หญิงชาวหนองคายตะโกนด่า-ขัดขืน ขณะสันติบาลคุมตัวขึ้นรถ หลังแสดงเพียงหมายค้นที่ยังไม่ถึงเวลาค้น กลับเจอข้อหา ต่อสู้ขัดขวาง-ดูหมิ่น จนท.

วันที่ 6 ก.ย. 2565 ประมาณ 11.00 น. ที่ อ.เมือง จ.หนองคาย ขณะที่อนุนาท (นามสมมติ) อายุ 53 ปี อยู่ในที่พักซึ่งเปิดเป็นสำนักงานดำเนินธุรกิจของครอบครัว ปรากฏเจ้าหน้าที่ ประมาณ 10 นาย เดินทางด้วยรถตู้สีขาวที่ติดฟิล์มกรองแสงมืดทึบ ไม่มีตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานใดๆ เข้ามาจอดที่ด้านหน้าที่พัก

 

ท่ามกลางความสงสัยของคนในครอบครัว ว่าเป็นใครและมาด้วยเหตุใด หัวหน้าชุดที่แต่งเครื่องแบบเพียงนายเดียว แนะนำตัวเองว่า เป็นตำรวจสันติบาลมาจากกรุงเทพฯ ก่อนแสดงและอ่านหมายค้นของศาลจังหวัดหนองคาย ซึ่งอนุญาตให้เข้าตรวจค้นอาคารดังกล่าวในช่วงเวลา 12.00 – 17.00 น. เพื่อหาหลักฐานการกระทำความผิดหรือใช้ในการกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งขณะนั้นยังไม่ถึงเวลาที่สามารถเข้าค้นได้ แต่หัวหน้าชุดคนดังกล่าวได้พูดเสียงดัง ลักษณะข่มขู่ และให้อนุนาทขึ้นรถไปกับพวกตน ทำให้เธอตกใจกลัว 

เมื่ออนุนาทถามว่า จะพาไปไหน เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับไม่ได้แจ้งถึงจุดหมายที่จะพาไปอย่างชัดเจน บอกเพียงว่า “ต้องไป สน.” เธอจึงไม่ยอมขึ้นรถไป โดยแจ้งว่า ขอรอญาติก่อน และขอเข้าไปนั่งในสำนักงาน เนื่องจากด้านนอกอากาศร้อน จากนั้นอนุนาทได้เดินเพื่อจะเข้าไปด้านในของสำนักงาน แต่เจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าวพยายามควบคุมตัวไปขึ้นรถ มีการฉุดกระชากลากถู ก่อนยึดโทรศัพท์ที่เธอถืออยู่ในมือไป 

ในระหว่างการชุลมุนที่เจ้าหน้าที่หลายนายพยายามจะควบคุมตัวอนุนาทไป โดยเธอไม่รู้ชัดเจนว่าจะถูกนำตัวไปที่ใด ด้วยสาเหตุใด ด้วยความตกใจกลัวทำให้อนุนาทขัดขืนและกัด พ.ต.ท. แทน ไชยแสง หัวหน้าชุดสันติบาลเข้า 1 ครั้ง 

ทั้งนี้ ในช่วงดังกล่าวลูกสาวของอนุนาทได้ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อจะบันทึกภาพ และวีดีโอ แต่กลับถูกชายในกลุ่มดังกล่าวทั้งพูดและแสดงท่าทางห้ามปราม 

เมื่อยังไม่สามารถควบคุมตัวอนุนาทได้ โดยเธอตะโกนด่าเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา สันติบาลจึงได้ขอกำลังตำรวจ สภ.เมืองหนองคาย เพื่อไประงับเหตุ ก่อนสนธิกำลังกันเข้าจับกุมตัวอนุนาท โดยอ้างว่า อนุนาทกระทำผิดซึ่งหน้า ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานที่จะเข้าตรวจค้นตามหมายศาล และนำตัวไป สภ.เมืองหนองคาย ก่อนออกจากบ้าน ชุดตรวจค้นยังได้ยึดโทรศัพท์ในสำนักงานไปอีก 2 เครื่อง

หลังจากควบคุมตัวอนุนาทถึง สภ.เมืองหนองคาย ตำรวจสันติบาลชุดดังกล่าวในฐานะชุดจับกุมได้แจ้งข้อกล่าวหาและทำบันทึกการจับกุมโดยไม่ได้รอให้มีทนายความเข้าร่วม ขณะที่ทางครอบครัวได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทำให้อนุนาทซึ่งให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ไม่ยินยอมลงชื่อในบันทึกการจับกุมดังกล่าว

.

