอนผ่านตู้ ATM จะต้องมีบัตรแต่ว่าคนที่ทำการโอนไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของบัตร อีกทั้ง นอกจากบัญชีนี้แล้ว น.ส.ณัฎฐธิดาอาจจะยังมีบัญชีของธนาคารมากกว่าหนึ่งบัญชีได้ แต่จะต้องทำการตรวจสอบกับระบบของธนาคารก่อน

พยานเบิกความว่า การทำธุรกรรมทางการเงินของ น.ส.ณัฎฐธิดาตามที่ปรากฏในข้อมูลถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

พยานปากต่อมาพนักงานธนาคารกรุงเทพสาขา The Walk เกษตรฯ-นวมินทร์ เบิกความว่ามีตำรวจมาที่ธนาคารสาขาของพยานเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการโอนเงินจากบัญชีของลูกค้าคนหนึ่งว่ามีการโอนเงินตามยอดในเอกสารหรือไม่ และขอทราบรูปพรรณของคนที่ทำการโอนเงินไปด้วย

พยานได้ให้ดูสลิปการโอนเงินซึ่งทางตำรวจได้ขอทำสำเนาไปและได้เปิดกล้องวงจรปิดให้กับทางตำรวจดูด้วย โดยตำรวจได้ให้พยานอยู่ดูด้วยเพราะตนเองจำใบหน้าไม่ได้แล้ว ภาพจากกล้องคนที่มาโอนเงินเป็นชายรูปร่างสูงท้วม ตัดผมสั้น ซึ่งตำรวจที่มาได้ทำบันทึกคำให้การพยานเอาไว้

พยานเบิกความตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยว่า การโอนเงินเป็นธุรกรรมปกติของธนาคารอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด และสลิปโอนเงินของทางธนาคารก็ไม่ได้มีการให้ระบุวัตถุประสงค์ของการโอนเงินเอาไว้

พยานเบิกความอีกว่าตำรวจที่มาพบพยานไม่ได้แจ้งว่ามาด้วยเรื่องอะไรหรือว่ามีคนกระทำความผิดเกี่ยวกับคดีนี้

ทนายความถามพยานว่า ตามเอกสารบันทึกคำให้การของพยานมีระบุชื่อตำรวจทั้งหมด 3 นาย พยานสามารถยืนยันได้หรือไม่ว่าตำรวจ 2 นายที่พยานได้พบเป็นบุคคลเดียวกับชื่อในบันทึก พยานตอบว่าตนไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ และพยานก็ไม่ทราบด้วยว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่ แต่ตำรวจที่มาแต่งกายในเครื่องแบบตำรวจ

พยานเบิกความต่อว่า ตนได้นำสลิปการโอนเงินให้ตำรวจที่มาพบดู จากนั้นตำรวจได้ทำสำเนาไป แต่พยานจำไม่ได้แล้วว่าทางตำรวจนำเอกสารอะไรมาให้พยานดูบ้างเพื่อระบุถึงตัวลูกค้าที่เป็นคนโอนเงินจากบัญชีของธนาคารกรุงเทพไป

ทั้งนี้ สำเนาของสลิปการโอนเงินดังกล่าวทั้งอัยการทหารซึ่งเป็นโจทก์และพยานก็ไม่ได้นำมาแสดงต่อศาล และพยานก็ไม่ทราบอีกด้วยว่าสำเนาสลิปโอนเงินดังกล่าวอยู่ที่ใด แต่สลิปตัวจริงอยู่ที่ธนาคารของพยาน

ทนายความถามว่า ที่จำเลยให้การกับตำรวจถึงรูปพรรณของชายคนดังกล่าวที่มาโอนเงินซึ่งได้เห็นจากภาพกล้องวงจรปิดว่ามีส่วนสูง 180 ซม. หนัก  80 กก. อายุ 40 ปี พยานทราบรายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างไร พยานตอบว่าตำรวจเป็นคนบอกให้ตอบ ในส่วนของภาพจากกล้องวงจรปิดก็ไม่ได้มีการนำมาแสดงต่อศาลด้วยเช่นกัน

พยานเบิกความว่า ตนเองไม่ทราบว่าไฟล์ภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดถูกเก็บรักษาอยู่ที่ใด แต่ตอนที่ตำรวจมาขอดูพยานได้โทรศัพท์หาผู้จัดการสาขาเพื่อขออนุญาตเข้าไปดูที่จอภาพในห้องด้านหลังของสำนักงานแต่ผู้จัดการไม่ได้มาดูด้วย

พยานเบิกความว่าเป็นคนทำรับทำการโอนเงินจากบัญชีของลูกค้าคนดังกล่าว แต่ในบันทึกคำให้การของพยานที่ตำรวจทำไม่ได้มีการกล่าวถึงเรื่องนี้

พยานเบิกความอีกว่าการทำธุรกรรมของลูกค้ารายนี้เป็นเป็นการทำตามสัญญาระหว่างลูกค้ากับทางธนาคารและเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

ภายหลังการสืบพยานในนัดนี้เสร็จสิ้นศาลได้นัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 30 ต.ค. และ 4 ธ.ค. 2560 และวันที่ 17 และ 19 ม.ค. 2561

X