เพียงแชร์โพสต์ “อาจมีการทุจริต” อัยการฟ้องประชาชน 7 ราย “หมิ่นประมาทฯ” 4 ขรก.ผู้ใหญ่ในอุดรฯ อ้างใส่ความให้เสียชื่อเสียง

16 ส.ค. 2565 ประชาชน 7 ราย ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” กรณีแชร์โพสต์จากเพจ “ข้าราชการปลดแอก” เรื่องการตรวจสอบการทุจริตงบโควิดในสำนักงานจังหวัดอุดรธานี เดินทางไปที่ศาลจังหวัดอุดรฯ หลังพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีและนัดหมายมาส่งฟ้องต่อศาล 

ปลั๊ก (นามสมมติ), ป๊อป (นามสมมติ), สมภพ จิตต์สุทธิผล, สุวรรณ จ้อยกลั่น, ปาริชาติ ผลเพิ่ม, และไพโรจน์ ภัทรนรากุล ต้องเดินทางโดยเครื่องบินบ้าง รถยนต์ส่วนตัวบ้าง บางคนต้องนั่งรถไฟ หลายร้อยกิโลเมตรจากจังหวัดในภาคกลาง มีเค้ก (นามสมมติ) เพียงคนเดียวที่ทำงานอยู่ที่อุดรฯ 

หลังจากผู้ถูกฟ้องคดีมาพร้อมกันแล้ว เจ้าหน้าที่สำนักงานอัยการจังหวัดอุดรฯ ซึ่งนำคำฟ้องมาที่ศาล ได้ส่งตัวทั้งหมดให้ตำรวจศาลควบคุมตัวไว้ที่ห้องรอประกัน ก่อนจะนำคำฟ้องไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ศาล โดยแยกฟ้องเป็น 7 คดี 

ทนายความเครือข่ายของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้งเจ็ดโดยไม่มีหลักประกัน เนื่องจากเป็นคดีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ศาลสามารถใช้ดุลพินิจอนุญาตปล่อยชั่วคราวได้โดยไม่ต้องมีหลักประกัน 

อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวทุกคนในช่วงบ่าย โดยให้วางหลักประกันคนละ 10,000 บาท หากผิดสัญญาประกันปรับคนละ 20,000 บาท โดยจำเลย 5 ราย ขอใช้เงินกองทุนราษฎรประสงค์วางเป็นหลักประกัน มี 1 ราย ใช้เงินส่วนตัว และอีกรายใช้ตำแหน่งข้าราชการ ศาลนัดคุ้มครองสิทธิในวันที่ 21 ก.ย. 2565 

ก่อนที่ทั้งหมดจะได้รับการปล่อยตัวในเวลาเกือบ 16.00 น. และรีบออกจากศาลเดินทางกลับกรุงเทพฯ, นนทบุรี และฉะเชิงเทรา ในทันที เพื่อกลับไปทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น รวมเวลาถูกควบคุมตัวเพื่อรอกระบวนการของศาลกว่า 5 ชั่วโมง สำหรับครอบครัวของปลั๊ก, สุวรรณ และเค้ก ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจด้วย พวกเขาก็ใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่ศาลเพื่อรอการปล่อยตัวและเดินทางกลับพร้อมกัน  

คดีนี้มีข้าราชการระดับผู้ใหญ่ในจังหวัดอุดรฯ 4 ราย ซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่ในเอกสารที่โพสต์ในเพจ “ข้าราชการปลดแอก” ว่าถูกตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตงบโควิด มอบอำนาจให้พิทิศ ชัยคำจันทร์ ทนายความ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรฯ ให้ดำเนินคดีผู้ใช้เฟซบุ๊กรวม 8 ราย ซึ่งแชร์โพสต์ดังกล่าว เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้ง 8 ราย มาดำเนินคดี อย่างไรก็ตาม มี 1 ราย ที่ขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเนื่องจากอาการป่วย จากนั้นขาดการติดต่อกับพนักงานสอบสวนไป

.

ชั้นสอบสวน: ผู้ถูกกล่าวหายืนยันใช้เสรีภาพการแสดงออก ทำหน้าที่สอดส่องทุจริตตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เจตนาหมิ่นประมาทใคร จึงไม่เป็นความผิด  

ผู้ที่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาทั้ง 7 ราย ประสงค์จะต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้กระทำความผิด เนื่องจากเป็นสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งการแชร์โพสต์ดังกล่าวก็มีเจตนาในการกระตุ้นเตือนให้สังคมจับตามองการทุจริตในหน่วยงานรัฐ เพื่อรักษาประโยชน์ของสาธารณะ 

โดยภายหลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหาและให้การปฏิเสธ ผู้ต้องหาทั้งเจ็ดได้ยื่นคำให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือ มีเนื้อหาระบุว่า การกระทำตามข้อกล่าวหาเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกโดยสุจริต ซึ่งพันธกรณีระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ อันเป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งที่มีส่วนในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน 

อีกทั้งยังปรากฏตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 50, 63 และ 78 กำหนดหน้าที่ของประชาชนไทยไว้ ในการที่จะไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตทุกรูปแบบ และกำหนดหน้าที่ของรัฐในการส่งเสริมให้ประชาชนช่วยสอดส่องป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ 

นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 ยังบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน หรือติชมด้วยความเป็นธรรม ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

ทั้งนี้ ปัญหาการทุจริตและคอรัปชั่นในประเทศไทยซึ่งถูกใช้เป็นสาเหตุในการทำรัฐประหารมาอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ประชาชนไทยไม่อาจละเลยได้ และมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันสอดส่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะหากมีการทุจริตในภาครัฐย่อมถือเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้รับความทุกข์ยากมากขึ้นไปอีก 

สุดท้าย ผู้ต้องหายืนยันว่า การแชร์โพสต์จากเพจข้าราชการปลดแอกดังกล่าว ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทบุคคลใด เนื่องจากไม่ได้ยืนยันว่ามีการทุจริต แต่เป็นการแสดงออกเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอันเป็นวิสัยที่ประชาชนทั่วไปย่อมกระทำ 

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรฯ สรุปสำนวนการสอบสวน โดยมีความเห็น “ควรสั่งฟ้อง” และส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาทั้งเจ็ดต่อพนักงานอัยการจังหวัดอุดรฯ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2565 ซึ่งผู้ต้องหาก็ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการอีก เพื่อขอให้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ระบุเหตุผลเช่นเดียวกับคำให้การชั้นสอบสวน แต่อัยการจังหวัดอุดรฯ ก็มีคำสั่งให้ฟ้องคดีในที่สุด

.