สำหรับบันทึกการจับกุมระบุถึงข้อกล่าวหาที่แจ้งต่ออนุนาท รวม 2 ข้อหา ได้แก่ ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ โดยระบุพฤติการณ์ว่า ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สืบสวน กก.2 บก.ส.2 ได้ตรวจสอบพบเฟซบุ๊กที่เชื่อว่าเป็นของอนุนาท เผยแพร่ข้อความและรูปภาพในลักษณะเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย พ.ต.ท.แทน ไชยแสง รอง ผกก.2 บก.ส.2 จึงได้ขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดหนองคาย 

หลังศาลอนุมัติหมายค้นลงวันที่ 6 ก.ย. 2565 พ.ต.ท.แทน พร้อมพวก จึงเดินทางไปยังสำนักงานของอนุนาท แต่ขณะนั้นเป็นเวลา 11.00 น. ยังไม่ถึงกำหนดเวลาค้น พ.ต.ท.แทน กับพวกจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่พร้อมกับแสดงหมายค้นให้อนุนาทตรวจดูก่อน แต่เมื่ออนุนาททราบเรื่องก็ได้วิ่งเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงติดตามเข้าไปขอตรวจยึดโทรศัพท์ 

จากนั้นอนุนาทได้วิ่งออกไปที่ถนนด้านหน้าบริษัทพร้อมตะโกนว่า “112 รังแกชาวบ้าน” พ.ต.ท.แทน จึงเข้าไปพยายามพูดคุยให้สงบสติอารมณ์ แต่ในจังหวะชุลมุนอนุนาทได้ใช้ปากกัดไปที่บริเวณหัวไหล่ พ.ต.ท.แทน จึงเชื่อว่าผู้ต้องหามีเจตนาทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติตามหน้าที่

และระหว่างการพูดคุยเพื่ออธิบายการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ อนุนาทยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวตะโกนว่า “ตำรวจเหี้ยๆ ตำรวจขี้ข้า กูไม่กลัวมึง” ซ้ำๆ หลายครั้ง ตำรวจจึงเห็นว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้าในการต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย และดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่

.

ทั้งนี้ความผิดข้อหา ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนความผิดฐาน ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน โดยใช้กำลังประทุษร้าย อยู่ในมาตรา 138 วรรคสอง ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

.

หลังทำบันทึกจับกุมแล้ว ระหว่างรอทนายความเดินทางมาร่วมสอบปากคำในชั้นสอบสวน สันติบาลได้นำภาพโพสต์เฟซบุ๊กมาให้อนุนาทเซ็นรับรองว่าเป็นผู้โพสต์เกือบ 10 ภาพ โดยที่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาในเรื่องดังกล่าว ก่อนตำรวจจะนำตัวอนุนาทไปควบคุมไว้ในห้องขัง 

จากนั้นราว 15.00 น. หลัง กริษณุภูมิ นิลนามะ ทนายความเครือข่ายของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางถึง สภ.เมืองหนองคาย สันติบาลชุดตรวจค้นพร้อมทนายความและลูกสาวของอนุนาท ได้เดินทางกลับไปที่บ้านเพื่อทำบันทึกการตรวจค้น ระหว่างนั้นสันติบาลห้ามไม่ให้มีการถ่ายภาพหรือบันทึกวีดิโอ รวมทั้งไม่ให้สำเนาบันทึกตรวจค้นและตรวจยึดโทรศัพท์แก่ทนายและลูกสาวด้วย 

เมื่อกลับถึง สภ.เมืองหนองคาย ราว 16.30 น. ทนายได้วางเงิน 20,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ เพื่อเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวอนุนาทในชั้นพนักงานสอบสวน ผกก.สภ.เมืองหนองคาย พิจารณาแล้วเห็นว่าหลักประกันเพียงพอ ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีเหตุอันเชื่อว่าจะหลบหนี จึงอนุญาตให้ประกันตัว และปล่อยตัวอนุนาทออกจากห้องขัง 

จากนั้น พ.ต.ท.ฉลอง เลพล พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำ ก่อนพิมพ์ลายนิ้วมือ และลงบันทึกประจำวัน เสร็จสิ้นกระบวนการเวลาประมาณ 19.30 น. อนุนาทจึงได้เดินทางกลับพร้อมลูกสาว

ทั้งนี้ สันติบาลชุดที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ อ้างกับทนายว่า จุดประสงค์ในการไปพบอนุนาทก็เพื่อจะป้องปรามไม่ให้ทำการโพสต์ที่เข้าข่ายเป็นความผิดอีก โดยยังไม่มีการดำเนินคดี เนื่องจากนโยบายในช่วงนี้ให้เน้นการป้องปรามก่อน ทั้งนี้ โทรศัพท์ที่ยึดได้ 2 เครื่อง จะส่งไปตรวจพิสูจน์ที่ ปอท. ส่วนอีก 1 เครื่อง ซึ่งเป็นของลูกสาว เจ้าหน้าที่ได้คืนให้ลูกสาวไปแล้ว 

.

สำหรับอนุนาท เธอสนใจการเมืองผ่านการติดตามทางโซเชียลมีเดีย ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองที่ไหนมาก่อน ชีวิตทุกวันทำงานธุรกิจครอบครัวในพื้นที่จังหวัดหนองคาย โดยที่ครอบครัวไม่เคยพบเจอเรื่องราวลักษณะนี้มาก่อน หญิงวัย 53 ปี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงที่ผ่านมาเธอมีความเครียด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่แย่ทำให้ธุรกิจที่ครอบครัวทำมีงานและรายได้น้อย เธอจึงได้โพสต์วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจเพื่อระบายความอึดอัด คับแค้นใจ โดยระหว่างที่เธอถูกควบคุมตัวเธอก็ยังด่าเจ้าหน้าที่ว่า แทนที่จะมาไล่จับเธอ ก็ไปทำให้ประเทศมันดีขึ้นก่อน 

ส่วน พี (นามสมมติ) ลูกสาวของอนุนาท ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ราว 1 เดือน ก็มีชาย 4 คน อ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ เข้ามาถามหาอนุนาทที่บ้านหลังดังกล่าว ไม่ได้บอกว่ามาจากหน่วยงานไหน ถือเอกสารมาส่วนหนึ่งที่มีประวัติของอนุนาท และให้เซ็นเอกสารว่าจะไม่โพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อีกแล้ว โดยฟอร์มกระดาษนั้นไม่มีตราครุฑ แต่เมื่อไม่พบอนุนาทในครั้งนั้นชายกลุ่มดังกล่าวจึงเดินทางกลับไป

สำหรับเหตุที่เกิดเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา พีเล่าว่า ตำรวจพูดกับแม่ในระหว่างเข้าจับกุมและแม่เธอขัดขืนว่า “ถ้าไม่ร่วมมือ จะไม่ให้ลูกทำงานได้เลย สงสารลูกบ้างสิ ทำให้ครอบครัวไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน”  ขณะเดียวกับตำรวจไม่ได้แจ้งสิทธิอะไรแก่พวกเธอเลย เอาแต่พูดถึงสิทธิของตัวเอง “จังหวะกระชากขึ้นรถตู้เขาทำเหมือนแม่เราไปฆ่าใครสักคน หรือหนีคดีร้ายแรงอะไรสักอย่างมา”  ลูกสาวของอนุนาทสะท้อนไว้ตอนหนึ่ง 

X