อัยการฟ้อง อ้างจําเลยทั้ง 7 ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าผู้เสียหายทั้งสี่ทุจริตงบโควิด แม้จำเลยเพียงแค่แชร์ข้อความ-ภาพเอกสาร 

พนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี บรรยายพฤติการณ์ที่กล่าวหาในคำฟ้องทั้ง 7 คดี เช่นเดียวกัน มีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2564 ได้มีผู้ใช้งานเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ข้าราชการปลดแอก-Free Thai Civil Servant” ได้โพสต์ข้อความโดยตั้งค่าเป็นสาธารณะว่า “มิตรสหายท่านหนึ่งส่งหลักฐานมาว่า อาจมีการทุจริตเกี่ยวกับเบี้ยเลี้ยงและงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับ Covid เช่น วัสดุครุภัณฑ์ที่ใช้ในสํานักงาน การจัดซื้อจัดจ้างในการป้องกันและยับยั้งโรคระบาดที่มีราคาสูงกว่าความเป็นจริง ของสํานักงานจังหวัดอุดรธานี จากการติดตามล่าสุด มหาดไทยพบว่ามีมูลความจริงและได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านใดรู้เห็นอะไร มีหลักฐานข้อเท็จจริง มาช่วยเป็นกระบอกเสียงกันนะ อย่าให้ข้าราชการคนไหนฉวยวิกฤตเป็นโอกาสหาประโยชน์เข้าตัวเอง ซึ่งพวกรัฐบาลได้ทําไปเยอะแล้ว ปล. กรณีนี้ใช้เวลาตั้งแต่ยื่นคําร้องจนถึงตั้ง คกก. สอบสวนกว่า 8 เดือน” 

โพสต์ที่ถูกกล่าวหาจากเพจเฟซบุ๊ก“ข้าราชการปลดแอก-Free Thai Civil Servant”

พร้อมทั้งลงภาพถ่ายหนังสือร้องเรียน (บัตรสนเท่ห์) ไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ นางรณิดา เหลืองฐิติสกุล หัวหน้าสํานักงานจังหวัดอุดรธานี, นายจํารัส กังน้อย ปลัดจังหวัดอุดรธานี, นายธีระภัทร์ ผิวสวัสดิ์ หัวหน้าสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุดรธานี และนายปรเมษฐ์ กิ่งโก้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ผู้เสียหายทั้งสี่, หนังสือกระทรวงมหาดไทย (ลับ) ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ขอให้ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว และคําสั่งจังหวัดอุดรธานี (ลับ) เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว 

ข้อความและภาพถ่ายหนังสือราชการดังกล่าว เป็นการกล่าวหาว่าผู้เสียหายทั้งสี่ในทํานองว่าเป็นข้าราชการทุจริต ฉวยโอกาสในช่วงโรคระบาดโควิดหาประโยชน์เข้าตัวเอง ซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายทั้งสี่ต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณา โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้เสียหายทั้งสี่ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง เสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติยศ และความนับถือ 

ต่อมาจําเลยได้แชร์ข้อความและภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กของจําเลย ตั้งค่าเป็นสาธารณะ อันเป็นการโฆษณาให้บุคคลทั่วไปเข้าใจและหลงเชื่อว่าผู้เสียหายทั้งสี่เป็นข้าราชการ ทุจริตเกี่ยวกับเบี้ยเลี้ยงและงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดโควิด ซึ่งไม่เป็นความจริง อันเป็นการใส่ความผู้เสียหายทั้งสี่ต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณา 

อัยการจึงยื่นฟ้องจำเลยในฐานความผิด “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 โดยไม่ได้คัดค้านการปล่อยตัวจําเลยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาคดี 

หลังเจ้าหน้าที่ศาลสอบถามคำให้การ ทุกคนยืนยันให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี จากนั้นศาลคอนเฟอเรนซ์จากห้องเวรชี้มาที่ห้องขังเพื่อสอบถามยืนยันตัวจำเลยทั้ง 7 คน ว่าเป็นบุคคลเดียวกับที่อัยการฟ้องมา ก่อนนัดคุ้มครองสิทธิ ในวันที่ 21 ก.ย. 2565 และอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวทุกคนระหว่างพิจารณาคดี 

ทั้งนี้ จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า ผู้เสียหายทั้งสี่ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดอุดรฯ ในช่วงที่มีผู้ทำหนังสือร้องเรียน ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปบ้าง โดย รณิดา เหลืองฐิติสกุล เดิมเป็นหัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันย้ายไปดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าฯ หนองคาย, จํารัส กังน้อย เดิมเป็นปลัดจังหวัดอุดรฯ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าฯ อุดรฯ ส่วน ธีระภัทร์ ผิวสวัสธ์ เป็นหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุดรฯ จนถึงปัจจุบัน และ ปรเมษฐ์ กิ่งโก้ เป็นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรฯ จนถึงปัจจุบัน

.

X